บทที่ 90 บุคคลผู้นำพาให้บ้านเมืองลำบาก (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ตอนนั้นองค์ชายสามผู้ฉลาดเฉลียวอนาคตก้าวไกล และอดีตผู้นำตระกูลแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นอย่างซูจิ่นรั่ง ก็เสียชีวิตลงหลังจากที่ซูหว่านเกิดขึ้นได้ไม่นาน อีกอย่างเองหากแม้นซูจิ่นรั่งไม่เสียชีวิตไปก่อน ชื่อเสียงของบ้านสกุลซูก็คงไม่ตกต่ำได้ไวถึงเยี่ยงนั้น แบบนี้…
ฮ่องเต้เองก็ไม่จำเป็นรีบต้องคิดแผนการเพื่อยึดฐานันดรของบ้านสกุลซูแล้ว
เหตุการณ์แบบนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า…
ราวกับเรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับดวงชะตาของซูหว่านอย่างใหญ่หลวง
เมื่อฟังถึงตรงนี้ความรู้สึกนึกคิดของฉู่อี้อันก็มาถึงจุดสูงสุด จากนั้นวางถ้วยชาลงอย่างไม่แยแส จากนั้นลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อ เมื่อคืนข้าอยู่ในวังมาทั้งคืน ตอนนี้ข้าทนต่อไม่ไหวแล้ว ในเมื่อร่างกายของท่านพ่อหาได้มีอันตรายอันใดอีกไม่ ถ้างั้นโปรดอนุญาตให้ข้าได้ลาไปก่อนได้หรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ตกอยู่ในภวังค์ความนึกคิดของตนเอง ได้ยินคำพูดนั้นก็ปิดเปลือกตาลงอย่างไม่สนใจ พลางพยักหน้ากล่าวขึ้นว่า “เจ้าเหนื่อยก็กลับไปพักเถิด!”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะท่านพ่อ!” ฉู่อี้อันกล่าว โค้งตัวทำความเคารพ “งั้นข้าพาสวินหยางกลับไปด้วยกันเลยพะยะค่ะ นางจะได้ไม่ต้องมารบกวน!”
ฮ่องเต้มองเขาหนึ่งครั้ง สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไป แต่ก็พยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉู่อี้อันออกมา ฮ่องเต้ก็แทบจะเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว พลางมองไปยังหยางเฉิงกังที่คุกเข่าอยู่ด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์ แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนเกิดอุบัติเหตุขึ้นนิดหน่อย ตอนนี้ทั่วป๋าไหวอันกับซูหลินร่วมมือกันขอร้องข้า ต้องการให้ข้าประทานอนุญาตให้ทั่วป๋าไหวอันและซูหว่านแต่งงานออกเรือนด้วยกัน เจ้าคิดว่า…เรื่องนี้คิดเห็นว่าอย่างไร?”
จู่ๆ ร่างกายของหยางเฉิงกังก็สั่น เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ฉับพลัน เมื่อสบตาเข้ากับฮ่องเต้ ถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองได้ทำเรื่องมิอันควรไป จึงรีบก้มหน้าก้มตาลง คิดวิเคราะห์อยู่นานก็พูดขึ้นอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “พวกคนแห่งแคว้นโม่เป่ยนั้น…หาได้ให้ความสำคัญกับดวงชะตาชีวิตของตนไม่นี่พะยะค่ะ!”
ความหมายของฮ่องเต้คือ ต้องการส่งตัวซูหว่านที่เป็นตัวกาลกิณีไปให้คนอื่นต่างหากเล่า!
หยางเฉิงกังรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก ดวงชะตาของซูหว่านที่เขาทำนายออกมานั้นเป็นตัวโชคร้ายกาลกิณีก็จริง แต่เรื่องนี้ก็ดูจากโชคชะตาของบ้านสกุลซูมาก่อนถึงได้รับการยืนยัน แต่เขาไม่กล้ารับประกันหรอกว่าในอนาคตครอบครัวของคู่ครองซูหว่านจะโชคร้ายตามกันไปด้วย
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเขาฟังความต้องการของฮ่องเต้เข้าใจทุกอย่าง เขาไม่คิดที่จะทำให้ตัวเองขายหน้าต่อพระพักตร์อีกครั้งหรอก
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นก็ยกมือขึ้นกดจุดไท่หยาง[1] นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นโบกมือบอกให้อีกฝ่ายกลับไป
หยางเฉิงกังโค้งตัวถวายบังคมจากนั้นจึงถอยออกมา
ฮ่องนั่งนิ่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นลืมตาขึ้นหันมองไปทางประตู แล้วกล่าวว่า “เรียกสองคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาได้แล้ว!”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท!” หลี่รุ่ยเสียงขานรับคำสั่งแล้วเดินออกไป
ทั่วป๋าไหวอันและซูหลินโดนเรียกเข้ามาด้านในห้องทรงอักษรอีกครั้ง ใช้เวลาอยู่ด้านในนานพอสมควร ด้านในห้องมีเพียงหลี่รุ่ยเสียงที่คอยรับใช้ฮ่องเต้อยู่ผู้เดียว เพราะฉะนั้นแล้วระหว่างพวกเขาสามคน พูดคุยอะไรไปหาได้มีผู้ใดรู้ด้วยไม่
ก่อนหน้านี้เหยียนหลิงจวินก็เดินทางกลับออกจากห้องทรงอักษรไปยังสำนักหมอหลวงมาแล้วหนึ่งรอบ แต่หมอหลวงในสำนักแต่ละคนนั้นต่างก็สังเกตเห็นว่าใต้เท้าหน้าเนื้อใจเสือของพวกเขาที่ปกติจะยิ้มหน้าละมุนละม่อมตลอดเวลา วันนี้สีหน้าท่าทางกลับผิดปกติไป รอยยิ้มบนใบหน้าน้อยลงกว่าเดิม เวลาทักทายผู้คนก็จอมปลอมจนเห็นได้ชัด จนถึงขนาดไม่สามารถพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ ยิ่งกว่านั้นยังเหมือนราวกับเจอเรื่องไม่ดีมาจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เหยียนหลิงจวินกลับมาสำนักหมอหลวงรอบหนึ่ง แต่ก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจอใครพูดอะไรกับใครไป ในใจเอาแต่จดจ้องอยู่กับเวลา เมื่อคิดว่าเรื่องทางห้องทรงอักษรนั้นใกล้จะเสร็จ ก็รีบเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดาแล้วจากออกมา
คำนวณเวลาไว้ได้อย่างดิบดี มองเห็นรถม้าของวังบูรพากำลังเคลื่อนพลกลับไปอยู่ไกลๆ พอดี
จิตใจของเขาร้อนรน รีบควบม้าวิ่งออกไป ชิงหลัวที่บังคับอยู่บนรถม้าห้ามเอาไว้ไม่ทัน ก็โดนเขาสะบัดแส้ม้าใส่จนล้มลงไปที่พื้น
ในเวลานี้เหยียนหลิงจวินคิดอยากคุยเรื่องเข้าใจผิดนั้นให้ชัดเจนอย่างเดียว เขากระโดดข้ามโครงที่เชื่อมระหว่างม้าและตัวรถไป แล้วจับบังเหียนเอาไว้
“ซินเป่า…” เขาสูดหายใจเข้าลึก หันหลังไปเปิดประตูรถม้าออก แล้วก้มตัวเข้าไป เจอเข้ากับชิงเถิงที่อึ้งจนพูดไม่ออกมองหน้าเขาอยู่
ภายในตัวรถกว้างมาก แต่กวาดตามองรอบเดียวก็เห็นทุกอย่าง เขากลับพบเห็นชิงเถิงอยู่เพียงผู้เดียว
ชิงเถิงกำลังตกใจอยู่เหตุการณ์กะทันหันตรงหน้ามาก อ้าปากค้างไม่เอ่ยคำพูดใดขึ้นสักคำ
ส่วนใต้เท้าเหยียนหลิงผู้ซึ่งไม่เคยเผยความตกใจกลัวให้ใครเคยเห็น ก็โค้งตัวมือจับไว้ที่เข่ายืนค้างอยู่ระหว่างที่บังคับม้าและประตูรถอยู่นานสองนาน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้…
ใบหน้าเต็มไปด้วยความเก้อเขินทำตัวไม่ถูก!
เดินก้มตัวเข้าไปเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ? แต่คนที่เขาต้องการตามหาไม่ได้อยู่ด้านในนี่!
เดินจากออกไปอย่างไม่เอ่ยคำใดขึ้นงั้นรึ? ไม่เพียงแต่จะเสียหน้า แต่ยังหงุดหงิดอีก!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ชิงหลัวก็รีบวิ่งตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว พูดเตือนเขาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ใต้เท้าเหยียนหลิงเจ้าคะ ท่านหญิงของพวกข้าไม่ได้อยู่บนรถหรอกเจ้าค่ะ!”
เหยียนหลิงจวินดึงสติกลับมาอย่างชาญฉลาด นิ่งเงียบกำลังจะลุกตัวขึ้นถอยออกไป พลันได้ยินเสียงหัวเราะอันคุ้นเคยกับเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กผู้หญิงดังขึ้น “ท่านพ่อโต้รุ่งมาทั้งคืน ดูสิขอบตาดำหมดแล้ว กลับไปพักเถอะเจ้าค่ะ ปีใหม่ทั้งที อย่าเพิ่งไปสนใจพวกเอกสารน่ารำคาญพวกนั้นเลย”
เขาหันไปยังทิศทางที่มาของเสียง ก็เห็นฉู่อี้อันและฉู่สวินหยางขี่ม้าเคียงคู่กันออกมาจากด้านในวัง สองพ่อลูกพูดคุยยิ้มหัวเราะให้กัน ถึงแม้ใบหน้าของฉู่อี้อันจะเข้มงวดน่าเกรงขาม แต่สีหน้าของเขานั้นอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด
เป็นอย่างที่ทุกคนเห็น…
เขารักและเอ็นดูลูกสาวคนนี้เป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่จะยินยอมให้นางปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ขี่ม้าขนาบข้างกายกันแล้ว สีหน้าท่าทางนั้นเห็นชัดเลยว่าเป็นคุณพ่อใจดี
ภาพที่สองพ่อลูกเดินเคียงข้างกันอย่างเชื่องช้านั้น ช่างเป็นภาพที่สามัคคีปรองดองกันเป็นอย่างมาก เหยียนหลิงจวินมองจนเผลอสติหลุดไปชั่วขณะ กว่าที่เขาจะรู้ตัวได้นั้นว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ของตัวเองไม่เหมาะสม คิดอยากจะหลบซ่อนตอนนั้น ฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันก็มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“องค์รัชทายาท ท่านหญิง!” ชิงหลัวก้มหน้าลง พยักหน้าทักทาย
ฉู่อี้อันปรายตามอง แล้วเบนหนี ราวกับว่ามองไม่เห็นเหยียนหลิงจวิน
ฉู่สวินหยางจึงหันมองตาม แล้วร้อง “เอ๋” เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “ใต้เท้าเหยียนหลิง? ท่านจะมาขอยืมรถม้าของพวกเรางั้นรึ? พอดีเลย พวกข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้ ท่านเอาไปใช้ได้ตามสบายเลย แต่ใช้เสร็จแล้วก็รีบเอามาคืนด้วยนะเจ้าคะ!”
ระหว่างที่พูดอยู่ก็เดินผ่านรถม้าคันนี้ไปแล้ว จากนั้นก็ยิ้มพูดคุยหัวเราะกับฉู่อี้อันต่อแล้วเดินจากออกไป
เหยียนหลิงจวินยังคงยืนอยู่ในสภาพจะเข้าก็ไม่เข้าอยู่บนที่นั่งบังคับรถม้า เมื่อฉู่สวินหยางจากออกไป ถึงแม้ตั้งแต่เริ่มจนจบจะใช้เวลาไม่นานมากเท่าไหร่ แต่ใบหน้าของเขากลับพะอืดพะอมขึ้นอย่างฉับพลัน
เมื่อเห็นฉู่สวินหยางและฉู่อี้อันค่อยๆ เดินจากออกไปไกลแล้ว ชิงหลัวรู้สึกกระวนกระวายอยู่นานแล้ว จึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ?”
ความหมายที่นางสื่อออกมา กลับยิ่งส่งเสริมคำพูดที่ฉู่สวินหยางพูดขึ้นมาอย่างลวกๆ เข้าไปอีก
“ไม่ต้อง!” อับอายขายขี้หน้าชะมัด เหยียนหลิงจวินอารมณ์เสีย กระโดดลงจากลงรถม้าอย่างเย็นชา หันหลังไปแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า จากนั้นบังคับม้าให้เดินออกไปอีกฝั่ง
ฉู่สวินหยางอยู่กับฉู่อี้อัน เขาเองจะตามไปลากตัวนางมาไม่ได้หรอกมั้ง?
อีกอย่างเมื่อครู่ฉู่อี้อันทำเป็นไม่เห็นพฤติกรรมเสียมารยาทของเขา ที่กำลังรั้งรถม้าของวังบูรพาไว้อยู่ นั่นหมายความว่ายังไงกันแน่?
ใต้เท้าเหยียนหลิงนั่งเชิดหน้าชูคออยู่บนหลังม้า มองแล้วช่างสง่างามเหลือเกิน ยังคงให้ความรู้สึกสบายไร้ซึ่งพันธะ แต่ชิงหลัวที่อยู่ด้านหลังมองด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ รู้สึกราวกับว่าแผ่นหลังของคนที่นั่งสั่นอยู่บนม้านั้นเงียบเหงาและทุกข์ใจอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อชิงเถิงรู้สึกตัวขึ้น ก็รีบลุกขึ้นมาเปิดประตูมองออกไป นึกคิดอยู่นาน แต่ก็อดไม่ได้ จนสุดท้ายเขยิบเข้าใกล้ไปถามชิงหลัวไขข้อสงสัยในใจ “นี่! เจ้าว่าใต้เท้าเหยียนหลิงกับท่านหญิงของพวกเราสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมาหาถึงที่ แต่ชื่อเล่นของท่านหญิง…ข้าจำได้ว่าขนาดท่านชายยังเรียกซี้ซั้วไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ?”
ชื่อเล่นของฉู่สวินหยาง ทั้งวังบูรพามีเพียงฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงเท่านั้นที่รู้ แถมยังรู้อยู่แก่ใจ แต่พูดออกมาไม่ได้…
นั่นเป็นคำเรียกเฉพาะขององค์รัชทายาทเท่านั้น
นับดูแล้วใต้เท้าเหยียนหลิงกับท่านหญิงของพวกนางก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน เจอหน้ากันก็นับครั้งได้ ผูกสัมพันธ์กันได้เร็วแบบนี้ มันช่างน่าสงสัยเสียจริง!
ชิงหลัวเบิกตากว้าง ผลักนางหล่นกลิ้งลงไปในตัวรถทันที จากนั้นชนเข้ากับประตูรถม้าอย่างแรง รถม้ากระตุกสั่นคลอนจนชิงเถิงเวียนหัว
ยอมรับว่าคำถามนั้นไม่ได้ดึงสมาธิของชิงเถิงไปได้เท่าไหร่นัก เพราะว่าช่วงเย็นวันนั้น นางได้ยินเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่ามาน่ะสิ…
ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการ มอบท่านหญิงซูหว่านแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น ให้อภิเษกกับองค์ชายห้าแห่งแคว้นโม่เป่ยทั่วป๋าไหวอัน!
————————————————————————
[1] จุดไท่หยาง อยู่บริเวณขมับ รักษาอาการปวดศีรษะ
บทที่ 91 จะเป็นกับดักหรือไม่ (1)
โดย
Ink Stone_Romance
เมื่อข่าวแพร่ออกมา ผู้แรกที่รู้ก็ต้องเป็นหลัวฮองเฮา
“หืม?” และในเวลานี้ตัวฮองเฮาเองกำลังยืนชมดอกไป่เหอหางจิ้งจอกใต้หน้าต่างในตำหนักอุ่นที่เพิ่งส่งใหม่มาจากห้องดอกไม้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นมือก็เริ่มสั่น เล็บแหลมเรียวกวาดกิ่งดอกไม้อ่อนนุ่ม แล้วยังกวาดเอาดอกไม้ดอกที่บานกำลังงามจนหักครึ่ง
ดอกไป่เหอดอกใหญ่ที่หอมกรุ่นไปทั่วกลีบตกลงสู่พื้น กระแทกกับปลายรองเท้าปักของนาง
“ไอหยา น่าเสียดายเสียจริง!” หลัวอวี่ก่วนเรียกนางกำนัลไม่กี่นางให้ถือขนมจากนอกตำหนักเข้ามาพอดี เมื่อนางเห็นสถานการณ์ดังนั้นจึงรีบเดินไปเก็บดอกไม้พวกนั้นขึ้นมาใส่ไว้ในมือ ก่อนจะส่งออกไป
หลัวฮองเฮาเหลือบมองแวบหนึ่ง และโบกมือขึ้นก่อน
นางกำนัลที่ยืนคอยคำสั่งภายในตำหนักทุกคนล้วนมีสัมปชัญญะเป็นที่สุด ต่างคนต่างออกจากตำหนักไปอย่างสงบเงียบ
หลัวอวี่ก่วนมองใบหน้าที่เริ่มจะอารมณ์ไม่ดีนักของหลัวฮองเฮาด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ
หลัวฮองเฮาหยิบดอกไม้ดอกนั้นในมือนางไป เมื่อนั่งดีแล้วจึงเอ่ยกับไฉ่เยว่อย่างชะล่าใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…ฮ่องเต้มีพระราชโองการอภิเษก[1] ให้ผู้ใด”
“ทูลฮองเฮา ฮ่องเต้มีพระราชโองการเองว่าให้องค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยกับท่านหญิงซูแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น อภิเษกกันเพคะ” ไฉ่เยว่ตอบ ตาของนางจ้องไปที่จมูก จดจ้องอยู่กับการก้มมองลงต่ำ คอยหลบสายตาของหลัวฮองเฮาให้ได้มากที่สุด
เมื่อหลัวฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทว่าหลัวอวี่ก่วนที่อยู่ด้านข้างกลับคิดว่าตนหูฝาด เดินหน้าออกมาหนึ่งก้าว เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าฟังผิดหรือ? ยามเช้าขันทีหลี่นำพระราชโองการของฮ่องเต้มาด้วยตนเอง เหตุผลผู้ที่ได้ราชโองการอภิเษกควรจะเป็นท่านหญิงสวินหยางไม่ใช่หรอกหรือ?”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเพคะ!” ไฉ่เยว่ตอบ “ก่อนหน้านี้ท่านหญิงสวินหยางโดนฮ่องเต้เรียกตัวไปที่ห้องหนังสือ ปิดประตูคุยกันอยู่นานนม ยามนั้นองค์รัชทายาทและองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยก็อยู่ คงจะคุยกันเรื่องนี้ แต่ต่อมาไม่รู้เหตุใด…”
เสียงที่ไฉ่เยว่พูดอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว นางค่อยๆ ใช้หางตามองสีหน้าของหลัวฮองเฮาเล็กน้อย ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายก็กัดฟันเอ่ยตามจริง “ระหว่างนั้นจู่ๆ ซื่อจื่อซูแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นก็เข้าวังมาเข้าพบ ไม่ทราบว่าคุยอะไร แต่หม่อมฉันได้ยินเล่อสุ่ยบอกว่า เมื่อองค์รัชทายาทออกมาจากห้องทรงอักษรแล้วสีหน้าไม่ค่อยดีอย่างมาก ต่อมาอีกก็ออกราชโองการมาแล้ว ยามนี้ขันทีที่ส่งพระราชโองการไปยังจวนซูคงกลับมาแล้วเพคะ!”
ไม่ใช่ฉู่สวินหยาง แต่เป็นซูหว่าน?
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อฮองเฮาฟังครั้งแรกก็รู้สึกเพียงแค่เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ทว่าคำพูดของไฉ่เยว่ทั้งมีเหตุผลทั้งมีหลักฐาน นางจะไม่เชื่อก็คงยาก
ดอกไม้ในมือไม่รู้โดนบี้เละหมดโฉมไปตั้งแต่ยามใด กลิ่นหอมอบอวลได้จางหายไปจากในตำหนัก
หลัวอวี่ก่วนงุนงงไปชั่วขณะ ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก เอ่ย “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
และตามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “ถ้าเป็นเช่นนี้ ของที่ฮ่องเฮาส่งไปแสดงความยินดีกับนางพวกนั้นจะไม่ให้สูญเปล่าหรอกหรือ?”
หลัวฮองเฮาคุมวังหลังทั้งวัง แน่นอนว่าต้องไม่ขาดสิ่งของพวกนั้นอยู่แล้ว แต่นางเองไม่ชอบฉู่สวินหยางมาแต่แรก แม้ฝันก็คิดไม่ถึงว่าตนจะใหญ่โตได้ไม่ง่ายเลย ยังจะทำเรื่องไร้ประโยชน์ กลายเป็นว่าปาก้อนหินลงน้ำหายไป
หลัวอวี่ก่วนไม่สบอารมณ์นัก นางไม่ได้เป็นอะไรเลยอีกเหรอ ?
ทันใดนั้นสายตาเย็นเยียบก็มองมา
หลัวอวี่ก่วนเหมือนโดนสายตาของนางสะกดจนใจฝ่อ ยามนี้จึงเพิ่งเห็นว่านิ้วมือของนางเต็มไปด้วยน้ำดอกไป่เหอเคลือบอยู่ ดังนั้นจึงรีบก้มหน้าก้มตาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดนิ้วมือให้นางอย่างทะนุถนอม
หลัวฮองเฮาสีหน้าไม่ดีนัก นั่งนิ่งไม่ขยับ
ภายในตำหนักใหญ่เงียบสนิท ผ่านไปพักใหญ่แม่นมเหลียงที่ไปสืบข่าวข้างนอกก็เข้ามา
“พวกเจ้าออกไปก่อน!” หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว หลัวฮองเฮาจึงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เพคะ!” หลัวอวี่ก่วนและไฉ่เยว่ต่างก็มึนๆ เมื่อคำความเคารพเสร็จก็ออกไปด้านนอก
“เดี๋ยว!” จู่ๆ หลัวฮองเฮาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยเสริม “คุมปากของตัวเองให้ดี เรื่องเช้านี้ในตำหนักนี้ของข้า จงกลืนลงท้องไปให้หมด ผู้ใดกล้าเอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียวก็ระวังหัวของพวกเจ้าให้ดี เข้าใจหรือไม่?”
หลัวอวี่ก่วนสั่นระริก
ไฉ่เยว่เองก็สั่นเช่นกัน รีบเอ่ยตอบ “เพคะ หม่อมฉันรับทราบ !”
และทั้งสองก็รีบจ้ำออกไปโดยไม่หันกลับมา
แม่นมเหลียงเดินเข้ามา ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย “ฮองเฮา…ใจฮ่องเต้ยากนักจะเดา เรื่องนี้มิได้เป็นดั่งเจตนา แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำสิ่งใดมิได้ ท่านหญิงสามก็ยังทรงพระเยาว์ พระพักตร์บาง ไม่รู้เรื่องอะไร ทรงอย่าไปถือสาอะไรนางเลย !”
“นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจะชั่งใจไม่เป็นเชียวหรือ” หลัวฮองเฮาเอ่ย
หลัวอวี่ก่วนมีปฏิภาณดี แต่ชอบทำตัวฉลาด ชอบออกความเห็นอยู่เรื่อย แม้นางเองจะขัดใจอยู่บ้าง แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้เป็นภัยอะไร เลยทำได้เพียงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
คำพูดของหลัวอวี่ก่วนเมื่อครู่ ก็แฝงความหมายอย่างชัดเจนว่าอยากให้นางเก็บรางวัลที่ให้ฉู่สวินหยางก่อนหน้านี้กลับมา
“เรื่องนี้พักไว้ทางหนึ่งก่อน แต่นิสัยของฮ่องเต้เจ้าไม่รู้หรอกหรือ คำพูดที่พระองค์พูดไม่เคยคืนคำ โดยเฉพาะเรื่องใหญ่เช่นนี้ เจ้าเคยเห็นพระองค์กลับคำสักเท่าไรกันเชียว” แต่หลัวฮองเฮากลับไร้กะจิตกะจิตจะคิดอย่างอื่น ได้แต่เอ่ยเสียงเรียบ อารมณ์โกรธเคือง
ก็เพราะรู้นิสัยของฮ่องเต้ ฉะนั้นเมื่อเช้าตรู่ในยามที่หลี่รุ่ยเสียงมา นางก็ไม่เหลือทางถอยไว้แม้แต่น้อย หาทางผูกมัดใจฉู่สวินหยางอย่างเต็มที่ ใครจะไปคิดว่าเรื่องที่ไม่ควรมีอะไรผิดแผน ครั้งนี้…
จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไป!
หลัวฮองเฮาหยิบถ้วยชาข้างมือขึ้นมา ในใจรู้สึกเหมือนติดค้างอะไรอยู่เสียอย่างนั้น ยังไม่ทันถึงปากก็วางกลับไปบนโต๊ะอย่างแรง น้ำชากระเด็นออกจากถ้วย ทำให้มุมหนึ่งของชุดนางเปียกชื้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” หลัวฮองเฮาเอ่ยด้วยอารมณ์โกรธ คุมอารมณ์ของตนไม่อยู่ วิ่งออกไปชี้ทางนอกตำหนัก “แม่นมเหลียง เจ้าออกไปสืบให้ข้า ข้าจะต้องรู้เรื่องทั้งหมดนี้อย่างละเอียด!”
“ฮองเฮาเพคะ!” แม่นมเหลียงรั้งมือนางเอาไว้ มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าทั้งสี่ทิศไร้ผู้คนจึงเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อครู่ท่านหญิงอันเล่อให้คนมาส่งข่าว…”
แม่นมเหลียงนำเรื่องก่อนและหลังที่ซูหลินจะขอเข้าพบในห้องทรงอักษรให้ฟังจนหมด
เมื่อหลัวฮองเฮาได้ฟังสีหน้าก็ไม่ได้สีขึ้นมามากนัก ได้แต่เอ่ยถามอย่างสงสัย “ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเพียงเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?”
“คงเป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยเรื่องเกิดอย่างกะทันหัน ยามนั้นฝ่าบาทก็รับมือไม่ไหว” แม่นมเหลียงเอ่ย “องค์รัชทายาทเองก็โมโหเพราะเรื่องนี้ ว่ากันว่าเครื่องถ้วยชามภายในโดนตีจนแตกร้าวไปหมด พระองค์ก็คงรู้ว่าองค์รัชทายาทรักท่านหญิงสวินหยางดุจหัวแก้วหัวแหวน ครั้งนี้ก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะพูดให้ยอมปริปากได้ แล้วยังโดนหักหน้าต่อหน้าผู้คน เกรงว่ายามนี้คงยังจะโกรธไม่หาย”
หลัวฮองเฮาครุ่นคิด แม้จะยังรู้สึกว่าเรื่องนี้จะไม่เข้าท่าเสียเท่าไร แต่ก็ไร้เบาะแสใดจะสืบหา สุดท้ายจึงทำได้เพียงเอ่ยประนีประนอม “ช่างเถอะ เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้เถิด ดีที่เรื่องของสวินหยางยังปิดหารือกันอยู่ ในเมื่อไม่สำเร็จ ก็คิดเสียว่าไม่ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน”
“เพคะ หม่อมฉันรู้ว่าควรทำอย่างไร” แม่นมเหลียงเอ่ยอย่างรู้เรื่อง สายตากวาดมองไปยังดอกไม้ที่ดูเหมือนไม่เป็นรูปเป็นร่างริมหน้าต่าง
หลัวฮองเฮาก็มองตาม ก่อนจะโบกมือขึ้นอย่างหงุดหงิด “หยิบออกไปเถอะ”
“เพคะ” แม่นมเหลียงไปหยิบกิ่งดอกไม้ดอกนั้นออกไป
หลัวฮองเฮานั่งอยู่ในตำหนักเพียงผู้เดียว แต่สีหน้ากลับมืดครึ้มจนถึงยามนี้ ไม่ปลอดโปร่งเสียนมนาน
ฉู่สวินหยางโดนทั่วป๋าไหวอันปฏิเสธการอภิเษกต่อหน้า ไม่มีหน้าไปทำอะไรแล้ว ขนาดหน้าของฉู่อี้อันยังพลอยไม่เหลือไปด้วย ยามนี้ ไม่ออกมาปลอบโยนก็ช่าง แต่คงจะไม่เก็บรางวัลที่ให้มาก่อนหน้านี้หรอกใช่หรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้น…
ยามนั้นที่ฮองเฮาให้ของพวกนี้มาก็ไม่ได้บอกว่าให้สินเดิม แต่บอกว่าให้ปิ่นแก่ฉู่สวินหยาง
งานอภิเษกคุยไม่สำเร็จ ทว่าอีกสามเดือน พิธีปักปิ่น[2]ของนางกลับยังคงจัดตามเดิม
หลัวฮองเฮาเองก็มีนึกเสียดายอยู่บ้าง ถ้าให้คนอื่นก็คงไม่เป็นไร แต่นี่เป็นธิดาของคนแซ่ฟางที่นางไม่ค่อยชอบหน้าเสียนี่
เมื่อครู่แม้นางจะไม่ได้เอ่ยอะไรกับหลัวอวี่ก่วน ทว่าในใจกลับไม่ยินดีมากกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ
ในยามที่หลัวฮองเฮานั่งรู้สึกเสียดายอยู่ในตำหนักของตนนั้น หลานชายที่ฮองเต้ตั้งความหวังมากที่สุดอย่างคังจวิ้นอ๋องฉู่ฉีเฟิงก็ได้คุกเข่าอยู่หน้าห้องหนังสือหนึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว
แม้อาทิตย์บนนภาจะน่าชม แต่ก็ยังเป็นอากาศที่หนาวจับใจอยู่ ลมเหนือพัดโชยมา ราวกับมีดที่พัดมากรีดบนหน้า
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่ยามอู่[3] นั้นคังจวิ้นอ๋องมาขอพบ และนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้รับผิดอย่างไม่ร้องอิดเอียนแม้แต่คำเดียว
ฮ่องเต้ที่อยู่ในห้องทรงอักษรก็ไม่ได้เรียกเขา ปล่อยให้คุกเข่าอยู่ตรงนี้
—————————————————
[1] พระราชโองการอภิเษก การแต่งงานโดยมีกษัตริย์เป็นผู้มีพระราชโองการนับเป็นงานแต่งงานที่ใหญ่และมีเกียรติมากในสมัยก่อน
[2] พิธีปักปิ่น จัดขึ้นสำหรับเด็กสาวที่อายุเกิน 15 ปีที่โตเป็นสาวเต็มวัยและพร้อมที่จะเข้าสู่พิธีแต่งงาน โดยการนำปิ่นมาเสียบบนเรือนผมที่รวบขึ้นมาไว้กลางศีรษะของตน เพื่อแสดงถึงความพร้อมที่จะถูกครอบครองหรือมีเจ้าของ
[3] ยามอู่ คือ เวลา 11.-12.59
บทที่ 91 จะเป็นกับดักหรือไม่ (2)
โดย
Ink Stone_Romance
หลังจากผ่านยามอู่ไป ท้องฟ้าที่เดิมสว่างหมื่นลี้จู่ๆ ถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้ม เสียงลมคำราม พัดจนกระดาษที่ติดอยู่ตรงหน้าต่างเกิดเป็นเสียงดัง
ผ่านไปสักพัก ประตูใหญ่ห้องหนังสือที่ปิดแน่นมาตลอดก็ถูกคนผลักออกเห็นเป็นร่อง หลี่รุ่ยเสียงกอดแส้ปัดออกมา เมื่อโผล่หัวออกมาครู่หนึ่งก็โดนลมหนาวข้างนอกโชยใส่จนต้องหดไหล่
“ท่านชาย ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปแล้วขอรับ” หลี่รุ่ยเสียงเอ่ย
“รบกวนท่านขันทีด้วย” ฉู่ฉีเฟิงมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยืดตัวขึ้นและเดินตามเข้าไป
ในตำหนักกว้างขวาง แต่หลังโต๊ะกว้างใหญ่ฮ่องเต้นั้นมีฮ่องเต้นั่งอยู่เพียงผู้เดียว ในห้องจุดตะเกียงแปดดวง แม้จะอบอุ่น แต่เถ้าถ่านจะดีอย่างไรก็ไม่อาจจะไร้ควันได้ ฮ่องเต้นั่งนานแล้วเลยไม่รู้สึก แต่ฉู่ฉีเฟิงที่เพิ่งเข้ามาก็สูดเอากลิ่นหนักๆ นี้เข้าไปเต็มปอด
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดใด เดินตรงเข้าไปในตำหนักใหญ่และคุกเข่าลงอย่างแรงต่อหน้าฮ่องเต้ ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉีเฟิงบุ่มบ่าม ทำตัวผิดกฎ หลานมาเพื่อขอรับโทษโดยเฉพาะ”
สายตาของฮ่องเต้ยังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาษ หนังตาไม่กระตุกแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวเราะขึ้นมาแล้วเอ่ย “ขอรับโทษ? ข้าฟังน้ำเสียงเจ้านี้ คงจะไม่ใช่มาถามโทษเสด็จปู่หรอกกระมัง”
เขาเรียกแทนตัวเองว่า ‘เสด็จปู่’ สามคำนี้ ก็เห็นปัญหาท่าทีได้ชัด
“ฉีเฟิงไม่กล้า!” ฉู่ฉีเฟิงรีบเอ่ย ก้มสายตาลงเล็กน้อย เกร็งหลังจนตรึง
ฮ่องเต้อ่านกระดาษในมือจนจบแล้วจึงพิงไปยังพนักพิงของเก้าอี้ด้านหลัง เอ่ย “ในเมื่อมาขอรับความผิด เช่นนั้นจงพูดเถิด เจ้ามีความผิดอันใด?”
“ฉีเฟิงบุ่มบ่าม ไม่ควรเห็นแก่ตัวแอบทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน เข้าไปและหักหน้าเสด็จปู่ต่อหน้าคนนอก และยังเกือบขายหน้าท่านชายของกระหม่อมเอง” ฉู่ฉีเฟิงพูด วรรคแต่ละคำได้สละสลวยกว่าบทความเสียอีก ก่อนจะแหงนมองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ “ข้านำซูซื่อจื่อมาเอง”
เรื่องของซูหลิน ในใจของฮ่องเต้ก็แอบสงสัยเล็กน้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าจึงครึ้มลงอย่างอดไม่ได้ ก่อนเอ่ยด่าทอขึ้นมา “รู้ว่าบุ่มบ่ามเจ้ายังจะทำอีกหรือ? รู้ว่าไม่ควรทำเจ้ายังจะทำอีก? ตอนนี้รู้จักมาขอรับโทษต่อหน้าข้าอีก เจ้าเห็นว่ากฎหมายบ้านเมืองของเมืองซีเยว่นั้นตั้งไว้เล่นๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ฉีเฟิงมิกล้า” ฉู่ฉีเฟิงก้มหัวแนบติดกับพื้น ท่าทียังคงสุขุมเหมือนเดิม ไม่ลนลานใดใด
ฮ่องเต้เห็นดังนั้น แม้ในใจจะโกรธเคืองมากเท่าใดก็พูดไม่ออกแล้ว
เขาชื่นชมหลานชายผู้นี้มาก ตอนแรกเป็นเพราะว่าชั่วยามที่เด็กทารกทั้งสองของวังบูรพาถือกำเนิดประจวบเหมาะดี เลยจดจำอยู่ในใจ และต่อมา เขากลับหวังกับนิสัยของหลานชายผู้นี้เข้าจริงๆ ทั้งฉลาดทั้งมีความคิด มีความสามารถด้านงานศิลปะตั้งแต่วัยเยาว์ กับเรื่องใดใดก็ไม่ยโสโอหัง นิสัยยังสุขุมนุ่มลึกอีกเสียด้วย
ตามจริงถ้าพูดตามทฤษฎีถึงเรื่องความรู้แล้ว ฉู่ฉีเหยียนเองก็ไม่น้อยหน้า แต่ในความรู้สึกของเขา แม้ฉู่ฉีเหยียนจะทำเรื่องรอบคอบ แต่นิสัยกลับเก็บกดเงียบไว้ภายในเกินไป
คงจะเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ เดิมทีตัวฮ่องเต้เองก็เป็นคนนิสัยเช่นนี้ ถึงยามนี้ก็อายุมากแล้ว ทว่ากลับทนดูนิสัยที่ค่อนข้างคล้ายตนของฉู่ฉีเหยียนไม่ลง
ฉู่ฉีเฟิงคุกเข่าอยู่ด้านหน้า ไร้ซึ่งความตื่นตระหนกและถ่อมตัวใดใด ทว่าท่าทีกลับเผยให้เห็นถึงเจตนาซื่อสัตย์จริงใจ
ฮ่องเต้จิตล่องลอยไปเล็กน้อย และหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาจิบหนึ่งอึก ก่อนจะเอ่ย “เจ้าพูดปาวๆ กับข้าว่าไม่กล้า ทว่ากลับกล้าดีไปทำเรื่องที่มิควรทำมาก่อนแล้ว ยามนี้ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้าบอกข้าเสียหน่อยเถิด ว่าในใจเจ้าคิดอย่างไรกัน”
“สวินหยางเป็นน้องสาวของหลาน!” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฮ่องเต้
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไร หยิบถ้วยชาขึ้นมาเป่าข้างปากและดื่มต่อ
“มีเรื่องของท่านหญิงซูเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว แม้ไม่มีหลานสอดมือเข้าไปตาม มินานซูซื่อจื่อก็ต้องเข้าวังขอเข้าเฝ้าเป็นแน่” ฉู่ฉีเฟิงเหมือนกับไม่ได้สังเกตสีหน้าของฮ่องเต้ และยังคงเอ่ยต่อ “หลานยอมรับว่าเรื่องนี้หลานมีเจตนา ส่วนตัวแฝงจริง ใจหนึ่งก็เพียงมิอยากให้สวินหยางหลุดเข้ามาในวังวนนี้ แต่ถ้ามองอีกมุม หากซูซื่อจื่อมิได้ มาหยุดเรื่องนี้ก่อน รอจนเสด็จปู่ออกราชโองการอภิเษกให้สวินหยาง เมื่อเขารู้เรื่องนี้ ยามนั้นเสด็จพ่อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เสด็จปู่เป็นถึงราชาแห่งแผ่นดิน ล้วนต้องให้ประชาชนมาที่หนึ่ง คงจะทำเพื่อปกป้องเข้าข้างสวิน
หยางโดยมิสนใจความเป็นความตายของท่านหญิงซูมิได้หรอกกระมัง ในเมื่อไม่ว่าถึงอย่างไรก็เป็นผลลัพธ์เดียวกัน เหตุใดจึงต้องให้สวินหยางแบกชื่อเสียงเข้าไป แล้วเหตุใดจะต้องให้เสด็จปู่ผิดคำพูดต่อหน้าผู้อื่นเล่า”
เรื่องของซูหว่าน ฮ่องเต้เองโดนทั่วป๋าไหวอันโจมตีอย่างมิทันตั้งตัว ตามจริงถึงยามนี้ที่ใช้วิธีเช่นนั้นจัดการ นับว่าเป็นการลดผลกระทบให้น้อยลงที่สุดแล้ว
ฉู่ฉีเฟิงยุยงให้ซูหลินเข้าวังฟังพระราชโองการ นี่ก็นับว่าเป็นผลพลอยได้
ฮ่องเต้เงียบไปพักหนึ่ง ไม่รู้ควรทำอย่างไร ผ่านไปได้สักพักจึงเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้าบอกว่าที่เจ้าทำเช่นนี้ ทำเพื่อสวินหยางอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจตนาส่วนตัวของฉีเฟิง ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ฉีเฟิงคิดต้านไม่ฟังคำสั่งของเสด็จปู่นั้นผิดจริง ฉีเฟิงมิกล้าแก้ต่างให้ตนเอง ขอเสด็จปู่ประทานโทษทัณฑ์แก่หลานด้วยเถิด” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย
ตามจริงเรื่องนี้จะดีจะร้ายอย่างไรก็นับว่าช่วยฮ่องเต้ไว้ มิเช่นนั้นก็ทำตามที่เขาบอกเมื่อครู่ ประการแรกหากให้ฮ่องเต้ออกพระราชโองการอภิเษกให้กับฉู่สวินหยางและทั่วป๋าไหวอัน ต่อมาซูหลินอาละวาดอีก พระราชโองการก็คงต้องล้มไม่เป็นท่าเหมือนเก่า เมื่อถึงยามนั้นสิ่งที่จะเสียก็คือความน่าเกรงขามของราชวงศ์และหน้าขององค์ฮ่องเต้เอง
หากเขาใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างกับฮ่องเต้ ไม่เพียงจะไม่มีความผิด กลับกันยังได้ความดีความชอบ!
แต่ทำไม…
เขากลับเอ่ยย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าการกระทำครั้งนี้ของเขาเป็นเพียงเจตนาส่วนตัวที่ปกป้องฉู่สวินหยางเท่านั้น
สีหน้าของฮ่องเต้สงบลง ดีใจหรือโกรธยากจะมองออก เมื่อมองชายหนุ่มที่คุกเขาอยู่ตรงหน้า สายตาที่มองก็เปลี่ยนไปหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายจึงถอนหายใจเบาๆ และเอ่ย “ฉีเฟิงเอ๋ย เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ไม่ควรต้านเพียงเพราะเรื่องส่วนตัวเล็กๆ นี้ แม้ใจรักหวงแหนสวินหยางนั้นจะมีค่านัก แต่ในยามเดียวกันเจ้าก็ควรรู้ว่าจากฐานะที่พ่อของเจ้าเป็นอยู่ในยามนี้ และจากฐานะของเจ้ายามนี้ เจ้าพูดจาเช่นนี้…ช่างทำให้ปู่ผิดหวังยิ่งนัก!”
ฉู่ฉีเฟิงเงยหน้าสบสายตาของฮ่องเต้ สีหน้ายังคงราบเรียบตามเดิม “เสด็จปู่เป็นผู้มองการณ์ไกล ฉีเฟิง…แค่ทำตามสิ่งที่ควร”
ฮ่องเต้เบือนสายตา ขยับมุมปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงโบกมือเบาๆ “เจ้าออกไปเสีย แล้วกลับไปคิดดีๆ เถิด!”
เมื่อไม่ได้สั่งลงโทษอย่างชัดเจน ก็หมายถึงเรื่องนี้คงไม่เอาความอะไรมาก
“พ่ะย่ะค่ะ! ฉีเฟิงทูลลา!” ฉู่ฉีเฟิงก้มหัวตนอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นออกไป
ฮ่องเต้พิงไปยังพนักพิงเก้าอี้ สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังของเขาอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้าหนุ่มนี่ เจ้าว่าข้าควรชื่นชมที่เขามีแผนการ หรือว่าควรชมเชยที่เขามีจิตใจดีกัน”
ในยามนี้ ในตำหนักไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงหลี่รุ่ยเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาเท่านั้น
หลี่รุ่ยเสียงยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยตอบ…
คำพูดของฮ่องเต้นั้นเอ่ยกับเขา แต่ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา
สายตาของเขาทอดไกลออกไปนอกตำหนัก มองเงาหลังที่ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเบือนสายตาหนี
คังจวิ้นอ๋องผู้นี้ไม่แปลกเลยที่จะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ มัดใจของพระองค์ไว้อยู่หมัดเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่ข้อบกพร่องใดใด
ตามจริงเขาจะเอาเรื่องที่ไปยุยงซูหลินมาขอความดีความชอบจากฮ่องเต้ก็ย่อมได้ ยามนั้นฮ่องเต้ไม่เพียงจะไม่ลงโทษ อีกทั้งยังให้รางวัลแก่เขาด้วย แต่เมื่อทำเช่นนี้ ความดีความชอบที่ตั้งใจวางแผนฮ่องเต้ก็ทรงเห็น แม้ฮ่องเต้จะไม่อาจหาข้อผิดจากเขาได้ ในใจคงก่อกำแพงนำเรื่องทั้งหมดโยนให้กับเจตนาส่วนตัว แต่เมื่อบอกว่าเป็นการกระทำที่ปกป้องฉู่สวินหยาง ถือเป็นการเผยจุดบอดของตนต่อหน้าฮ่องเต้ ให้ฮ่องเต้ได้รู้อุปสรรคข้อผิดของเขา ทำให้วางใจได้ทั้งสองฝ่าย อีกอย่าง…
การสารภาพของเขา ตรงกับปรารถนาของฮ่องเต้ไปกว่านี้มิได้แล้ว
ทว่ายามนี้
ต้องบอกว่ายามนี้อารมณ์ของฮ่องเต้สับสนเป็นอย่างมาก ทางหนึ่งอยากชุบเลี้ยงผู้สืบทอดราชาแผ่นดินที่ไร้ซึ่งข้อบกพร่องใดใด แต่ในเวลาเดียวกัน…
ตำแหน่งของเขาในเวลานี้ไม่ใช่ว่าอยากจะให้ใครเป็นก็ได้ ฉะนั้นการสารภาพของฉู่ฉีเฟิงนี้กลับทำให้เขารู้สึกมีประโยชน์มาก
เพียงความเคยชินหลายปีมานี้ เขากลับยังสงสัยว่าคำพูดนี้ของฉู่ฉีเฟิงเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจหรือว่ามีจุดประสงค์อื่น
พระราชโองการอภิเษกก็ออกมาแล้ว เรื่องนี้ก็พักไว้เท่านี้ก่อน
ยามบ่ายวันนั้นเมื่อซูหว่านสะลึมสะลือตื่นมาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะอาละวาดเสียงดัง
——————————————-
บทที่ 91 จะเป็นกับดักหรือไม่ (3)
โดย
Ink Stone_Romance
แต่เห็นบทเรียนของฉู่หลิงอวิ้นแล้ว ซูหลินจึงเตรียมการป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ จับตามองนางอย่างถี่ถ้วนเป็นที่สุด จัดล้อมจวนในสามชั้นนอกสามชั้นไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้ภายในเล็ดลอดสิ่งใดออกไปแม้กระทั่งเสียงลม…
โทษดูแคลนบุญคุณกษัตริย์ ตระกูลซูของพวกเขานั้นรับไว้ไม่ไหวแน่!
“พี่ใหญ่ เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อยากแต่งไปโม่เป่ย! ที่ที่คีรีสูงหนทางยาวไกลนกไม่ออกไข่[1]เช่นนั้น ถ้าข้าไปแล้วคงอยู่ไม่รอดแม้แต่วันเดียว ท่านอยากเห็นข้าตายทั้งเป็นหรืออย่างไรกัน?” ในห้อง ซูหว่านคุกเข่าจับชายเสื้อของซูหลินร้องไห้ยกใหญ่
ซูหลินสีหน้าเย็นชา มองนางโดยไม่ปริปาก ไม่ว่านางจะร้องโวยวายเช่นไรก็ไม่ขยับเคลื่อนไปไหน
ซูหว่านตะโกนจนเสียงแหบไปหมด ก่อนจะกระโดดลุกขึ้นมาอย่างไม่มีวิธี และไปหยิบแจกันดอกไม้ข้างชั้นฟาดลงไปที่พื้นเต็มแรง
น้ำของดอกไม้กระเด็น เครื่องเคลือบกระเบื้องแตกกระจายไปทั่วพื้น
สุดท้ายซูหลินโดนนางทำอารมณ์เสีย เบ้ปากอย่างเย็นชา ก่อนเอ่ยประชดประชัน “ทำไมกัน เจ้าเลียนแบบฉู่หลิงอวิ้นที่อาละวาดจะจบชีวิตเลยหรือ”
เดิมซูหว่านเตรียมจะโค้งตัวไปเก็บเศษกระเบื้องพวกนั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้ามามองยิ้มประชดกับดวงตาที่เยือกเย็นของเขา ทำให้นางหยิบจับไม่ถูก และนั่งลงไปบนเก้าอี้ ก่อนจะเอ่ยด้วยความโกรธ “อย่างไรเสียข้าก็ไม่แต่ง !”
ซูหลินก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งอื่น ล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อหยิบพระราชโองการสีเหลืองสว่างที่ม้วนอยู่ด้านในโยนมาตรงหน้านาง “เจ้าไม่อยากแต่งใช่หรือไม่? ได้! พระราชโองการอภิเษกของฝ่าบาทอยู่นี่แล้ว เจ้าก็ถือเข้าวังไปขอยกเลิกเองเถอะ ต่อไปเจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น ข้าจะไม่บังคับเจ้าอีก!”
น้ำตาของซูหว่านไหลนองลงมาบนหน้า มองพระราชโองการนั้นด้วยความตะลึง สักพักก็ล้มลงไปร้องห่มร้องไห้บนโต๊ะอย่างอดไม่ได้
พระราชโองการของฮ่องเต้ นางจะกล้าไปขัดได้อย่างไร
“พอเถิด” ซูหลินรู้ว่านางมีนิสัยรักตัวกลัวตาย เมื่อตวาดไปแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมา “เอาเวลาคิดว่าคืนวานนี้เกิดเหตุอันใดขึ้นดีกว่า”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น” ซูหว่านเอ่ยอย่างโมโห ร้องเสียงแหลม “ยามนั้นที่นั่นฆ่าอย่างมืดฟ้ามัวดิน ข้าไร้สติไปนานแล้ว พอข้าตื่นมาท่านก็อยู่ที่นี่แล้ว แล้วยังบอกว่าจะบังคับข้าให้แต่งงานกับคนอื่น ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น!”
หลังจากที่โหวกเหวกโวยวายด้วยความโกรธเสร็จ นางก็รู้สึกเหมือนคิดอะไรออก เงียบเสียงร้องและหันหน้ามองทางซูหลินอย่างถึงบางอ้อ “คำพูดนี้ของพี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร ที่แท้ท่านสงสัย…”
ซูหลินยิ้มเจื่อน สายตาจับจ้องไปทางเรือนด้วยความมืดครึ้ม “ยามเช้าวันนี้ ศาลาว่าการพระนครส่งคนให้ส่งจดหมายไปตรวจสอบศพขององครักษ์ที่ถูกฆ่าเมื่อคืนนี้ หูกวงอยู่ไม่เห็นร่างตายไม่เห็นศพ[2] หลังจากคืนวานก็หายไป”
หูกวงก็คือหัวหน้าองครักษ์ที่ออกไปสำรวจเหตุการณ์ทั้งหมดแทนเขา
ซูหว่านเบิกตาโพลงอย่างไม่คาดคิด “ท่านหมายถึงหูกวงทรยศเราอย่างนั้นหรือ?”
“คนอื่นต่างก็ย้ายจากถนนใหญ่ตะวันออกไปตามฝ่าย แต่ทำไมเขาถึงตัดสินใจเปลี่ยนทางด้วยตัวเอง แล้วบังเอิญเรียกเราจนเจอะกับทั่วป๋าไหวอันอย่างนั้นหรือ?” ซูหลินเอ่ย สายตาดูถูกเหลือบมองไปที่นาง “คำพูดนี้ถ้าพูดออกไป เจ้าเชื่อหรือ?”
เรื่องเมื่อคืน เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เขาก็ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก พอจนวันนี้จึงได้เข้าใจ จะหาตัวหูกวงมาถามก็ตามตัวไม่เจอแล้ว หากไม่ได้หนีไปเพราะกลัวความผิดจะเป็นอะไรไปได้
ซูหว่านตกใจไม่น้อย และลืมความเสียใจไปชั่วขณะ สายตากลอกไปมาพันกันไปหมด สุดท้ายจึงจับแขนของซูหลินไว้แล้วเอ่ย “พี่ใหญ่ ท่านรีบไปเรียกจนให้จับเขากลับมา ท่านพูดถูก เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำ ต้องมีคนวางแผนทำร้ายเราเป็นแน่!”
“ข้ารู้แน่อยู่แล้วว่าเบื้องหลังต้องมีผู้บงการ แต่เจ้าว่าจะเป็นใครกัน” ซูหลินกลับไม่ร้อนรน เพียงแค่เอ่ยเสียงเรียบ
หูกวงเป็นไส้ศึกที่ถูกผู้อื่นว่าจ้าง และก็หนีไปท่ามกลางความชุลมุน ยามนี้จะตามตัวกลับมาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เขาเองก็คร้านจะไปทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น
ในหัวของซูหว่านสับสนไปหมด ทว่าจะคิดอย่างไรกลับคิดไม่ออกเสียทีว่าใครกันที่ลงทุนลงแรงวางแผนทำร้ายนางเช่นนี้
“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็อย่าพูดในสิ่งที่ไร้ประโยชน์อีกเลย เจ้าเองก็เลิกโวยวายเสีย แต่งเข้าโม่เป่ยก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร” ครุ่นคิดอยู่ร้อยรอบแต่ก็ไม่เป็นผล ซูหลินจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ไปชั่วคราวก่อน และตบบ่าซูหว่านและเอ่ยปลอบใจ “อ๋องโม่เป่ยอายุมาก ซื่อจื่อก็เหมือนจะไร้อนาคต อนาคตของทั่วป๋าไหวอันยังพัฒนาได้อย่างไม่จำกัด เจ้าแต่งกับเขา ไม่แน่อนาคตอาจจะได้สุขในความโชคร้ายก็ได้ หากได้ขึ้นเป็นภรรยาอ๋องโม่เป่ยนั้น นับว่าเป็นเรื่องดีของตระกูลซูของพวกเราอย่างยิ่ง”
“ข้า…” ซูหว่านเตรียมจะเอ่ยแย้งอย่างรวดเร็ว
แต่ซูหลินกลับไม่ให้นางเอ่ยออกมา รีบหุบยิ้มในทันใด และเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าเตรียมใจแต่งงานก็พอแล้ว เรื่องนี้มิใช่กงการอะไรของเจ้า หากก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ผู้ที่เดือดร้อนก็คือตระกูล ซูทั้งตระกูลนี้ ถึงตอนนั้นถ้าท่านพ่อตำหนิอะไร ข้าก็มิอาจคุ้มกะลาหัวเจ้าได้”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็ไม่รอให้ซูหว่านตอบอะไรก็สะบัดชายเสื้อหันตัวเดินออกไป
ในใจของซูหว่านกึ่งกล้ำกลืนกึ่งโกรธแค้น กลับหลังหันไปล้มตัวลงบนเตียงนอนและร้องไห้โฮขึ้นมาอีกครั้ง
นางไม่ใช่ฉู่หลิงอวิ้น ไม่มีเสด็จแม่อย่างหลัวฮองเฮาคอยออกหน้าแทนนาง ในโลกนี้คงจะไม่มีทางเหลือรอดให้นางจริงๆ เสียแล้ว
ซูหลินออกมาจากห้องของซูหว่าน คนที่เขาสั่งให้ไปตามหาหูกวงก่อนหน้านี้ ยามนี้ก็กลับมาถึงแล้ว
เมื่อซูหลินเห็นท่าหดหัวของเขาก็รู้ทันทีว่าทำเรื่องไม่สำเร็จ
“หาไม่เจอหรือ?” เขาเอ่ยถามพลางเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น
“ขอรับ ที่ที่ซ่อนตัวได้ในเมืองก็ค้นทั่วแล้ว ไร้ซึ่งข้อมูลใดใดคงจะ…ออกจากเมืองไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว” ผู้นั้นเอ่ย พลางหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองสีหน้าของเขา “เนื่องด้วยเรื่องนักฆ่า ทำให้พระนครปิดเมือง คนของเราก็มิกล้าค้นหากันอย่างเอิกเกริก ซื่อจื่อท่านเห็นว่า….”
“เช่นนั้นก็ถอยเถิด!” ซูหลินเอ่ย หัวเราะเสียงหึขึ้นจมูก
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาเองก็คิดโยงได้หมดแล้ว คงทำได้แค่คิดไปทีละขั้นเท่านั้น
ระหว่างที่กำลังพูด ผู้ดูแลตระกูลซูก็เดินลุกลี้ลุกลนเข้ามาจากนอกจวน เอ่ย “ซื่อจื่อ ในวังปล่อยข่าวมา บอกว่าองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยอยากเร่งแต่งงานให้เสร็จ แต่ท่านโหรนับวันดูแล้ว ฤกษ์ดีช่วงนี้มีเพียงวันที่หกเท่านั้น ทางฝั่งนั้นจึงอยากมาถามความเห็นของท่านหญิง…ท่านเห็นว่า…”
วันที่หก? ไม่ใช่วันที่ฉู่หลิงอวิ้นแต่งออกเรือนหรอกหรือ?
ซูหลินสีหน้าครึ้มลง นัยน์ตาแฝงด้วยความเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ย “ในเมื่อเป็นวันที่ท่านโหรเสนอมา ยังจะต้องเลือกอะไรอีกเล่า? บอกทั่วป๋าไหวอันเสียว่าจวนเราไม่ขัดอะไร”
ซูหว่านไม่ค่อยยินดีกับเรื่องงานแต่งนี้เท่าไร พ่อบ้านจวนซูเองที่มาก็เพราะเป็นกังวล ยังคิดว่าซูหลินจะขอให้เลื่อนออกไปอย่างเต็มที่ จะได้มีเวลาเกลี้ยกล่อมนางให้ยอมรับเรื่องนี้ ทว่าไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบรับอย่างยินดีเช่นนี้
พ่อบ้านปรับตัวไม่ทัน เมื่อได้สติจึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “ขอรับ ข้าน้อยจะไปตอบความบัดนี้!”
“เดี๋ยวก่อน!” ซูหลินยังคงยิ้ม และเรียกเขาไว้อีกครั้ง มองเขาอย่างนิ่งลึกด้วยสายตาจริงจัง “บอกทั่วป๋าไหวอันเสีย หว่านเอ๋อเป็นทายาทหญิงเพียงผู้เดียวของตระกูลซู งานแต่งของนางจะทำลวกๆ มิได้ ข้าต้องการให้นางออกเรือนอย่างสง่า ไม่ว่าจะซ้อมพิธีก็ต้องให้โม่เป่ยทำให้ดีที่สุด!”
พ่อบ้านตะลึงไปครู่ แต่ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
ซูหว่านออกเรือนวันเดียวกับฉู่เหลิงอวิ้น และยังจัดงานในพระนครเหมือนกันอีก ซูหลินจึงอยากกดจวนอ๋องหนานเหอ เจตนาอยากให้ฉู่หลิงอวิ้นรับไม่ได้!
เห็นที งานผูกมิตรนี้คงไม่สำเร็จ และกลับกลายมาเป็นผูกแค้นไปเสียแล้ว!
“ขอรับ ข้าน้อยจะนำคำของซื่อจื่อไปบอกกับฝ่าบาทให้อย่างมิขาดตกแม้แต่คำเดียว”พ่อบ้านจวนซูเอ่ย ก่อนจะหันตัวเดินออกไป
ซูหลินมองแผ่นหลังของเขาและยิ้มเย้ย…
เขาอยากจะให้ฉู่หลิงอวิ้นลิ้มรสของจากตกจากปุยเมฆมาในโคลนตม นางไม่อยากแต่งกับเขามิใช่หรือ? เช่นนั้นนางก็ให้แต่งกับจางอวิ๋นเจี่ยนด้วยความอัปยศ ฐานะในวงผู้ดีในพระนครของตระกูลจางก็เก้อเขินเต็มทน ตัวฉู่หลิงอวิ้นเองก็ถอนหมั้นมาแล้วหนึ่งครั้ง กอปรกับฐานะพิเศษของทั่วป๋าไหวอัน คิดดูก็รู้ สองตระกูลจัดงานมงคลวันเดียวกัน สุดท้ายผู้ที่จะได้รับคำชื่นชมยินดีจากชั้นสูงคงเทมาที่ตระกูลซูของพวกเขาอย่างมิต้องสงสัย
ฉู่หลิงอวิ้นช่างเป็นหญิงที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี โดนคนเลี้ยงดูอย่างสูงส่งมาตลอด ถึงยามนี้รสชาติเย็นชาเช่นนี้นางก็ควรลิ้มรสดูบ้าง นางจะได้รู้ถึงจุดจบของการไม่รู้ผิดชอบชั่วดี คนตระกูลซูของเขาใช่ว่าจะแกล้งได้ง่ายๆ
งานแต่งของทั่วป๋าไหวอันและซูหว่านถูกกำหนดวันอย่างเร็วรวด ข่าวก็แพร่ไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน แต่ก็เป็นแค่บทละครกู้หน้าที่เหมาะกันราวกับกิ่งทองใบหยกเท่านั้น
————————————————————–
[1] คีรีสูงหนทางยาวไกลนกไม่ออกไข่ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึง ที่ที่ทุรกันดาร
[2] อยู่ไม่เห็นร่างตายไม่เห็นศพ เป็นสำนวน หมายถึง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
บทที่ 91 จะเป็นกับดักหรือไม่ (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ในจวนอ๋องหนานเหอ ฉู่ฉีเหยียนและฉู่หลิงอวิ้นกำลังนั่งจิบชากันอย่างเงียบๆ สีหน้าของทั้งสองต่างไม่ได้มีอารมณ์ใดใดไปมากกว่ากัน
ผ่านไปนาน เป็นฉู่หลิงอวิ้นที่เอ่ยก่อน “เป็นการกระทำของวังบูรพาอีกแล้วหรือ”
สายตาของฉู่ฉีเหยียนจับจ้องอยู่ที่ใบชาสีเขียวที่จมอยู่ไม่นิ่งในถ้วยชานั้น ราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่นางพูด ได้แต่คิดเรื่องในใจของตน
แต่ความอดทนของฉู่หลิงอวิ้นไม่ได้ดีเท่าเขา เมื่อรอสักพักแล้วไม่ได้ยินเขาตอบก็ลุกโพลงไปแย่งถ้วยชาในมือมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง “เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ เรื่องนี้เจ้าเตรียมจะทำอย่างไร ?”
“ไม่ต้องสงสัย นักฆ่าวานนี้เป็นฝีมือของฝ่าบาท ข้าแค่แปลกใจเหตุใดซูหลินสองพี่น้องจึงพลอยเกี่ยวพันเข้าไปด้วย!” ฉู่ฉีเหยียนก็ยังคงไม่มองนาง และหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำชาที่เลอะอยู่ตรงนิ้วมืออย่างเอื่อยเฉื่อย “เป้าหมายของฝั่งนั้นคืออะไร ยืมมือฆ่าคน? อยากยืมมือนักฆ่ากำจัดสองพี่น้องตระกูลซูอย่างนั้นหรือ?”
“หากทั่วป๋าไหวอันมีเจตนา อยากฉวยเอาแรงสนับสนุนจากตระกูลซูล่ะ” ฉู่หลิงอวิ้นยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย
“กรมทหารม้าเมืองเก้าข้าถามความแล้ว คืนวานสถานการณ์คับขันนัก ทุกคนอยู่ในอันตราย หากไม่ได้เป็นเพราะจวนรุ่ยซินอ๋องน้ำหลากรีบให้กรมทหารม้าเมืองเก้าส่งทหารม้าไป แล้วระหว่างทางบังเอิญเจอเรื่องนี้ ยามนี้ทั่วป๋าไหวอันจะรอดหรือไม่ก็ยากจะพูด” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย “เช่นนี้แล้ว ท่านยังคิดว่าเขามีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้ได้อยู่อีกหรือ?”
ชีพตนแทบม้วย ยังจะมีกะจิตกะใจไปวางแผนทำร้ายผู้อื่นอีกหรือ?
คิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้!
“เช่นนั้นก็แปลกแล้ว!” ฉู่หลิงอวิ้นเอ่ย คิ้วก็ขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หันไปนั่งบนเก้าอี้ “คงจะไม่เป็นฝีมือของวังบูรพาจริงๆ หรอกใช่หรือไม่? เร่งให้โม่เป่ยแต่งกับตระกูลซูดีต่อพวกเขาอย่างไรกัน? เพราะไม่อยากให้ฉู่สวินหยางแต่งออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ? เมื่อเสด็จพ่อรู้เรื่องนี้ ยากนักจะรู้ว่าท่านจะคิดเห็นเช่นไร”
ฉู่ฉีเหยียนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ตามจริงหากเรื่องนี้ด้านวังบูรพาเป็นผู้จัดการเขากลับรู้สึกว่ามันอธิบายได้…
เพราะฉู่หลิงอวิ้นไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาได้ตกลงปลงใจกับทั่วป๋าไหวอันว่าจะเร่งแต่งงานผูกมิตรทั้งสองตระกูล หากแต่ด้านวังบูรพาเสนอซูหว่านออกไปเพราะอยากทำลายความสัมพันธ์ครั้งสำคัญนี้ของพวกเขา ถ้าเช่นนี้ก็พอดูออก
เพียงแต่…
ฮ่องเต้ทรงตอบรับเรื่องนี้ได้อย่างไร? นี่ถึงเป็นจุดที่เขาคิดไม่ตกที่สุด…
“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็วางจุดจบไว้แล้ว พูดไปก็ไร้ประโยชน์” เมื่อเรียกสติกลับมาฉู่ฉีเหยียนจึงเอ่ย พลางใช้สายตาเคร่งขรึมมองไปยังฉู่หลิงอวิ้น “ฤกษ์สมรสของซูหว่านก็กำหนดไว้แล้ว เป็นวันเดียวกับท่าน หากเป็นวันนั้น…”
เขาพูดๆ อยู่ จู่ๆ ก็หยุดเว้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นมา “คงจะลำบากท่านหน่อยแล้ว!”
เมื่อพูดถึงเรื่องงานสมรสของตัวเอง ฉู่หลิงอวิ้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่แยแส และเอ่ยอย่างไม่สะท้าน “ไม่มีสิ่งใดที่ข้ารับไม่ไหวหรอก”
พิธีสมรสนั้น นางเองก็หวังไม่อยากไปร่วม แล้วจะไปใส่ใจกับสิ่งพวกนั้นทำไม?
“อืม!” ฉู่ฉีเหยียนพยักหน้า เมื่อเงยหน้ามองสีฟ้าก็มืดลงมากแล้ว จึงสะบัดเสื้อยืนขึ้น “ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน กี่วันนี้ท่านพักผ่อนมากๆ เถิด เรื่องภายนอก ปิดประตูทำเป็นไม่รู้ก็เพียงพอแล้ว หาต้องเก็บไปคิดไม่”
“เรื่องถึงยามนี้แล้ว ข้ายังจะกลัวอะไรอีก?” ฉู่หลิงอวิ้นตอบอย่างไม่คิดอะไร “เจ้าไปธุระเถิด ไม่ต้องสนใจข้า!”
แม้นิสัยของพี่สาวตนผู้นี้จะแย่ไปนิดหน่อย แต่ใจคอเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ฉู่ฉีเหยียนจึงค่อนข้างวางใจ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มและลุกเดินออกไป
ทางฟากวังบูรพา ฉู่สวินหยางก็กำลังเตรียมน้ำหมึกเตรียมจะไปฝึกเขียนพู่กัน
ยามนี้ฉู่ฉีเฟิงเพิ่งกลับออกมาจากในวัง เปลี่ยนเสื้อผ้ากำลังจะออกไป ก็เห็นนางเดินมาจากด้านนอก
“ทำไมมายามนี้เล่า?” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มต้อนรับนางเข้าไปด้านใน
“ท่านพี่ทนเหนื่อยรับโทษแทนข้า หากข้าไม่มาดูท่าน ท่านคงจะแอบด่าทอในใจว่าข้าใจดำเป็นแน่” ฉู่
สวินหยางก็ยิ้มตอบให้เขา เห็นชุดใหม่ที่เขาเพิ่งเปลี่ยน จึงเอ่ย “ข้ามาผิดเวลา? ท่านพี่จะออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่มีอะไร เพียงแต่เตรียมจะไปคุยเรื่องอะไรเล็กน้อยที่ห้องหนังสือกับท่านพ่อเท่านั้น” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ย จู่ๆ ก็นึกได้ว่าฉู่อี้อันเพิ่งจะกลับมาเมื่อเช้าเลยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสั่งกับเจี่ยงลิ่ว “เจ้าไปดูที ท่านพ่อตื่นแล้วหรือยัง”
“ขอรับ ท่านชาย!” เจี่ยงลิ่วรับคำสั่งและไปทันที
ฉู่ฉีเฟิงหันหลังกลับเข้าไปในห้องกับฉู่สวินหยาง ช่วงกี่วันมานี้เขายุ่งไปหมด จึงไม่อ้อมค้อมและเอ่ยตามตรง “ฤกษ์สมรสของซูหว่านและทั่วป๋าไหวอันกำหนดไว้วันที่หกนี้!”
ฉู่สวินหยางตกตะลึง เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
ริมฝีปากของฉู่ฉีเฟิงก็โค้งยิ้มขึ้นมากกว่าเดิม พลางก้มหน้าดื่มชาแล้วเอ่ย “เป็นคำขอของทั่วป๋าไหวอัน ฤกษ์สมรสฤกษ์หน้าเห็นทีจะเป็นปลายเดือนยี่แล้ว ยามนี้โม่เป่ยกำลังวุ่นวาย เขาจะมีกะจิตกะใจว่างมาหยุดอยู่ที่เรื่องนี้ได้อย่างไร”
ฉู่สวินหยางเห็นด้วย ยิ้มเล็กน้อย ไม่คัดค้านใดใด
ฉู่ฉีเฟิงเหลือบมองสีหน้าของนางพลางลังเลอยู่นานนม สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ “เรื่องนี้ช่างแปลกนัก คืนวานซูหลินสองพี่น้องโดนลอบทำร้ายอาจจะเกี่ยวเนื่องจากอดีต แต่ทางหยางเฉิงกังนั้นยากจะเห็นเค้าลาง”
คำพูดของเขาฟังดูรื่นหู ระหว่างพูดสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่แต่บนใบหน้าของฉู่สวินหยางเพื่อดูพฤติกรรมของนาง
ฉู่สวินหยางก้มหน้าดื่มชาทำเหมือนไม่มีอะไร แต่เมื่อถึงขั้นนี้จะแกล้งโง่ต่อไปคงจะยากแล้ว ในที่สุดก็ขยับปากอย่างไม่สนใจเท่าไร “เรื่องนี้ เมื่อเช้าระหว่างทางกลับท่านพ่อได้แจงให้ข้าฟังแล้ว นับว่ามีลับลมคมในจริงๆ เรื่องซูหลินคืนวานนี้พวกท่านจะสงสัยว่าเขาเป็นคนทำก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ฝั่งหยางเฉิงกังนั้น…ขนาดท่านพ่อยังไม่กล้าแตะข้อห้ามง่ายๆ เลย เขาเอาฝีมือมาจากไหนกัน?”
หากจะบอกว่าเป็นเหยียนหลิงจวินวางแผนให้ซูหลินสองพี่น้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องที่ทั่วป๋าไหวอันโดนลอบฆ่าก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจนัก ทว่าตอนนี้สิ่งที่แปลกที่สุดคงจะเป็นคำพูดของหยางเฉิงกัง เขาพูดราวกับว่ามีกำลังที่จะทำเรื่องครั้งนี้ออกมาเสียอย่างนั้น…
ทำลายข้อตกลงระหว่างฉู่ฉีเหยียนและทั่วป๋าไหวอัน ในยามเดียวกับที่บีบบังคับฮ่องเต้ให้ออกพระราชโองการอภิเษกยังดันให้ตระกูลซูเข้าสู่สนามรบ พูดปาวๆ ว่าเป็นงานสมรสที่เหมาะสมนัก ทว่าฮ่องเต้เดิมก็ไม่เชื่อตระกูลซูอีกต่อไปอยู่แล้ว ครั้งนี้จะไม่เป็นการโยนตระกูลซูลงในน้ำมันร้อนเลยหรือ?
ฉู่ฉีเหยียน ทั่วป๋าไหวอัน อีกทั้งซูหลินสองที่น้อง เมื่อมาคิดๆ คำนวณดูแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนกลายมาเป็นตัวช่วยสนับสนุนผลประโยชน์ของด้านวังบูรพาโดยปริยาย
ไม่สิ หากพูดให้ถูกต้องแล้วควรจะ ‘ช่วยสนับสนุนแผนของนาง’ ฉู่สวินหยาง!
ถ้าเป็นเพราะบังเอิญก็ช่างมันไป แต่ถ้าไม่ใช่…
เรื่องนี้ช่างควรค่าแก่การสืบเสาะนัก!
“ท่านพี่ ท่านคิดว่า…” เนื่องด้วยไม่รู้ถึงเบื้องหลังเบื้องลึก ฉู่สวินหยางจึงไม่กล้าวางใจนัก ยกถ้วยชาในมือขึ้นมาครุ่นคิด “นี่จะเป็นกับดักหรือไม่?”
สองพี่น้องสบตากันแวบหนึ่งก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันใด
“เมื่อครู่ที่ข้าอยู่ในวัง ข้าสังเกตพฤติกรรมของฮ่องเต้ทุกชั่วขณะ เรื่องนี้…” ฉู่ฉีเฟิงครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ส่ายหัว “หากเป็นแผนการของพระองค์ แต่สีหน้ากลับไม่ผิดแปลกแต่อย่างใด ช่างเดายากนัก !”
“งั้นก็ช่างเถิด !” ฉู่สวินหยางเห็นเขาคิ้วขมวดไม่คลายก็คลี่ยิ้มออกมา “อย่างไรเสียทั่วป๋าไหวอันและฉู่ฉีเหยียนต้องไม่นิ่งนอนใจอยู่แล้ว ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้เราเลี่ยงไปก็พอแล้ว กลัวไม่มีละครดูในวันดีๆ กันหรือ”
“เจ้านี่นี่!” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มขึ้นมาอย่างเอ็นดู
สองคนพี่น้องคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาพี่น้องอยู่พักหนึ่ง จนเจี่ยงลิ่วกลับมาบอกว่าฉู่อี้อันตื่นแล้ว ฉู่สวินหยางจึงวางน้ำหมึกนั้นแล้วออกไป
เมื่อกลับมาเรือนจิ่นฮว่าก็พบว่าชิงหลัวไม่อยู่ มีเพียงกระดาษสีเรียบฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
ฉู่สวินหยางหยิบขึ้นมาดูแวบหนึ่งก็ทิ้งลง
ชิงเถิงเห็นท่าทางของนางก็สงสัยจึงไปหยิบมาดู เมื่อเห็นก็ตาเป็นประกาย “ใต้เท้าเหยียนหลิงทิ้งสาส์นไว้ให้ท่านหญิงนี่!”
โบกรถระหว่างทางไม่มีผล นี่ใต้เท้าเหยียนหลิงจะเปลี่ยนกลยุทธ์ เชื้อเชิญกันโจ่งแจ้งอย่างนี้เลยหรือ?
ฉู่สวินหยางปิดปากเงียบไม่พูด หยิบถ้วยออกมารินน้ำให้ตัวเอง
ชิงเถิงเห็นท่าทีของนางจึงถอนหายใจอย่างผิดหวัง “หม่อมฉันจะตีกลับไปเดี๋ยวนี้!”
“ตีกลับไปยังจะทำอะไรได้?” ฉู่สวินหยางหันข้างมองไปแวบหนึ่ง น้ำเสียงยังคงไม่เร่งไม่ร้อนใดๆ
ชิงเถิงหยุดฝีเท้าหันกลับมา สุดท้ายก็ทนไม่ไหวและเอ่ย “ท่านหญิง…ท่านไม่โกรธแล้วหรือ?”
ฉู่สวินหยางสีหน้าเหมือนปกติ ค่อยๆ ดื่มน้ำ แต่กลับไม่ตอบคำถามของนาง ทำเพียงหมุนตัวเดินเข้าไปด้านในพลางเอ่ย “ตอบสาส์นเขา บอกว่าวันรุ่งข้าไม่ว่าง ถ้าเขาอยากพบข้าก็ค่อยพบวันที่หกตอนที่ไปร่วมงานเถิด!”
—————————————————–
บทที่ 92 ล้วนแต่เป็นหมาก (1)
โดย
Ink Stone_Romance
หลังจากนั้นหลายวันก็เว้นเสียไม่ได้ ที่จะต้องไปอวยพรปีใหม่ต่อญาติสนิทมิตรสหาย
ฐานันดรของฉู่อี้อันสูงส่งนัก หาต้องออกวิ่งไปทั่วเองไม่ แค่ให้พี่น้องจวนอ๋อง จวนองค์หญิงของพวกฉู่สวินหยางไปเป็นพิธีก็พอแล้ว
แม้สองพี่น้องสกุลซูจะไม่ค่อยถูกกับฉู่สวินหยางนัก แต่สาส์นของทางจวนซูและทั่วป๋าไหวอันก็ยังส่งมายังวังบูรพาตามเดิม
พอเดินทางอวยพรปีใหม่เสร็จทั้งสัปดาห์ วันที่ห้าพักหนึ่งวัน วันที่หกก็ถึงพิธีสมรสของฉู่หลิงอวิ้นและซูหว่านแล้ว
เช้าตรู่วันนั้นฉู่อี้อันก็ถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าไปในวัง ฝั่งทั่วป๋าไหวอันก็มีหวงจ่างซุนฉู่ฉีฮุยไปในนามญาติผู้ใหญ่ ด้านฉู่ฉีเฟิงก็พาฉู่เยว่หนิงและฉู่เยว่ซินไปจวนอ๋องหนานเหอช่วยฉู่หลิงอวิ้นแบกหน้า
เหมือนกับที่ซูหลินคิดเอาไว้ไม่มีผิด แขกชั้นสูงที่มาอวยพรในวันนี้เหมือนกับเทกระจาดไปอีกด้าน ในพิธีเห็นได้ชัดว่าแขกส่วนใหญ่ล้วนจับจ้องไปทางด้านทั่วป๋าไหวอันและตระกูลซู ทั้งสองตระกูลแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ตั้งใจจัดเตรียมทุกเรื่องของงานแต่งอย่างเต็มกำลัง
เมื่อเช้า ฟ้ายังไม่ทันสาง จวนอ๋องหนานเหอก็เปิดจวนแล้ว ฉู่ฉีเหยียนนำหลี่หลินเคียงกายออกจากจวนไปยังเรือนมีสุขทางทิศใต้
หัววันฟ้ามืดหมอกลงจัด พื้นดินขาวโพลนไปทั่ว แสงตะเกียงของพวกชาวบ้านที่แขวนไว้ใต้หลังคาก็สะท้อนแสงมาส่องตา
ฉู่ฉีเหยียนสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ตลอดทางใจลอยคิดเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อย เมื่อเดินทางไปได้ครึ่งชั่วยาม ฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา พอเงยหน้าก็เห็นว่ามาถึงประตูเรือนมีสุขที่ปิดสนิทอยู่แล้ว
“ยังไม่เปิดประตู!” หลี่หลินเอ่ย เตรียมตัวป้องกัน กวาดสายตาหลักแหลมไปทั่วทุกสารทิศ “เหตุใดจู่ๆท่านหญิงสวินหยางจึงนัดซื่อจื่อมาเจอที่นี่ จะมีแผนการอะไรหรือไม่?”
“บอกแล้ว หากไร้เรื่องร้อนคงไม่ถ่อไปถึงวัด[1] ถ้านางไม่มีแผนการใดๆ สิถึงจะแปลก!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย กวาดมองไปแวบหนึ่ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างที่เปิดอยู่ชั้นสองทางด้านตะวันออกนั้น
คืนวานนี้ จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็ส่งจดหมายมานัดเขาไปพบที่เรือนมีสุขเวลารุ่งอรุณ
ช่วงสำคัญเช่นนี้ เดิมเขาก็ไม่อยากมา แต่ก็เพราะในใจขบคิดอยู่นานนม คิดไปคิดมาจึงตัดสินใจมาตามนัด
“หน้าต่างบานนั้น…..” หลี่หลินเห็นเขาใจลอย จึงมองตามสายตาเขาไปอย่างสงสัย และเอ่ยถาม “ให้ข้าน้อยไปเคาะประตูหรือไม่?”
นัยน์ตาของฉู่ฉีเหยียนครึ้มลงในทันใด ไม่รู้เหตุใด จู่ๆ ในใจก็ร้อนรนขึ้นมา และเปลี่ยนใจในทันที จึงยกมือรั้งเขาไว้ “ไม่ต้อง กลับเถิด!”
หลี่หลินตกใจเล็กน้อย
“ข้าบอกว่าเรากลับเถิด!” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย พอจะหันหัวม้ากลับไปแต่สายไปแล้ว
ฉู่สวินหยางควบม้ามาจากหน้าด้านอย่างกล้าหาญ ค่อยๆ โผล่ชัดออกมาจากแสงฟ้าที่ยังไม่สว่างดี
ฉู่ฉีเหยียนจึงต้องควบบังเหียนหยุดม้าไปโดยปริยาย ฉู่สวินหยางเห็นเขาก็ยิ้มแย้มทักทายมาแต่ไกล “ซื่อจื่อช่างตรงเวลานัก คืนวานหมอกลงจัด ทางลื่นจึงล่าช้าไปเล็กน้อย ขออภัยด้วย!”
“สวินหยาง!” ฉู่ฉีเหยียนหายใจเข้าลึกและคลี่ยิ้มเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรจึงต้องนัดข้ามาถึงนี่? เมื่อครู่ยังคิดว่าเจ้าล้อข้าเล่นอยู่เลย!”
“ได้อย่างไรกัน?” ฉู่สวินหยางเอียงหน้าส่งสัญลักษณ์ให้ชิงหลัว
ฉู่ฉีเหยียนเองก็อยากจะรั้งไว้แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง ชิงหลัวหันตัวออกไปออกแรงผลักประตูใหญ่เรือนมีสุขอย่างไม่เบาแรง
“ข้างนอกอากาศหนาว เข้าไปคุยด้านในเถิด!” ฉู่สวินหยางก็ลงจากหลังม้ามา
ฉู่ฉีเหยียนจึงทำอะไรไม่ได้ ได้เพียงลงจากม้าตาม
“เช้าตรู่เช่นนี้ ประตูก็ยังไม่เปิด ใครกัน?” คนด้านในขยี้ตางัวเงียพลางหาวหวอดๆ และเปิดประตูเตรียมจะออกไปปฏิเสธอย่างขอไปที “อภัยแขกทุกคนด้วยนะขอรับ ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดเรือน ขอเชิญพวกท่าน…”
“เจ้านี่ตาบอดหรืออย่างไร!” เขายังเอ่ยไม่ทันจบก็โดนคนตะครุบเสื้อ
ชิงหลัวดึงเขาออกมาจากประตู จ้องเขาหน้าตาย ก่อนเอ่ย “ดูท่านหญิงและซื่อจื่ออ๋องหนานเหอไม่ออกหรือไรกัน? ไล่แขกชั้นสูงกลับไป เจ้าคิดว่าเจ้ามีหัวกี่หัวให้ตัดกัน?”
คนผู้นั้นโดนว่าจนงงไปหมด
ยามนี้เถ้าแก่ร้านที่อยู่ด้านในก็รีบออกมา
แม้เขาจะไม่รู้จักแขกชั้นสูงอย่างซื่อจื่อหรือท่านหญิงแต่อย่างใด แต่เพียงเห็นการแต่งกายและมาดของพวกฉู่สวินหยางแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้ที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ
“มีตาหามีแววไม่!” เถ้าแก่ผลักบ่าวไปอีกด้านเต็มฝ่ามือ และรีบนำทั้งสองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้านั่นช่างเขลานักจึงได้เมนเฉยกับแขกชั้นสูงเช่นนี้ อย่างไรก็ขอให้ท่านอภัยด้วย เชิญด้านใน เชิญด้านใน!”
ยามเช้าตรู่เช่นนี้ ห้องโถงยังจุดตะเกียงอยู่แสงไฟจึงค่อนข้างมืด ดูๆ แล้วไม่ค่อยน่ามองสักเท่าไหร่
“สองท่านดูเอาเถิดว่าจะสั่งอะไร” เถ้าแก่ถามอย่างกระตือรือร้น และแอบให้สายตามองระหว่างทั้งสองคนไปมาเพื่อสังเกตรูปลักษณ์ให้ชัดอีกครั้ง
“ข้ากับซื่อจื่อมีเรื่องต้องคุย ขอตัวไปห้องพักชั้นสองก่อน เถ้าแก่ท่านไปทำงานต่อเถิด หากข้าต้องการอะไรจะให้สาวใช้ลงมาสั่ง” ฉู่สวินหยางเอ่ยพลางเคาะแส้ม้าทองที่ถืออยู่ในมือไปพลาง
ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่ได้ค้านอะไร สายตาเหลือบมองไปในฝ่ามือนาง
ใต้แสงตะเกียง แส้ม้าสีทองสง่าอยู่ในมือขาวอมแดงสะท้อนกับแสง ยิ่งเผยให้เห็นผิวงามราวหยกของนาง สิบนิ้วเรียวเล็ก งดงามเป็นที่สุด
ฉู่ฉีเหยียนจึงใจลอยไปชั่วครู่อย่างไม่ทันตั้งตัว
เถ้าแก่ผู้นั้นก็มีสติ รู้ความเป็นที่สุด ในเมื่อฉู่สวินหยางบอกไม่ต้องเอาใจ เขาก็ไม่อยู่ให้รกตา หันกลับเข้าไปในห้องด้านหลังทันที
“ซื่อจื่อเชิญเถิด!” ฉู่สวินหยางยิ้มเล็กน้อย ใช้แส้ม้าชี้ไปยังบันไดด้านหน้า
ห้องยืนเวรของเถ้าแก่และบ่าวก็อยู่ข้างๆ แม้ฉู่ฉีเหยียนจะเดาออกอยู่แล้วว่าที่ฉู่สวินหยางนัดเขามาวันนี้ต้องมีอะไรแอบแฝง แต่หลายๆ สิ่งก็ไม่อาจพูดต่อหน้าคนนอกได้
เขามองนางแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ยอมสาวเท้าขึ้นไปยังชั้นสองแต่โดยดี
ฉู่สวินหยางยิ้มและตามไป
ในยามนี้ห้องชั้นสองทั้งหมดก็ปิดแน่นทุกห้อง
ฉู่สวินหยางเดินตรงไปยังห้องในสุด
ฉู่ฉีเหยียนปรายสายตาเล็กน้อย หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อครู่ที่อยู่ด้านล่าง จึงรู้ว่าห้องที่นางกำลังจะไป คือห้องที่เขาเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ห้องนั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉู่ฉีเหยียนจึงเร่งฝีเท้ากว่าเดิม รีบไปหยุดฉู่สวินหยางก่อนที่นางจะยกมือเปิดประตู และเข้าไปยกมือกันนางไว้
“วันนี้พี่หญิงของข้าจัดงานมงคลสมรส ในจวนข้ายังมีงานให้ทำอีกมาก ท่านหญิงมีเรื่องอันใดรีบพูดมาตรงๆ เถิด” ฉู่ฉีเหยียนเอ่ย “อีกครู่ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว!”
“จวนอ๋องหนานเหอจัดงานมงคลก็ต้องมีท่านอ๋องและท่านชายาจัดการอยู่แล้ว ขาดท่านไปสักคนจะเป็นอะไร เหตุใดซื่อจื่อต้องรีบร้อนเพียงนี้ด้วย?” ฉู่สวินหยางเอ่ย ก่อนจะเก็บมือกลับไปจัดการเสื้อผ้าของตน
สายตาของฉู่ฉีเหยียนหยุดอยู่ที่กระเป๋าเสื้อของนาง แต่ก็ไม่ได้มีกำลังมารับมือกับนาง “วันนี้ข้ามีธุระจริงๆ หากเจ้าอยากดื่มชา คุยสารทุกข์กับข้า ไว้เราค่อยนัดจะเป็นไร วันนี้ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
เมื่อพูดจบก็หันตัวเดินออกไป!
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ มองเขาที่เดินไปได้สองสามก้าวแล้วจึงหัวร่อเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ท่านหญิงอันเล่อจัดงานแต่งจนชำนาญไปนานแล้ว นางเองยังรับมือไหวเลย เหตุใจท่านถึงต้องเป็นห่วงเช่นนี้? วันนี้ เรื่องที่ซื่อจื่อเป็นห่วง เห็นทีจะเป็นเรื่องของผู้อื่นมากกว่า!”
ฉู่ฉีเหยียนชะลอฝีเท้าเล็กน้อย
ฉู่สวินหยางไม่อาจเห็นสีหน้าและอารมณ์ของเขาได้จากด้านหลัง นางเองก็เหมือนกับไม่ได้อยากจะสนใจแต่อย่างใด ไม่นานก็เบือนสายตาหนี
ฉู่ฉีเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หันกลับมา กระตุกมุมปากแล้วเอ่ย “เจ้าหมายความอย่างไร?”
“พูดไปเรื่อยเท่านั้น!” ฉู่สวินหยางเอ่ย “แต่มีบางเรื่อง ข้าคิดว่ามีความจำเป็นต้องสารภาพกับท่านซื่อจื่อเสียหน่อย!”
เมื่อเห็นท่าทีว่านางมีแผนการ ฉู่ฉีเหยียนจึงรู้ว่าตนคาดการไม่ผิด เรื่องวันนี้จะยุ่งยากแล้ว
เขาเตรียมใจไว้แล้ว แต่สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไป เพียงแค่เอ่ยถามอย่างสงบ “สารภาพอะไร?”
“ก็ต้องเป็นร่องรอยของทุกคนในวังบูรพานะสิ!” ฉู่สวินหยางเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำทุกตัวอักษร ดวงตาจ้องมองไปในสายเขาเป็นประกาย “ท่านพ่อของข้าไปในวัง เมื่อฟ้าสางพี่ใหญ่เป็นตัวแทนไปร่วมงานเลี้ยงยินดีของทั่วป๋าไหวอัน ส่วนพี่รองกับพวกพี่หญิงน้องหญิงก็ไปยังดื่มเหล้ามงคลที่จวนอ๋องหนานเหอของท่าน ส่วนข้า…ก็นับว่าขาดวิชาแยกร่าง วันนี้แต่เช้าตรู่จึงนัดท่านซื่อจื่อออกมาดื่มชาที่นี่”
ดวงตาของฉู่ฉีเหยียนยังคงไม่ขยับ ปิดปากแน่นไม่ตอบคำของนาง
ฉู่สวินหยางยักไหล่ขึ้นอย่างไม่สนใจ และเดินหลบไปอีกด้าน