บทที่ 305: ราชวังเทพหยกไม้ (1)
หลังจากที่ได้ยินมาดามหงกล่าวเช่นนั้น ซ่งจงเข้าใจทันทีว่าทำไมฉุ่ยจิ้งจึงมีแต่ผู้คนให้ความเคารพเมื่ออยู่ในสำนักเสวียนเทียน ในตอนแรกเขาคิดเรื่องใต้เอวกับนางอยู่บ้างว่าพอจะมีหวัง แต่ในตอนนี้ทุกสิ่งถูกหยุดไว้เพียงเท่านี้ เขาไม่มีหนทางที่จะไปต่อได้แน่นอนในเส้นทางนั้น สุดท้ายแล้วเขาตัดสินใจว่าจะไม่ยั่วยุผู้ใดหรือสร้างความไม่พอใจให้กับใครโดยเด็ดขาด
หลังจากเรื่องเหล่านี้ผ่านไป ซ่งจงหยุดคิดทั้งหมด เขาว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระเกินไป จากนั้นเขาถามถึงหงหยิง จากนั้นเขาก็ได้รู้ว่าหงหยิงนั้นอยู่ในการฝึกฝนแบบปิด นางเข้ากำลังต่อสู้กับสภาวะตีบตันของระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้าย หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ซ่งจงตกใจอย่างมาก แน่นอนว่าเขารู้ถึงความแตกต่างของเขาและนางเป็นอย่างดี แต่ในเวลาสิบปีหงหยิงสามารถเข้าสู่ระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายได้ แม้แต่ฉุ่ยจิ้งก็ยังสามารถทำได้เพียงระดับปฐมภูมิขั้นกลางเท่านั้น อีกทั้งมันจะเพราะความช่วยเหลือจากเขาในการผ่านพ้นสภาวะตีบตันในช่วงสุดท้ายมาได้ หงหยิงนั้นเข้าสู่การฝึกฝนแบบปิดและมุ่งหน้าสู่ระดับปฐมภูมิได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขาคิดไม่ผิด อีกไม่เกินสิบปีนางจะสามารถเข้าสู่ระดับจินตันได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าสำหรับคนธรรมดาทั่วไป ร้อยปีก็นับว่าเร็วมากแล้ว! ช่องว่างของกาลเวลาเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นการแยกเหล่าอัจฉริยะออกจากคนธรรมดาได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฟังมาดามหงอธิบายแล้ว ซ่งจงรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่หงหยิงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นอัจฉริยะอยู่ภายในพื้นที่แห่งนี้ แต่ทว่านางกลับเป็นพรสวรรค์เดียวที่โดดเด่นมากที่สุดที่พันปีจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง อีกทั้งนางยังครอบครองสมบัติวิญญาณก็คือกระบี่เฟิงหมิงอีกด้วย แม้ว่านางจะยังดูธรรมดาทั่วไป แต่ถึงอย่างไรความโดดเด่นเช่นนี้ก็ไม่อาจทำให้สำนักเสวียนเทียนมองข้ามได้
ดังนั้นพรสวรรค์เช่นนี้มักจะดึงดูดผู้ฝึกตนระดับสูงมากมาย รวมไปถึงเหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับเลือนจือก็ยังสนใจที่จะเป็นอาจารย์ให้กับนาง ความโดดเด่นของนางเช่นนี้ แน่นอนว่าในอนาคตจะนำความรุ่งเรืองมากมายมาสู่สำนักเสวียนเทียน เช่นนี้ผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินห้าคนจึงรับนางเป็นศิษย์ในการดูแลทันที
โดยปกติแล้วตระกูลหงนั้นจะไม่ละทิ้งการฝึกฝนของตนเอง สำหรับอัจฉริยะอย่างเช่นหงหยิงที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คือคนของตระกูลหง แต่ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่สามารถสนับสนุนนางได้เท่าที่ควร เช่นนี้จึงยกนางให้เป็นศิษย์ของอาวุโสแทน และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ฝึกฝนเหล่าสาวกคนอื่น แต่หงหยิงก็ต้องนำทรัพยากรกลับมาสนับสนุนคนของตระกูลด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้สิ่งต่างๆกำลังเป็นไปด้วยดี ตระกูลหงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หงหยิงก็ได้พบกับอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนาง ซึ่งอาวุโสระดับเฟินเสินนั้นฝึกฝนนางอย่างหนัก การลำบากในวันนี้แน่นอนว่าในวันหน้าจะต้องสบาย! ภายใต้ความเข้มงวดของเขา หงหยิงนั้นจะได้กินอาหารที่ยอดเยี่ยมที่มันจำเป็นต่อการฝึกฝนของนางอย่างน้อยวันละสามครั้ง ดังนั้นนางจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพลังปราณจิตวิญญาณใดๆ ไม่ว่าอย่างไรขอบเขตของนางก็สามารถขยายออกอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับพลังของตน
เมื่อมองย้อนไปเมื่อก่อน หงหยิงนั้นดื่มชาวิถีเต๋ากับซ่งจงอยู่เสมอ พวกเขานั้นรู้สัจธรรมแห่งเต๋ามากมายในเวลานั้น ซึ่งในตอนนี้มันส่งผลอย่างมากในตอนนี้ นางแข็งแกร่งและพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งอาจารย์ของนางยังมอบยาอายุวัฒนะให้อย่างมากมาย แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยาแม้แต่น้อย
หลังจากรู้ข่าวว่าหงหยิงนั้นมีความเป็นอยู่ที่ยอดเยี่ยม ซ่งจงรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก เขาภูมิใจในตัวนางและในตอนนี้นางกำลังฝึกฝนแบบปิด เขาไม่คิดที่จะเข้าไปรบกวนแต่อย่างใด ในตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องการมอบดาบมังกรทมิฬให้กับนางเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
จากนั้นสองสามีภรรยาตระกูลหงจัดห้องโถงระดับสูงเพื่อให้เขาพักผ่อน จากนั้นเชิญร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน เสร็จสิ้นทุกอย่างทั้งหมดแยกย้ายเพื่อรอให้อาวุโสมาพบกับสามีภรรยาทั้งสอง ทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่มาดามหงคิดเอาไว้อย่างชัดเจน
วันเวลาผ่านไปราวกระพริบตา ในตอนนี้ผ่านมาแล้วหลายวัน
ในวันนี้ซ่งจงอยู่ในสมาธิ เขาถูกเรียกตัวโดยสองสามีตระกูลหง หลังจากที่เขาเดินออกมาด้านนอกและเห็นว่าทั้งสองกำลังพูดคุยกับใครบางคน
มาดามหงกวักมือเรียกซ่งจงและกล่าวว่า “เด็กน้อยมานี่สิ วันนี้เจ้าจะต้องไปพบกับผู้นำของตระกูลหง ไปสร้างความเสียหายให้กับตระกูลฮัวกันเถอะ!”
“ขอรับ!” ซ่งจงตอบรับ จากนั้นเขามองเห็นว่ามีอีกสองถึงสามคนกำลังบินมา ทั้งหมดสวมชุดคลุมสีดำและมีออร่าที่แข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ธรรมดาเพราะบนเสื้อคลุมนั้นปักเครื่องหมายของจักรพรรดิ!
จากนั้นมาดามหงได้แนะนำซ่งจงให้กับพวกเขาและบอกกล่าวกับซ่งจงว่าทั้งสองนี้คือใคร ชายชราคนหนึ่งอยู่ในใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เขาเป็นผู้นำของตระกูลหงนามว่า หงเถิงเฟย ซึ่งรู้จักกันในฉายาพันดาบศักดิ์สิทธิ์
หงเถิงเฟ่ยนั้นสุภาพกับซ่งจงอย่างมาก หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยทั้งหมดบินไปด้วยดาบจักรพรรดิมุ่งหน้าไปยังอาคารหลักของสำนักเสวียนเทียน!
หลังจากที่มาถึงแล้ว พวกเขาพบกับผู้ฝึกตนมากมายล้วนแต่อยู่ในระดับสูงและทั้งหมดมาเพื่อประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ซึ่งจะแยกออกเป็นห้องไป
ซ่งจงเดินเข้ามาในห้องหนึ่ง สถานที่แห่งนี้มีเพียงเทพธิดาเหมยฮวาเท่านั้นที่ซ่งจงรู้จัก นอกนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินทั้งสิ้น แต่เขารู้จักอยู่สามคนนั้นก็คือผู้ฝึกตนของสำนักเสวียนเทียนที่เคยไปพบเขาเพื่อตรวจสอบสำนักเสวียนเทียนและทำการแลกเปลี่ยนสิ่งของให้กับซ่งจง ซึ่งนั่นก็คือลายเส้นสายธารโลหิตซึ่งทำให้เขารอดตายมาได้เป็นหมื่นครั้ง!
เมื่อทั้งสามได้เห็นซ่งจงอีกครั้ง การแสดงออกบนใบหน้าของทั้งสามนั้นแตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าผู้ที่ได้รับชาวิถีเต๋านั้นยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร ส่วนอีกสองคนที่ต้องกลับบ้านมือเปล่านั้นยังมีสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
สำหรับผู้ฝึกตนคนอื่นนั้นยังคงนั่งหลับตาอย่างสงบนิ่งเมื่อซ่งจงเดินเข้ามาแล้ว มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สวมเสื้อคลุมเต๋าสีเขียวและจ้องมองซ่งจงด้วยท่าทีที่มุ่งร้ายอย่างชัดเจน เขาไม่เก็บอาการของตนแม้แต่น้อย ถึงจะอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากก็ตาม
เมื่อเห็นว่าซ่งจงกำลังโดนคุกคาม มาดามหงรีบเดินเข้าไปหาซ่งจงพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นั่นคือผู้นำของราชวังอัคคี ฮัวชิว เขาคือบิดาของฮัวอวิ๋นและฮัวชิงหยุน เจ้าทำให้บุตรชายของเขาหมดสภาพ อีกทั้งบุตรสาวยังกลายเป็นบ้า เจ้าอย่าได้ตกหลุมพรางของเขาเชียวล่ะ อย่าลดตัวไปเล่นกับเขา!”
เห็นได้ชัดเจนว่าสำนักแห่งนี้นั้นเข้มงวดมาก ทุกคนไม่มีใครพูดคุยกัน การทักทายมีเพียงการพยักหน้าเท่านั้น แม้แต่สองสามีภรรยาตระกูลหงยังต้องกระซิบกันอย่างแผ่วเบา
ซ่งจงนั้นเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะไปยุ่งกับคนเช่นนั้นอยู่แล้ว เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เขายืนอยู่ด้านข้างสองสามีภรรยาตระกูลหงและหงเถิงเฟ่ยเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับฮัวชิว!
ด้วยท่าทางของฮัวชิวที่มีต่อซ่งจงนั้นทำให้สองสามีภรรยาตระกูลหงรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมาะที่จะสั่งสอนเขา เพียงเพราะฮัวชิวแสดงท่าทางเช่นนั้นทำให้โถงนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึดอัดชวนอ้วกอย่างมาก เหล่าคนโดยรอบกำลังสนใจว่าตระกูลฮัวจะหยิบอะไรออกมาเล่นในวันนี้
หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง มีเสียงระฆังดังขึ้น ทุกคนลุกขึ้นเพื่อแสดงความเคารพทันที จากนั้นปรากฏชายชราที่ดูเหมือนกับว่ายังไม่ตื่นดีนักเดินขึ้นมาบนบัลลังก์ที่นั่งสูงสุด พลังของเขาแข็งแกร่งจนไม่รู้ว่าเขาเข้ามาที่นี่เมื่อไหร่ ร่างกายของเขาดูธรรมดาราวกับมนุษย์ทั่วไป ซึ่งถ้าหากมองผ่านๆก็คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะแข็งแกร่ง
ไม่ต้องพูดให้มากความ ชายในชุดคลุมดำผู้นี้คือจ้าวสำนักเสวียนเทียน ซึ่งอยู่ในระดับเลือนจือ การฝึกฝนของเขาคือธาตุน้ำ
หลังจากที่สุ่ยเมิ่งหลงเข้ามา ดวงตาของเขานั้นดูเกียจคร้านอย่างยิ่ง ในขณะที่มันค่อยๆเผยเปลือกตาขึ้นมาทำให้มองเห็นความงดงามของดวงตานั้น ทุกคนภายในห้องนั่งลง มีเพียงซ่งจงและสองสามีภรรยาตระกูลหงเท่านั้นที่ยังยืนอยู่
จนถึงตอนนี้สุ่ยเมิ่งหลงยังอยู่เกียจคร้านเช่นเดิม เขามองมาที่ซ่งจงอย่างเฉยเมย เช่นนี้ทำให้ซ่งจงรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ร่างกายของเขาราวกับกำลังจมอยู่ใต้น้ำ ความอึดอัดถาโถมเข้ามาราวกับเขากำลังถูกขังอยู่ใต้ทะเลลึก
โชคดีที่ซ่งจงรับรู้ได้ว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น เขาฟื้นฟูสภาพจริงใจตนเองกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ซ่งจงเพียงหน้าซีดเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าหากเป็นคนอื่นที่อ่อนแอมากกว่านี้อาจจะเสียสติพร้อมกับต้องตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างแน่นอน!