หน้าตำหนักเงียบกริบไปหมด
ไม่มีคนคิดว่าเฉิงกั๋วกงจะเข้ามาในวังไหวอ๋อง ยิ่งไม่คิดว่าหลังเขาเข้ามาประโยคแรกจะเอ่ยคำนี้
ขันทีนางกำนัลทั้งหลายนิ่งอึ้ง พวกเขาไม่ได้ติดต่อกับคนภายนอกมาเนิ่นนานนัก ผนวกกับการจับจ้องมาดร้ายขององครักษ์เสื้อแพร ต่อให้อยู่ในวังก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาตามใจ นานวันเข้าพวกเขาก็ประหนึ่งซากศพเดินได้
“ผลไม้เชื่อมหรือ?” เสียงไหวอ๋องดังขึ้น
เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย สายตาจับอยู่บนมือของเฉิงกั๋วกง ไม่เข้าใจ สงสัยใคร่รู้แล้วยังกระตือรือร้นอยากลอง
ท่ามกลางสายน้ำนิ่งตายผืนนี้ เขาคือคนที่มีชีวิตสดใส
เฉิงกั๋วกงมองเขาพลางอมยิ้มพยักหน้า
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ซื้อมาจากร้านพักเท้า” เขาเอ่ย “ท่านรู้จักว่าร้านพักเท้าคือสิ่งใดไหม?”
ไหวอ๋องยิ้มแล้ว
“ข้ารู้สิ” เขาเอ่ย “บนถนนตลาดตะวันออกมีร้านเช่นนี้มากมาย คนครัวเรียกว่าปรมาจารย์ พนักงานเรียกกว่าลุงใหญ่ หญิงรินเหล้าคอยรินสุราเปลี่ยนน้ำแกง ยังมีนางคณิกาวนเวียนร้องเพลงเป็นเพื่อนแขกได้เงินรางวัล”
นางคณิกา…
ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายได้ยินสีหน้ายิ่งอึ้ง
เด็กเล็กเช่นนี้ก็รู้จักว่าสิ่งใดคือนางคณิกาแล้วหรือ?
นี่ใครสอนให้น่ะ?
องค์ชายที่ถูกโยนทิ้งประหนึ่งวัชพืชในที่สุดก็งอกอย่างไร้การควบคุม
เฉิงกั๋วกงหัวเราะอีกครั้ง หัวเราะเบิกบานยิ่ง
“องค์ชายรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” เขาเอ่ย “ท่านลองดู ผลไม้เชื่อมผลนี้แม้มาจากร้านเล็กๆ บ้านๆ ริมทาง แต่ก็มีรสชาติไปอีกแบบ”
ไหวอ๋องก้าวเชื่องช้ามายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเฉิงกั๋วกงที่คุกเข่าข้างเดียวอยู่
ร่างของเขาโตขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว แต่อยู่ต่อหน้าเฉิงกั๋วกงที่คุกเข่าข้างเดียวก็ยังคงเป็นคนที่ตัวเล็กกระจ้อย
ไหวอ๋องหยิบถุงใบน้อยในมือเฉิงกั๋วกงมาเปิดออก
“องค์ชายลองชิมดูพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“องค์ชายทานอาหารจากข้างนอกไม่..” ในที่สุดก็มีขันทีคิดถึงความรับผิดชอบของตนขึ้นมาได้ เอ่ยปากพูด
ไหวอ๋องหยิบผลไม้เชื่อมผลนั้นเข้าปากไปแล้ว
“ซี้ด” เขายิงฟัน ดวงหน้าน้อยยับย่น “เปรี้ยวนักเชียว”
เฉิงกั๋วกงร้องเอ๋ ตนเองก็หยิบเม็ดหนึ่งออกมาลองชิมดูบ้าง
“จริงด้วย เปรี้ยวอยู่นิดๆ” เขาเอ่ยท่าทางขออภัยอยู่บ้าง “ข้าซื้อผิดแล้ว พวกนี้ใช้แกล้มสุรา”
ไหวอ๋องร้องอ้อทีหนึ่ง
“ถ้าเช่นนั้นน่าเสียดายจริง ตอนนี้ข้ายังเล็ก ดื่มสุราไม่ได้” เขาเอ่ย
“เป็นความผิดของกระหม่อม” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ไว้กระหม่อมซื้ออันที่หวานมาให้องค์ชายใหม่”
ไหวอ๋องโบกมือ
“เฉิงกั๋วกงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเช่นนี้” เขาเอ่ย “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เพื่ออาหาร น้ำใจของท่านกั๋วกงข้าได้รับก็พอแล้ว ไม่ต้องหมกมุ่น”
เด็กน้อยวางท่าสั่งสอนคนดูแล้วน่ารักยิ่ง
เฉิงกั๋วกงไม่ยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึมประสานมือค้อมกาย
“พ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบรับ
ไหวอ๋องพยักหน้า
“เฉิงกั๋วกงไม่ต้องมากพิธี เชิญลุกขึ้น” เขายกมือแสร้งประคองพลางเอ่ย
เฉิงกั๋วกงเอ่ยขอบพระทัยลุกขึ้นยืน
มองบุรุษตรงหน้าที่ยืนขึ้นแล้วสูงใหญ่จนต้องแหงนหน้ามอง ไหวอ๋องก็ลูบใบหูอย่างตื่นเต้นอยู่บ้างนิดๆ
“กระหม่อมจะไปเข้าประชุมขุนนางแล้ว” เฉิงกั๋วกงอ้าปากเอ่ยก่อน
ไหวอ๋องโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
“เฉิงกั๋วกงรีบไป อย่าได้เสียเวลางานของราชสำนัก” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย
เฉิงกั๋วกงขานรับคำหนึ่ง คารวะไหวอ๋องอีกครั้ง ถอยหลังทีละก้าวๆ จากนั้นหมุนตัว ทว่าหมุนตัวไปฝีเท้ากลับหยุดลงมองประตู
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่คุณหนูจวินกับจูจั้นเข้ามา ยืนอยู่ตรงประตูมองพวกเขา
เฉิงกั๋วกงหมุนตัวอีกครั้ง
“องค์ชาย มีคุณหนูจวินที่วิชาแพทย์สูงส่งอยู่ เชิญให้นางตรวจพระวรกายขององค์ชายดูดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยขึ้น
เสียงของเขายังไม่ทันจาง ไหวอ๋องก็ร้องเอ๋แล้ว เห็นชัดยิ่งว่ามองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้ว
เขาอดไม่ได้เดินไปข้างหน้าหลายก้าว สีหน้าจากประหลาดใจกลายเป็นตกตะลึงจากนั้นแฝงความยินดีจากนั้นก็น้อยใจ พริบตาเดียวแสดงอารมณ์นับไม่ถ้วน
คุณหนูจวินทนกับจมูกที่แสบดวงตาที่ขัดเคืองก้าวมาข้างหน้าทีละก้าวๆ
“องค์ชาย ข้ากลับมาอีกแล้ว” นางเอ่ยขึ้น
ดวงหน้าน้อยของไหวอ๋องบึ้งตึง ร่างกายเหยียดตรงขึ้นอีก ไม่พูดสักคำ
“องค์ชาย ข้าไม่ได้หลอกท่าน” คุณหนูจวินก้าวเข้าไปเอ่ยอีกครั้ง “ข้ากลับมาแล้ว”
ไหวอ๋องหน้าบึ้งต่อไม่ไหวอีกแล้ว ฉับพลันสูดหายใจเฮือกใหญ่ๆ ขอบตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง คล้ายนาทีต่อไปเขาจะร้องไห้ออกมา เขาต้องไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าผู้คน ร่างเล็กเกร็งเครียดกำลังจะขยับหมุน
คุณหนูจวินก้าวเท้าเข้ามาอีกครั้ง กางแขนออกมาหาเขา
ประดุจเส้นด้ายโยงเชื่อมอยู่ เด็กน้อยที่เดิมกำลังจะถอยหลบวิ่งหนีไม่ลังเลอีกต่อไปโถมเข้ามาหานาง
ร่างโตร่างเล็กกอดอยู่ด้วยกัน
เฉิงกั๋วกงรั้งสายตาก้าวเดินไปข้างหน้า เดินมาถึงข้างกายจูจั้นก็หยุดอีกหน
“พ่อ ท่าน…” จูจั้นเอ่ยเรียกเสียงแผ่ว จะพูดอะไรก็ไม่มีสิ่งใดให้พูดได้อีก
“อาจารย์ในวังนี่เป็นผู้ใด?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถาม
จูจั้นตะลึงนิดหนึ่ง คล้ายคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถึงเรื่องนี้
“กู้ชิง” เขาเอ่ยตอบกระจ่างชัดคล่องแคล่ว(ลื่นไหล) “บัณฑิตหูโจว ก้งเซิง อายุสามสิบเอ็ดปี”
เฉิงกั๋วกงยิ้มพยักหน้า
“ไม่เลว ไม่เลว” เขาเอ่ยขึ้น หันกลับมากวาดตารอบหนึ่งแล้วรั้งสายตากลับไป “นี่เป็นใครเชิญ?”
ได้ยินคำถามนี้ จูจั้นก็สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง
“ลู่อวิ๋นฉี” เขาเอ่ยตอบ
เฉิงกั๋วกงสีหน้าคาดไม่ถึงเล็กน้อยเช่นกัน ร้องอ้อทีหนึ่งก็ไม่เอ่ยอันใดอีก
“ข้าไปข้าประชุมแล้ว” เขาเอ่ยบอก
จูจั้นพยักหน้ามองบิดาเดินออกไป เงาร่างของเฉิงกั๋วกงหายไปจากประตู เขาหันหน้ามามองไปด้านในวังอ๋องอีกหน คุณหนูจวินกับไหวอ๋องแยกจากกันแล้ว ยืนประจันหน้ากันอยู่ คล้ายห่างเหินแล้วก็คล้ายกระอักกระอ่วน
“เจ้ามาตรวจซ้ำให้ข้าหรือ?” ไหวอ๋องหน้าบึ้งเอ่ย มือน้อยไพล่อยู่หลังร่างอีกหน
“เพคะ” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นเชิญ” ไหวอ๋องเอ่ยขึ้น หมุนตัวเชิดศีรษะเดินเข้าไปในตำหนัก
คุณหนูจวินอมยิ้มตามอยู่หลังร่างเขา
“หลายวันนี้เจ้าไปที่ใด?” ไหวอ๋องแสร้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาไม่สนใจ
“ข้าหรือ ไปสถานที่มากมายนัก” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าไปอี้โจวมาแล้วด้วย ท่านรู้ว่าอี้โจวอยู่ที่ไหนไหม?”
ในที่สุดไหวอ๋องก็หันหน้ามา ดวงตาเปล่งประกาย
“ดินแดนของชาวจิน” เขาเอ่ย “เจ้าถึงกับกล้าไปดินแดนของชาวจิน”
เด็กน้อยคนนี้ได้ยินว่าชาวจินกลับไม่หวาดกลัว มีเพียงตกตะลึง แล้วยังมีความกระตือรือร้นอยากรู้อีก
“ข้าไม่เพียงกล้าไป ข้ายังรบกับชาวจินแล้วด้วย” คุณหนูจวินเล่าแล้วยักคิ้ว ท่าทางภาคภูมิใจอยู่บ้าง
ดวงตาของไหวอ๋องระยิบระยับดุจดวงดารา
“ว้าว” เขาเอ่ย
ว้าว ท่านพี่ท่านร้ายกาจนัก
เหมือนเช่นนั้นก่อนหน้านี้ เจ้าแมลงตามก้นตัวน้อยตามอยู่ข้างกายนาง ไม่ว่านางทำอะไรพูดอะไร กระทั่งตีเขาก็ยังท่าทางเลื่อมใส
พี่รองร้ายกาจที่สุดแล้ว
แต่พี่รองที่ร้ายกาจที่สุดของเจ้ากลับยังไม่ทันทำสิ่งใดให้เจ้าก็ตายไปเสียแล้ว
คุณหนูจวินมองท่าทางของเขาพลันยิ้ม แล้วออกแรงดึงน้ำตากลับไป
“อยากฟังหรือไม่เพคะ?” นางอมยิ้มเอ่ย
ไหวอ๋องพยักหน้าหงึกๆ แล้วคิดถึงฐานะของตนกับมารยาทที่ถูกสั่งสอนได้อีกหนจึงเหยียดหลังตรงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“เจ้ารีบเล่ามา” เขาสั่ง
มองดูทั้งสองคนเข้าไปในตำหนักใหญ่แล้ว จูจั้นที่ยืนอยู่ที่เดิมก็รั้งสายตากลับมา จากนั้นพลันรู้สึกว่ามีสายตามองเขาอยู่
ขันทีนางกำนัลทั้งหลายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพราะตรงหน้าเหลือเพียงจูจั้นจึงล้วนมองเขาอยู่
“มองอะไรกัน ต้อนรับแขกเป็นหรือไม่?” จูจั้นถลึงตาเอ่ย
แขกดุร้ายยิ่ง!
ขันทีนางกำนัลทั้งหลายฉับพลันเริ่มวุ่นวาย
……………………………………….
……………………………………….
พระราชวัง เสียงแส้สงัด[1] ดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงกลองโหมประโคม โอรสสวรรค์เสด็จจากหลังตำหนักประทับในท้องพระโรง หมู่ขุนนางคุกเข่าคำนับ
นี่ก็คือการประชุมใหญ่เดือนละครั้ง
สำหรับฮ่องเต้และขุนนางมากมายในเหตุการณ์แล้วรู้สึกว่าพิธีการต่างๆ ที่มีตามปรกติลากนานกว่าวันวาน
ในที่สุดทุกสิ่งก็จบสิ้นลง มาถึงเวลาหารือข้อราชการ ด้านในด้านนอกท้องพระโรงเงียบสงบไปหมด
แม้เรื่องราวผิดจากที่คาด แต่เรื่องที่หารือเรียบร้อยแล้วก็ยังต้องทำ ขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องพระญาติราชวงศ์ก้าวออกมา รายงานเรื่องไหวอ๋องและเสนอให้ส่งไปสุสานหลวง
“ขุนนางทั้งหลายคิดว่าอย่างไร?” ฮ่องเต้ตรัสถาม
ขุนนางเต็มท้องพระโรงเงียบกริบ เงียบรอคอยใครสักคนประเดิม
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างไม่ทรยศความคาดหวังของผู้คน เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหน้าของแถวก้าวออกมา
“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัย” เฉิงกั๋วกงคำนับไปทางฮ่องเต้ “เมื่อครู่กระหม่อมไปเยี่ยมไหวอ๋องมาแล้ว ไหวอ๋องกระปรี้กระเปร่าดี วาจาเป็นลำดับ หาอันตรายไม่”
………………………