นาง
หัวหน้ากองพันเจียงตะลึงวูบหนึ่ง
เมืองชิ่งหยวน โจร
สองคำนี้ทำให้หัวหน้ากองพันเจียงกระจ่างอีกครั้งอย่างรวดเร็วยิ่ง
ตอนนั้นคุณหนูจวินถูกโจรกลุ่มหนึ่งลักพาตัวไป ไม่เพียงไม่ออกมาตรงกันข้ามกลับพักอยู่ในที่ของโจร หลังจากนั้นอยู่ดีๆ ก็หายไปด้วยกัน
ทั้งเขาจางชิงซานประหนึ่งไม่เคยมีคนอาศัยอยู่มาก่อน
จากไปกะทันกันแล้วยังจากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้
“ที่แท้คุณหนูจวินก็ไปเมืองเหอเจียน” เขาเอ่ยติดจะหงุดหงิด “ไม่น่าคิดว่านางกลับหยางเฉิง ปูพรมหาทางใต้อย่างเดียวจริงๆ”
ใครจะคิดถึงว่านางจะไปสถานที่อันตรายปานนั้น นอกจากนี้ยังทำเรื่องที่อันตรายไม่น่าเชื่อเช่นนี้อีก
นางรู้ว่านี่นางกำลังทำอะไรอยู่ไหม?
นางไม่ใช่หมอคนหนึ่งหรือ?
“เป็นห่วงชาติเป็นห่วงประชาชนจริงๆ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
เป็นห่วงชาติเป็นห่วงประชาชนออกจากมาจากลู่อวิ๋นฉีไม่เคยเป็นคำชม เช่นเดียวกับที่ทำลายชาติทำร้ายประชาชนไม่ใช่คำด่าทอ
แต่สำหรับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว สี่คำนี้เป็นคำชมแน่นอน
“คิดไม่ถึงเป็นนางรึ?” นางตกตะลึงไม่หยุด แล้วก็ยินดีไม่หยุด “คิดไม่ถึงว่าเป็นนาง”
คล้ายแปลกใจแต่ก็สมควร
“นางปลูกฝีช่วยโลกช่วยประชาชนเช่นนี้ได้ จะเบิ่งตามองดูประชาชนทั้งหลายทุกข์ทรมานได้อย่างไร” นางหัวเราะพลางเอ่ย
เสียงหัวเราะนี้เงียบลงช้าๆ เหลือไว้เพียงความขมขื่นจางๆ ที่มุมปาก
หากเป็นน้อง จะทำเช่นนี้ด้วยไหมนะ? เด็กผู้หญิงที่ตั้งแต่เล็กก็เอ่ยวาจาดื้อรั้นและไร้เดียงสาคนนั้น
ได้ยินว่าพระบิดาป่วยรักษาไม่หาย นางบอกว่าข้าจะรักษาเอง
บอกว่าครั้งนั้นแคว้นล่มอับอาย นางบอกข้าจะล้างอายให้เอง
ยามครอบครัวนั่งล้อมวง เบิกบานใจหรือไม่เบิกบานใจ นางมักจะชูมือป้อมน้อยๆ สูงเด่นเช่นนี้ ตะโกนวาจาเช่นนี้ออกมา
ไร้เดียวสาและน่าขัน มักทำให้บทสนทนาสนทนาต่อไปไม่ได้เสมอ
นางน่ะจงใจก่อกวน เพราะไม่ให้นางไปปีนต้นไม้ปีนกำแพงจับนกช้อนปลาในสวนดอกไม้หรือในวังหลวง
แต่ต่อมานางก็ทำเรื่องที่นางเคยว่าไว้จริงๆ แม้ไม่ทันรักษาพระบิดาหายก็ตาม
หากตอนนี้นางยังอยู่จะจากจวนสกุลลู่ไปแดนเหนือด้วยหรือไม่
เหมือนที่ตอนนั้นปิดบังทุกคนวิ่งตามหมอเทวดาจางคนนั้นไป
องค์หญิงจิ่วหลีอดไม่ได้เม้มปากยิ้ม
แม้จวนแห่งนี้ ใต้หล้าแห่งนี้สำหรับนางเป็นกรงขัง แต่ขอเพียงมีปีกจักต้องยังบินออกไปได้แน่นอน
คุณหนูจวินคนนั้นก็ไม่ใช่พบความลำบากยากเย็นมากมายเหมือนกัน ก็ยังคงทีละก้าวๆ ไม่มีคนขวางได้รึ
หากนางยังอยู่ ตอนนี้จะเป็นอย่างไร?
ปลายจมูกของจิ่วหลีขัดเคือง ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชาปิดบัง
“ช่วยโลกช่วยประชาชน ก็ไม่แน่” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีวางถ้วยชาลงมองเขา
“คนล้วนมีความเห็นแก่ตัว นี่ไม่มีสิ่งใดน่าอับอาย” นางว่า “ต่อให้นางมีเจตนาอื่น แต่สิ่งที่ทำก็ช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คนจริงๆ ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีงาม”
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าเรียบเฉยไม่เอ่ยวาจา
“พูดเช่นนี้นางหมั้นกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้วหรือ” จิ่วหลีหัวเราะเอ่ยอีกครั้งทอดถอนใจอยู่บ้าง “ดีจริง”
“มีสิ่งใดดี” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
คำพูดของเขาเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงไม่มีความหมายจะถาม แค่บอกเล่าเท่านั้น
จิ่วหลีมองไปหาเขา
“ข้ารู้ท่านอยากบอกว่าการหมั้นนี้อาจเป็นเรื่องหลอก” นางเอ่ย “แต่ไม่ว่าการหมั้นนี้เป็นเรื่องจริงหรือหลอก ตอนนี้นางก็มีฐานะเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง เรื่องบางอย่างท่านก็ไม่อาจบุ่มบ่ามทำตามอำเภอใจได้”
เรื่องบางอย่างย่อมหมายถึงเรื่องที่ลู่อวิ๋นฉีกลั่นแกล้งนางให้ลำบากนานาประการรวมถึงจะต้องเอามาให้ได้
ลู่อวิ๋นฉียิ้ม
“องค์หญิงท่านไม่เข้าใจข้าจริงๆ” เขาเอ่ย “จริงๆ ลวงๆ สำหรับข้าเกี่ยวอันใดกัน”
องค์หญิงจิ่วหลีมองเขาจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
“ลู่อวิ๋นฉี หากท่านต้องการ” นางเอ่ย “ข้าเข้าใจท่านได้”
ลู่อวิ๋นฉีคล้ายคาดไม่ถึงกับคำพูดนี้ของนาง สีหน้าชะงักไปนิดหนึ่ง
“ไม่จำเป็น” จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น
“ท่านไม่จำเป็นแล้วก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจท่าน ท่านปล่อยให้ตนเองจมสู่ความบ้าคลั่งเช่นนี้ ท่านใช้ชีวิตแบบนี้มีความหมายอะไร?” องค์หญิงจิ่วหลีส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น
มุมปากของลู่อวิ๋นฉียกโค้ง
“ความหมายที่มีชีวิตอยู่รึ?” เขาเอ่ยพลางมององค์หญิงจิ่วหลี “องค์หญิง ท่านเป็นเช่นนี้ มีชีวิตอยู่มีความหมายอะไร?”
ท่านเป็นเช่นนี้
สี่คำนี้เรียบง่ายยิ่ง แต่กลับบรรยายการคงอยู่วันนี้ของนางอย่างชัดเจนที่สุด
นางในวันนี้ พูดให้ชัดคือพวกนาง นางกับน้องชายของนาง
การคงอยู่ของพวกเขาก็คือเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
ถูกลืมเลือน ถูกหวาดระแวง ถูกทอดทิ้ง ถูกเกลียดชัง
มีชีวิตอยู่ไม่มีคนสนใจ ตายไปมีคนร้องตะโกนยินดี
มีชีวิตอยู่เช่นนี้ มีความหมายอะไร?
องค์หญิงจิ่วหลีเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“ท่านว่านางแจกข้าวต้มตามทาง ไม่ใช่เพียงแจกข้าวต้ม กระทั่งหม้อไหจานชามก็แจก” นางเอ่ยขึ้น
คิดถึงภาพนั้นมุมปากของนางก็อดไม่ได้ผุดรอยยิ้ม
“นางรีบร้อนจะเดินทางไปช่วยคน นางปรากฏตัวขึ้น ชาวบ้านที่หวาดหวั่นวิตกเหล่านั้นคงดีใจเบิกบานยิ่ง”
“นางนำทหารไปขวางโจรจินข้างหน้าด้วยตนเอง ชาวบ้านที่ป้าโจววางใจมากปานใด”
“ยามลำยาก ยามมีภัย ยามสิ้นหวัง มีคนผู้หนึ่งเช่นนี้ฉับพลันปรากฏขึ้น ช่วยเหลือปกป้องให้ความหวัง นี่เป็นเรื่องงดงามมากปานใด”
รอยยิ้มบนใบหน้านางยิ่งกว้าง มองไปทางลู่อวิ๋นฉี
“ได้เห็นเรื่องที่งดงามชวนให้คนมีความสุขบนโลก นี่ก็คือความหมายที่ข้ามีชีวิตอยู่”
ลู่อวิ๋นฉีมองนางพลางยิ้ม
“ข้าก็เช่นกัน” เขาเอ่ย
พูดจบก็หมุนตัวก้าวยาวไปด้านนอก
ใช่แล้ว ความหมายที่เขามีชีวิตอยู่ก็คือยึดจับเรื่องที่งดงามที่สุดของเขาไว้ ไม่ให้หายไปชั่วนิรันดร์
มองเห็นเขาเดินมา องครักษ์เสื้อแพรด้านนอกที่วิ่งมาก็รีบหยุดเท้าคำนับ
“ใต้เท้า พวกเราจะไปติ้งโจวหรือขอรับ? ให้คนที่ติ้งโจวด้านนั้นลงมือไหมขอรับ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา
ก้าวเท้าของลู่อวิ๋นฉีไม่หยุด ก้าวเลยเขาไปข้างนอก
“ไม่ต้อง” เขาเอ่ย “นางจะกลับมาเอง นางทำมากมายเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อกลับมาหรือ?”
……………………………………….
“ท่านกั๋วกง จะไปที่ใด?”
หลายวันหลังงานเลี้ยงที่จวนว่าการเมืองติ้งโจว ขุนนางและแม่ทัพบนล่างได้ข่าวว่าเฉิงกั๋วกงจะจากไปก็ตกตะลึงยิ่ง รีบเร่งมาถามไถ่
ตอนแรกเฉิงกั๋วกงประจำการอยู่ที่เป่าโจว วันนี้เป่าโจวกลายเป็นดินแดนของชาวจินแล้ว ยังคิดว่าเฉิงกั๋วกงจะรั้งอยู่ที่ติ้งโจวเสียอีก
“ไปเมืองเหอเจียน” เฉิงกั๋วกงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ด้านนั้นถึงจะเหมาะที่สุด”
เขายื่นมือวาดเส้นเส้นหนึ่งบนโต๊ะ
“เป่าโจว สยงโจว ป้าโจว”
สามเมืองนี้อยู่ชิดติดแนวแม่น้ำ มือของเขาหยุดชะงักบนโต๊ะ
“ข้า จะเฝ้าอยู่ที่นี่ ยังเฝ้าอยู่ที่นี่”
จะคำหนึ่งและยังคำหนึ่งนี้ทำให้บรรดาขุนนางกับแม่ทัพตรงนั้นในดวงตาแสบเคือง
แม้ชายแดนเปลี่ยนไปแล้ว แต่เฉิงกั๋วกงยังคงเฝ้าอยู่ในสถานที่อันตรายที่สุด
“ขอรับ” พวกเขาเอ่ยพร้อมเพรียง “ขอให้ท่านกั๋วกงจัดระเบียบกองทัพใหม่อีกครั้ง”
วันนี้สามเมืองยกให้ กองทหารที่ต่างๆ ถอนกำลังกลับมาวุ่นวาย ควรถึงเวลาจัดระเบียบใหม่อีกครั้งแล้ว
เฉิงกั๋วกงพยักหน้า
“วางใจ จัดระเบียบกองทัพใหม่อีกครั้ง พวกเราจะยังคงเฝ้าอยู่ที่แดนเหนือ แม้โจรจินเข้ามาในมณฑลเหอเป่ยแล้ว พวกเขาก็อย่าคิดเหยียบข้ามเส้นเขตแดนสักก้าว” เขาเอ่ย
แม่ทัพทั้งหลายตรงนั้นขานรับพร้อมเพรียง
“ขอเพียงท่านกั๋วกงท่านยังอยู่ พวกเราก็ไม่กลัวใครทั้งนั้น” มีแม่ทัพคนหนึ่งตาแดงเอ่ยอย่างฮึกเหิม
นอกประตูมีคนรีบร้อนเดินเข้ามา ได้ยินคำพูดนี้ก็อดไม่ได้ยินนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม
คนในห้องล้วนมองไปทางเขา ไม่พอใจอย่างยิ่งกับการเข้ามากะทันหันขัดบรรยากาศของเขา
“มีเรื่องอะไร?” ขุนนางคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยถาม
คนผู้นั้นอยากพูดก็หยุด สายตามองไปทางเฉิงกั๋วกง
“พูดมาเถอะ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย
คนผู้นั้นก้มศีรษะเทินจดหมายฉบับหนึ่งมา
“ข่าวจากเมืองหลวงบอกว่าฝ่าบาทเรียกท่านกั๋วกงกลับเมืองหลวงทันทีขอรับ” เขาเอ่ยเสียงเบา
กลับเมืองหลวงรึ
บรรยากาศในห้องแข็งค้าง
“เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ท่านกั๋วกงกลับไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็สมควร” แม่ทัพคนหนึ่งฝืนยิ้มนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น
คนที่ส่งข่าวยิ่งก้มศีรษะลงต่ำ
“ฝ่าบาทบัญชาให้ชิงเหอปั๋วรับช่วงมณฑลเหอเป่ย เป็นจอมทัพของกำลังพล” เขาเอ่ยต่อ
ชิงเหอปั๋ว!
รับช่วงแดนเหนือ!
คำพูดนี้ออกมาปุบ ผู้คนสีหน้าเปลี่ยนไปมหันต์ทันที