กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ – ตอนที่ 1

ตอนที่ 1
ภาค 6 ตอน 1 หวังลู่กับช่วงเวลาแห่งวรรณศิลป์

            การเดินทางจากเขาอวิ๋นไท่กลับมายังเขากระบี่วิญญาณปลอดภัยดีตลอดเส้นทาง

            เมื่อกลับมาถึงเขากระบี่วิญญาณ ชีวิตก็กลับมาสงบสุขและเงียบสงบดังเดิม ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ หรือหักมุมใดๆ เกิดขึ้น ตอนที่หวังลู่ประกาศว่าตนกับป๋ายซือเสวียนสัญญาว่าจะแต่งงานกันก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้ถึงสายตาเย็นชาลึกลับหลายคู่จ้องมองมาจากด้านหลัง ทว่าก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรตามมา ราวกับว่าเรื่องคราวนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

            เมื่อกลับมาถึงเขากระบี่วิญญาณ สหายเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ก็แยกตัวกันไป หลิวหลีกลับไปยังยอดเขากระจ่างและรายงานประสบการณ์ที่ได้รับให้โจวหมิงผู้เป็นอาจารย์ของนางฟัง หวังอู่พาป๋ายซือเสวียนและเด็กสาวหูแมวหลิงเยียนไปคารวะเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณ และได้รับสัญลักษณ์กระบี่แห่งสำนักกระบี่วิญญาณมาอย่างราบรื่น พวกนางกลายเป็นสมาชิกของสำนักเต็มตัว แถมยังได้อภิสิทธิ์ของสมาชิกระดับขั้นสร้างแกนโดยที่ไม่ถูกเลือกปฏิบัติเพราะมีต้นกำเนิดจากสัตว์ภูตแม้แต่น้อย

            บางสำนักก็ไม่มีความจำเป็นต้องประกาศให้สังคมรับรู้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนเท่าเทียมกัน เพราะความเท่าเทียมที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องพูดออกมา

            ฉวนโจ่วฮวายังเป็นสุนัขจอมทึ่ม เซ่อซ่า เต็มไปด้วยชีวิตชีวาไร้ซึ่งความกังวลเหมือนเดิม ระหว่างออกเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์กับหวังลู่ เรื่องเด่นๆ ของมันอาจมีไม่มาก ทว่าหากลองสางเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาดีๆ ก็ไม่ยากที่จะพบว่าความจริงแล้วที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีได้ก็เพราะมัน ทว่าจะเป็นเจตจำนงของสวรรค์ไปกี่ส่วน และเป็นเจตจำนงของมนุษย์ไปก็ส่วนก็พูดได้ยาก

            ส่วนหวังลู่นั้น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ดื่มด่ำกับการแช่ตัวในอ่างยาที่ผู้เป็นอาจารย์จัดเตรียมให้ แถมนางยังช่วยนวดร่างกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้เองอีกด้วย หลังจากการนวดเสร็จสิ้น หวังลู่ก็รู้สึกว่าร่างของเขาเหมือนเกิดใหม่ก็ไม่ปาน

            แน่นอนว่าหากไม่ได้รับการดูแลเช่นนี้ หวังลู่คงต้องตายแน่ เพราะความกดดันจากซ่าวป๋อ ทำให้หวังลู่ต้องทุบหม้อข้าวจมเรือ [1] และสำแดงกระบี่เพชรไร้ลักษณ์ที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ออกมา ทว่ามันก็ต้องแลกด้วยราคาที่แสนแพง ภาระที่ร่างกายต้องแบกรับนั้นเกินขีดจำกัดที่จะทานทนได้

            หลังจากการโจมตีนั้น หวังลู่ก็ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมากดอาการบาดเจ็บในร่างกายทันที แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ในตอนนั้นมันแค่แสดงออกมาในรูปแบบของอาการอ่อนเพลีย แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่คืออันตรายใหญ่หลวง… โชคดีที่การแช่ตัวยาของอาจารย์ช่วยทำให้อันตรายที่ซ่อนอยู่ในร่างของหวังลู่หายไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือนั้นกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์จะเยียวยาไปตามธรรมชาติเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้เมื่อใด

            แต่นี่ไม่ใช่เรื่องหลักที่เขาใส่ใจ

            “หากให้ประเมินตัวเอง เจ้าว่าเจ้าจะได้คะแนนจากการเรียนรู้ครั้งนี้เท่าไร”

            หลังจากนวดเสร็จ ขณะกำลังใช้ผ้าเช็ดตามมือ หวังอู่ก็ถามหวังลู่ที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงข้างๆ นาง

            ตอนนั้นเส้นเลือดทั่วตัวของหวังลู่ล้วนผ่อนคลายจนเหมือนเขากำลังอยู่ในสวรรค์ชั้นเจ็ดก็ไม่ปาน เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เจือ ‘ความอ่อนเปลี้ยที่สุขสม’ “แน่นอนว่าต้องหนึ่งร้อยแต้ม!”

            หวังอู่พ่นลมออกจากปาก “ข้าน่าจะขัดผิดหน้าเจ้าให้มากกว่านี้สักหน่อย หนึ่งร้อยแต้ม? เจ้าคิดไปเองคนเดียวล่ะสิ”

            หวังลู่กล่าวสบายๆ “คะแนนเต็มคือสองร้อย… ตอนจบของการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์นี้ แม้แต่ท่านที่เป็นอาจารย์ก็ยังตื่นตกใจ แล้วข้าจะใจกล้าให้ตัวเองได้คะแนนเต็มได้ยังไง”

            หวังอู่กล่าว “ดีที่เจ้ายังรู้ตัว หากข้าไม่ไปช่วยเจ้า ป่านนี้เจ้าโดนผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สองคนนั่นฆ่าตายไปแล้ว”

            เมื่อเป็นเรื่องสถานการณ์อันตราย หวังลู่ก็อดถอนหายใจอย่างหงุดหงิดไม่ได้ “การถอนเขี้ยวจากปากเสือนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

            อาจารย์ของเขาเองก็ถอนใจเช่นกัน “แน่ละว่าการถอนเขี้ยวจากปากเสือไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าด้วยความสามารถของเจ้ามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น หากเจ้าใช้ความเจ๋งของนักผจญภัยมืออาชีพ เจ้าไม่เพียงจะถอนเขี้ยวจากปากเสือได้ จะปล่อยน้ำใส่ปากมันก็ยังได้เลย”

“…”

            “ฟังที่ข้าพูดนะ หากตอนที่เจ้าไปถึงเขาอวิ๋นไท่ เจ้าไม่ทำตัวให้เป็นที่สังเกต หลบเลี่ยงที่จะปะทะโดยตรงกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ เจ้าว่าเรื่องในตอนหลังจะไม่ราบรื่นกว่านี้หรือ”

            หวังลู่ถอนหายใจแต่ไม่ได้พูดอะไร ด้านหนึ่งนั้นเขาเกิดอาการเกียจคร้านจากร่างกายที่อ่อนล้าดังนั้นจึงไม่คิดจะโต้แย้ง ส่วนอีกด้านหนึ่งสิ่งที่อาจารย์พูดนั้นตรงเผง ไม่มีผิดแม้สักเสี้ยว

            หากตอนแรกเขาไม่ใส่ใจกับการท้าทายของศิษย์สองคนนั่นและเก็บตัวอยู่เงียบๆ เรื่องในภายหลังคงไม่เต็มไปด้วยการหักมุมเช่นนี้ ด้วยวิธีของหวังลู่ หากเขาอยู่ในที่มืดและศัตรูอยู่ในที่สว่าง เขาย่อมพาตัวสัตว์เซียนออกมาโดยที่คนอื่นยังไม่ทันรู้ตัวได้ ทว่าผลที่ได้รับนั้นมาจากการกระทำที่บุ่มบ่าม แม้จะประณีตด้วยชั้นเชิงและกลยุทธ์ แต่ก็เจือรสชาติของ ‘พาตัวเองไปซวย’ ด้วยเช่นกัน

            “แน่นอนว่า เจ้าจะเลี่ยงไม่ใช้วิธีซ่อนตัวด้วยการอ้างว่าต้องการคะแนนชื่อเสียงก็ได้ ทว่าความจริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ว่าจะด้วยชื่อตัวแทนหลักของสำนักกระบี่วิญญาณ รวมถึงชื่อเจ้าสำนักภูมิปัญญาก็ไม่อนุญาตให้เจ้าได้ทำอะไรเงียบๆ แน่ ดังนั้นแม้เจ้าจะรู้ดีว่าตบะขั้นของตัวเองยังไม่ถึงขั้น เจ้าก็ยังจะทำตัวฝืนชะตาสวรรค์ด้วยการโลดแล่นอยู่บนปลายกระบี่ โชคดีที่สุดท้ายแล้วมันออกมาดีเพราะเจ้าผ่านเส้นทางที่ฝืนลิขิตสวรรค์มาเกือบจะหมดแล้ว หากไม่ใช่เพราะความรักของเจ้ากับป๋ายซือเสวียน ต่อให้ข้าก้าวเท้าออกหน้าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพานางกลับมา… ดังนั้นข้าจึงถือว่าเจ้าผ่านการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ โดยรวมแล้วแม้การสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้จะไม่ยาวนาน แต่ก็มีหลายสิ่งควรค่าที่จะสรุปไว้ สองวันต่อจากนี้ระหว่างที่เจ้าพักฟื้นและไม่อาจบำเพ็ญเซียนได้ ข้าอยากให้เจ้าเขียนรายงานมาส่งข้า”

            หวังลู่ทะลึ่งขึ้นจากเตียงในทันที “รายงานอะไร!?”

            “รายงานประสบการณ์ที่เจ้าได้รับที่เขาอวิ๋นไท่ เน้นที่ความเป็นมาของการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ องค์ประกอบของคณะเดินทาง ขั้นตอนในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ การบรรลุผล และมุมมองอื่นๆ นอกจากนี้เจ้ายังต้องวิเคราะห์ปัญหาที่เจ้าต้องเผชิญ รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับขั้นตบะของเจ้า เจ้าจะต้องวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนและระบุถึงวิธีแก้ที่ปฏิบัติได้จริง”

            “นี่ท่านล้อข้าเล่นเรอะ แล้วข้ายังต้องแช่ตัวในยาด้วยรึเปล่า ข้าไม่ได้ลงเขาไปนานขนาดนั้นเสียหน่อย แล้วทำไมต้องมาทำอะไรที่เสียสุขภาพแบบนี้ด้วย”

            ผู้เป็นอาจารย์กล่าวเสียงเรียบ “นอกจากเขียนรายงานฉบับนี้แล้ว ข้าเชื่อว่าในไม่กี่วัน จดหมายท้วงติงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะถูกส่งไปยังสำนักงานใหญ่ของพันธมิตรหมื่นเซียนแน่ แม้มันอาจไม่สร้างปัญหาให้เราเท่าไร แต่เราย่อมไม่อาจเลี่ยงสงครามคำพูดได้ ถึงเวลานั้นเจ้ามีหน้าที่ต้องสื่อสารผ่านจดหมายกับสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์”

            “เวรอะไรเนี่ย”

            “นอกจากนี้เพราะโอกาสแห่งเซียนที่เจ้าได้รับในการเดินทางสั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ตบะขั้นของเจ้าก้าวหน้าจนบรรลุถึงขั้นพิสุทธิ์ เพราะฉะนั้นเจ้าก็ต้องเตรียมตัวบำเพ็ญเซียนวิชาขั้นต่อไป รวมถึงเตรียมกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์และวิชากระบี่ไร้ลักษณ์ให้พร้อม พอเจ้าเขียนรายงานเสร็จแล้วข้าจะสอนวิชาให้ และเจ้าก็ต้องฝึกทุกวันวันละหนึ่งชั่วยาม”

            “แม่งเอ๊ย!”

            “เอาละ วันนี้พอแค่นี้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าจะมาบอกเจ้าทันที”

            พูดจบผู้เป็นอาจารย์ก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่ใส่ใจอาการตกตะลึงของหวังลู่แม้แต่น้อย

            เมื่อออกมานอกกระท่อม หญิงสาวก็มองกลับไปยังหวังลู่ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ

            ฮ่ะๆ ต้องขอบคุณความเอาใจใส่และจิตใจที่ดีงามของข้าหรอกนะ เจ้าศิษย์หน้าโง่ที่ไม่เคยให้ใครได้อยู่อย่างสงบเอ๋ย… หากข้าไม่ใช้วิธีนี้ทำให้เจ้ายุ่งหัวหมุนเหมือนสุนัข วายร้ายอย่างเจ้าที่ชอบจินตนาการอะไรไปใหญ่โตย่อมต้องทำเรื่องที่อันตรายแน่ ตอนที่อยู่บนเขาอวิ๋นไท่ เจ้าสร้างหายนะให้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ตอนนี้เจ้ากลับมาที่ยอดเขาไร้ลักษณ์แล้ว ข้าไม่ยอมให้เจ้าสร้างหายนะให้ข้าแน่

            ขณะเดียวกันหวังลู่ที่กำลังอยู่ในอารมณ์อ่อนไหวของวัยรุ่นก็รู้สึกเดียดฉันท์สตรีไม่น้อย

            เขาก้าวเท้าเข้ามาในเส้นทางของโลกบำเพ็ญเซียนมากว่าหนึ่งทศวรรษแล้ว ระหว่างนั้นเขาสามารถพัฒนาสำนักขนาดใหญ่จนมีสถานะที่น่าเคารพนับถือ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเขากลับไม่เข้าใจความรู้สึกระหว่างชายหญิง เขาควรต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง เขาเป็นถึงตัวแทนหลักของสำนักกระบี่อันดับหนึ่งแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน! เขาควรต้องมีอาวุธแหลมคมที่สามารถฟาดฟันทุกปัญหาที่เข้ามาหาตัวได้!

            เขาต้องการปณิธานอันแรงกล้า!

            นานๆ ทีอาวุโสห้าจะใจดีและเอาใจใส่ แต่โชคร้ายที่การทำในสิ่งที่ไม่ถนัดผลลัพธ์จึงมักไม่ดีนัก นางพยายามบรรเทาอารมณ์ของหวังลู่ด้วยการให้เด็กหนุ่มทำงานหนัก ทว่าแค่แผนขั้นแรกก็ผิดพลาดเสียแล้ว

            เพราะการเขียนรายงานที่ยุ่งยากไม่อาจขับไล่ความเงียบเหงาในใจคนได้ แม้ในความคิดของอาวุโสห้า การเขียนรายงานที่ยุ่งยากจะกินเวลา ทำให้รู้สึกหงุดหงิดและไม่อาจจดจ่ออยู่กับความคิด สุดท้ายก็จะรวบรวมความคิดไม่ได้ ทว่าครั้งนี้จิตใจของหวังลู่กลับอยู่ในสภาวะที่ว่า ‘ต่อให้มันยุ่งยากเพียงไรข้าก็ยังทำได้อยู่ดี’ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่อาจารย์ต้องการ บวกกับอาการบาดเจ็บที่ทำให้เขามีเวลาว่าง เขาจึงลงแรงลงใจไปกับการเขียนรายงานที่ยุ่งยากนี้

            แม้เนื้อหาของรายงานสุดวายป่วงนี้จะค่อนข้างสับสนในความคิดของใครหลายคน ด้วยข้อความที่ไม่ได้หรูหราหรือมีประโยชน์และอาจกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยคำพูดอวดอ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือบทความวายป่วงที่แสนวิเศษ ในมุมของผู้เขียน ทุกคำทุกวลีนั้นกระชับเหมาะเจาะ แม้สำนวนจะไม่ได้ดีเลิศ แต่ตรรกะที่แฝงอยู่นั้นมีอยู่อย่างสูงส่ง และในเมื่อมันเป็นรายงานสรุป สิ่งสำคัญที่สุดคือภาพรวมที่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดแจ้ง

            ดังนั้นทันทีที่หวังลู่จับปากกา เขาก็ดำดิ่งลงสู่ความทรงจำอย่างที่ไม่อาจสลัดหลุดออกมาได้

            ระหว่างที่อยู่บนเขาอวิ๋นไท่ ภาพจำของการเดินทางสั่งสมประสบการณ์แต่ละฉากยังคงแจ่มชัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการจำเป็นภาพของนักเรียนดีเด่นเช่นหวังลู่… ตั้งแต่ฉากที่เขาบินไปยังแคว้นสายหมอกเป็นครั้งแรก ฉากที่ได้พบผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่รักใคร่ในตัวสุนัข ฉากการต่อสู้กับฉือโฮ่ว และฉากที่ไม่อาจลืมเลือนได้ที่ใจกลางทะเลสาบมรกต

            ระหว่างที่เขียนรายงานนั้น เมื่อใดก็ตามที่อารมณ์ซึ่งไม่อาจบรรยายได้เอ่อท่วมจิตใจ หวังลู่ก็ทำได้เพียงถอนใจ ทว่าในเมื่ออาจารย์คาดหวังว่าเขาจะต้องเข้มแข็ง ดังนั้นหลังจากที่หดหู่อยู่พักหนึ่ง ความมีเหตุมีผลของนักผจญภัยมืออาชีพก็เข้ามาแทนที่

            เรื่องบางเรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องตั้งใจเพิกเฉยหรือลืมเลือน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจมจ่ออยู่กับมันเช่นกัน เทียบกับเมื่อห้าปีก่อนตอนที่เขาตัดสินใจเอ่ยลาบิดามารดาที่หมู่บ้านตระกูลหวัง แม้เขาจะต้องการปณิธานอันแรงกล้าไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้ต้องการกำลังใจมากถึงขนาดนี้

            ทันทีที่หวังลู่ยกปากกา รายงานที่ออกมานั้นจะต้องถูกเขียนอย่างรอบคอบ ทว่าในเมื่อตอนนี้ใจของเขาแฝงด้วยอารมณ์บางอย่าง รูปแบบการเขียนจึงค่อนข้างแตกต่างไปจากเดิม ในรายงานนี้จุดหลักคือการสะท้อนตัวเอง เนื้อหาเรื่องการเตรียมการของเขาระหว่างออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ และการต่อสู้ที่น่ายกย่องนับครั้งไม่ถ้วนกับศัตรูที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถูกบรรยายด้วยถ้อยคำสั้นๆ และกระชับ ทว่าในส่วนของการวิเคราะห์ความผิดพลาด เขากลับตั้งใจเขียนเป็นอย่างมาก หวังลู่ครุ่นคิดถึงทุกถ้อยคำและทุกการกระทำระหว่างที่เรียนรู้สั่งสมประสบการณ์และใส่รายละเอียดทุกอย่างที่ควรต้องปรับปรุงลงไป

            เนื้อหานั้นน่าตกใจถึงขนาดที่ว่าหวังลู่วิพากษ์ตัวเองอย่างรุนแรงทุกช่วงเวลาที่เขาเสียสมาธิแทนที่จะจดจ่ออยู่กับการบำเพ็ญเซียนระหว่างที่อยู่บนเขาอวิ๋นไท่ ทว่าผลที่ได้รับก็คือ เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ นั่นคือความรู้สึกสามารถรับรู้ได้ด้วยใจแต่ยากที่จะเขียนออกมาเป็นถ้อยคำ

            สองวันต่อมา หลังจากที่เยียวยาจนอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว หวังลู่ก็วางปากกาและมองดูตัวหนังสือนับหมื่นตัวในรายงานเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ครั้งนี้ เขาถอนหายใจ ถูนิ้วมือจนไฟสมาธิปรากฏขึ้น และภายใต้แสงไฟนั้น ความหลักแหลมและเฉียบขาดของนักผจญภัยมืออาชีพก็กลับคืนมาดังเดิม

            ทว่ามันยังต้องรอจนกว่าเขาจะโตขึ้นกว่านี้…

            ประตูถูกเตะจนเปิดออก แล้วผู้เป็นอาจารย์ก็กระหืดกระหอบเข้ามา “เด็กเวรนี่ แค่อกหักเจ้าถึงกับจะเผาตัวเองเลยเรอะ?!”

[1] หมายถึงสังเวยตัวเอง

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

Status: Ongoing

ณ วันที่ดาวหางขนาดมหึมาพุ่งเฉียดโลก… เด็กคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในแผ่นดินเก้าแคว้น 12 ปีต่อมา… สำนักกระบี่วิญญาณ หนึ่งในห้าสำนักเก่าแก่ของพันธมิตรหมื่นเซียนได้จัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนขึ้น เพื่อเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์แห่งโลกบำเพ็ญเซียน ‘หวังลู่’ เด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้ไร้ซึ่งชะตาเซียนทว่ากลับเกิดมาพร้อมรากวิญญาณนภาที่ไม่เคยปรากฏในรอบหลายพันปี การผจญภัยบนเส้นทางเซียนอมตะของเขาจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่นี่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท