เขาคนนี้เป็นใคร คุณหนูจวินย่อมรู้
เมื่อน้าเซียวให้จ้าวฮั่นชิงไปถ่ายทอดคำพูด คุณหนูจวินก็รู้แล้วว่านี่เพื่อไล่นางไป
ไล่จ้าวฮั่นชิงย่อมเพื่อถามเรื่องอาจารย์
ในที่สุดน้าเซียวก็ยอมถามเรื่องอาจารย์ ในใจคุณหนูจวินตื่นเต้นยิ่งนัก แต่ก็ปวดใจอยู่บ้างเช่นกัน
สิบปีไม่มีใครถามถึง วันนี้ถามปุบกลับเป็นข่าวการตาย เปลี่ยนเป็นใครก็รับไม่ได้
ดังนั้นนางคิดจะปิดบังไปอีกช่วงหนึ่ง ค่อยๆ เผยรายละเอียดบางอย่างให้น้าเซียวตระเตรียมจิตใจอยู่บ้างค่อยพูด
คิดไม่ถึงน้าเซียวกลับถามว่าอาจารย์ตายตั้งแต่เมื่อไรทันที
ไม่ได้ถามว่าเขาตายหรือยัง แต่ถามเวลาตายทันทีอย่างมั่นใจ
คุณหนูจวินกลับรู้สึกว่าทนรับไม่ได้อยู่บ้าง
“เขาน่ะ เขาไปหาสมุนไพร ไม่ใช่…” นางพูดติดๆ ขัดๆ
น้าเซียวมองนางจากนั้นก็ยิ้ม รับชาในมือนางมา
“จิ่วหลิง เจ้าเรียนวิชากับเขานานเท่าไร?” นางเอ่ยถาม
“หกปี” คุณหนูจวินเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด
น้าเซียวอึ้งไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็หลุดหัวเราะ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต่างกันมาก” นางเอ่ย “เดิมทีข้าอยากบอกว่าข้ากับเขาอยู่ด้วยกันเกือบสิบปี เขาเป็นคนอย่างไรข้ารู้ชัดยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเวลาของพวกเจ้าก็ไม่ต่างกันมาก”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“นั่นไม่เหมือนกัน อาจารย์สิ่งใดล้วนไม่บอกข้า” นางเอ่ย
น้าเซียวมองนางจากนั้นก็ยิ้ม
“ยังมักจะรังแกเจ้าด้วยใช่หรือไม่? ไม่ดีกับเจ้าด้วย?” นางเอ่ยถาม
หากมองจากมุมมองของเด็กน้อยคนหนึ่งก็ไม่ดีนักจริงๆ
“ดูแล้วไม่ดีอย่างไร แต่ใจน่ะดี นอกจากนี้ก็มีเพียงไม่ดีกับข้าเช่นนี้ เคร่งครัด กลั่นแกล้ง ข้าถึงร่ำเรียนสิ่งต่างได้อย่างแท้จริง” คุณหนูจวินเอ่ย
“เขาคนผู้นี้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่นับว่าเป็นคนดี บางครั้งทำให้คนชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน” น้าเซียวเอ่ย “แต่เรื่องที่เขาทำเองได้ เขาไม่มีทางไหว้วานผู้อื่นเด็ดขาด”
พูดถึงตรงนี้ก็มองคุณหนูจวิน
“เขาไม่เคยเอ่ยถึงพวกเรากับเจ้า ก่อนพบพวกเราเจ้าล้วนไม่รู้การมีอยู่ของพวกเรา”
คุณหนูจวินก้มศีรษะ กัดริมฝีปากล่าง
นั่นเพราะอาจารย์ไม่มีโอกาสพูดกระมัง หากยังทัน เขาจะต้องพูดแน่…
“หากมีโอกาส เขาคงมาด้วยตัวเอง ไม่มีทางไหว้วานเจ้า” น้าเซียวเอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้ามา นั่นย่อมคือเขามาไม่ได้แล้ว”
น้ำตาของคุณหนูจวินร่วงดุจสายฝน
“อีกอย่าง เจ้าพบพวกเราก็ร้องไห้จนเป็นเช่นนั้น นั่นย่อมไม่ใช่พบพวกเราแล้วเสียใจ แต่คิดถึงเขาที่ไม่มีวันพบพวกเราได้แล้วถึงเศร้าใจเช่นนั้นสินะ” น้าเซียวเอ่ยพลางยื่นมือจูงนางนั่งลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้นาง “เจ้าช่างเป็นเด็กที่ชอบร้องไห้คนหนึ่งจริงๆ”
คุณหนูจวินใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง
น้าเซียวไม่ได้เอ่ยวาจาอีก นั่งเป็นเพื่อนอยู่เงียบๆ
ได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาจากด้านใน จูจั้นที่พาสาวใช้หญิงรับใช้ที่เลือกเสร็จแล้วเดินส่ายอาดๆ มาก็รีบหยุดเท้า สีหน้าระแวง
“ร้องไห้อีกแล้ว?” เขาพึมพำกับตนเอง “นี่หากไปก็คงต้องป้ายความผิดให้ข้าอีก”
พูดจบก็หมุนตัวโบกมือให้หญิงรับใช้กับสาวใช้ด้านหลังร่าง ไล่คนไปประหนึ่งไล่ลูกเจี๊ยบ
……………………………………….
……………………………………….
“ไปกะทันหันนัก ข้าหาเขาทั้งคืนถึงหาพบ”
คุณหนูจวินเล่าถึงตรงนี้ น้ำตาที่เดิมทีหยุดแล้วก็หล่นร่วงลงมาอีกหน
“ในมือเขายังกำสมุนไพรอยู่เลย”
น้าเซียวเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือลูบหัวไหล่คุณหนูจวิน
“ทำเจ้าตกใจแย่เลยสิ?” นางเอ่ยขึ้น
จนกระทั่งถึงยามนี้นางยังไม่ปล่อยน้ำตาลงมาสักหยดกระทั่งขอบตาก็ไม่แดง ได้ฟังเรื่องการตายของอาจารย์ ประโยคแรกที่เอ่ยกลับเป็นห่วงนางว่าตกใจแย่หรือไม่
คุณหนูจวินมองนาง ปวดใจทั้งยังสะเทือนใจอย่างไร้สาเหตุ
ใช่แล้ว ยามนั้นนางตกใจแย่แล้วจริงๆ นางนั่งอยู่หน้าศพของอาจารย์หนึ่งวันเต็มๆ ในศีรษะขาวโพลนไปหมดเหมือนประหนึ่งกำลังฝันอยู่
ใช่แล้ว ประหนึ่งฝันอยู่จริงๆ วันเวลาต่อมานางก็ประสบฝันร้ายตามต่อกัน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ นางคล้ายยังมีหนึ่งวิญญาณหนึ่งดวงจิตยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าศพของอาจารย์
นางยื่นมือออกไปกอดน้าเซียวไว้ พยักหน้าบนหัวไหล่นาง
ใช่แล้ว นางหวาดกลัว นางหวาดกลัวยิ่งมาเสมอ เสียอาจารย์ไปนางหวาดกลัวนัก เสียบิดามารดาไปนางหวาดกลัวนัก พี่น้องสามคนถูกขังไว้ในวังไหวอ๋องนางหวาดกลัวนัก แต่งงานกับผู้อื่นนางหวาดกลัวนัก ตอนชักกระบี่แทงเข้าใส่ฮ่องเต้นางหวาดกลัวนัก ตอนดาบฟันเข้าใส่ร่างนางหวาดกลัวนัก ตอนเกิดใหม่ในร่างคนแปลกหน้านางก็หวาดกลัวนัก ทุกก้าวที่เดินนางล้วนหวาดกลัวนัก
น้ำตาเปียกหัวไหล่น้าเซียวอย่างรวดเร็วยิ่ง
มือของน้าเซียวลูบปลอบหัวไหล่ของนาง
“ไม่กลัว ไม่กลัว ล้วนผ่านไปหมดแล้ว” นางเอ่ย “ครั้งนั้นแคว้นล่มบ้านแตกสาแหรกขาดข้าก็หวาดกลัวนักเหมือนกัน แต่ต่อมาข้าพบอาจารย์ของเจ้าก็ไม่กลัวแล้ว อาจารย์ของเจ้าจากไป ข้าหวาดกลัวนัก แต่ตอนนี้ข้าก็ได้พบเจ้าอีก เจ้าดูสิ ผู้ใดล้วนไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ความหวาดกลัวจะผ่านไปเสมอ ชีวิตอย่างไรก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ”
คุณหนูจวินพยักหน้าหนักๆ บนหัวไหล่นาง
“อาจารย์หญิง เดิมข้าควรปลอบโยนท่าน ท่านถึงเป็นคนที่เสียใจที่สุด” นางเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้น “หลายปีมานี้อาจารย์ล้วนทำเพื่อพวกท่าน ท่านอย่าโทษเขาเลย”
น้าเซียวยิ้มแล้ว
“โทษไม่โทษมีความหมายอะไร คนล้วนไม่อยู่แล้ว” นางเอ่ยตอบ “มีเขา เคยดีใจ ไม่มีเขา เคยเสียใจ ดีใจก็ดีเสียใจก็ดี ชีวิตล้วนต้องผ่านไป อายุป่านนี้แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ใช้ให้ดีๆ เถอะ”
คุณหนูจวินไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ลุกขึ้นเอาจดหมายที่อาจารย์ทิ้งไว้ออกมา
“สิ่งนี้มอบให้ท่าน” นางเอ่ย
น้าเซียวยังคงส่ายศีรษะ
“ข้าไม่ต้องการเก็บสิ่งนี้ไว้ สิ่งนี้ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้า สามีของข้าคือคนผู้นั้นที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับข้า คนขี้ขลาดที่ได้แต่พูดกับตนเองบนกระดาษคนนี้ ข้าไม่อยากรู้จัก” นางเอ่ยแล้วยื่นมือดันกลับไป “จิ่วหลิง เจ้าเก็บไว้เถิด นี่เป็นของเจ้า”
คุณหนูจวินไม่ปฏิเสธอีกแล้วก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีกเช่นกัน
“อาหยาง อาเซี่ยพวกเขาลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่าต่อไปจะหาคนในอดีตเมื่อครั้งนั้น พลิกเอกสารบันทึกสักหน่อย ขอเพียงเคยกระทำย่อมต้องมีร่องรอยแน่ ประกาศเรื่องที่อาจารย์กับกองทหารชิงซานเคยทำในอดีตแก่ใต้หล้า…” นางสูดน้ำมูกเอ่ย
น้าเซียวส่ายศีรษะ
“ไม่จำเป็น” นางเอ่ย “ตอนนี้ก็ค่อนข้างดีแล้ว ทุกคนล้วนรู้ว่าพวกเขาเป็นวีรบุรุษ พวกเขามีคุณงามความชอบ นี่ไม่ใช่ดีแล้วหรือ ต่อให้ค้นเรื่องเมื่อตอนนั้นออกมาก็ไม่พ้นเป็นเช่นนี้”
นางจัดจอนผมของคุณหนูจววินที่ถูจนยุ่งเหยิงเพราะกอดร้องไห้เมื่อครู่
“เรื่องที่ต้องทำยังมีมากมาย มองไปข้างหน้าเถอะ ไม่ต้องผูกติดอยู่กับอดีตแล้ว”
คุณหนูจวินมองนางพลางพยักหน้าอย่างตั้งใจ
“ข้าเชื่อฟังอาจารย์หญิง” นางตอบรับ
น้าเซียวยิ้มพลางพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นข้ามอบทุกคนให้เจ้าแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
เอ๋? มอบทุกคนให้ข้า ถ้าเช่นนั้นนางเล่า?
คุณหนูจวินมองนางอย่างไม่เข้าใจ
“อาจารย์ของเจ้าฝังอยู่ที่ไหน? ข้าอยากไปดูสักหน่อย” น้าเซียวเอ่ยแล้วยิ้ม “เขาไม่กล้าพบข้า ข้าดันอยากพบเขา ให้เขาเป็นผีก็ได้อับอาย”
คุณหนูจวินยิ้มด้วยแล้ว ยิ้มพร้อมน้ำตาแวววาว พยักหน้าหนักๆ
“ได้ ข้าส่งท่านไป” นางเอ่ยตอบ
……………………