“ทำไมยังไม่ยอมพูดออกมาอีก?คิดว่าฉันไม่กล้าลงมือกับคนอย่างเธอจริงๆ หรอ?” หลังจากที่โยนหลิงเหมิงลงไปในน้ำ หลินเฉิงก็จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วถามขึ้นด้วยเสียงเบาๆ
ได้ยินแบบนั้นหลินเหมิงก็ดิ้นรนอยู่ในน้ำสักพักแต่ก็พบว่าแขนของตัวเองนั้นแข็งเกินกว่าที่จะขยับได้และหนักอึ้ง นั้นทำให้เธอหมดแรงลงได้ง่ายๆ และตอนนี้เธอก็ยอมแพ้แล้ว
“จะบอกก็ได้!เรื่องของนายเลยว่าจะเอาฉันไปตำยำทำแกงอะไร แต่นายก็จะไม่ได้ข้อมูลอะไรทั้งนั้นแหละ! ” เมื่อหมดหนทางหนี หลิงเหมิงก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน จนเห็นเห็นกล้ามคอของเธอ!
หลินเฉิงได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาเองก็เริ่มหมดความอนทนแล้ว เขาบีบคอยกเธอขึ้นมา ก่อนที่เธอจะสิ้นสติไป เนื่องจากใบหน้าที่แดงไปจนถึงหู เขาก็ถามกลับมาอย่างดุดันบ้าง “อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนธรรมนักสิ! ถ้าเธอไม่บอกมาฉันจะทำทุกอย่างเลย มากกว่าที่เธอจะจินตนาการออกอีกเพื่อให้เธอพูดออกมาให้ได้!”
เธอรู้สึกได้ถึงมือที่เหมือนกับเหล็กเย็นๆกำลังหนีบคอของเธออยู่ ก่อนที่ทุกอย่างจะจางหายไป เธอก็คิดถึงคำพูดอันโหดร้ายที่เขาพูดไว้ ถ้าเธอยังไม่ยอมพูดอีก คงเกิดอะไรที่ไม่คุ้มค่าอย่างมากขึ้นแน่ๆ
หลังจากที่รออยู่สักพักเธอก็รู้สึกได้เลยว่าหลิงเฉิงไม่ปล่อยมือแน่ๆ เธอเองก็รู้สึกว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา เธอจึงตีแขนเขาเป็นสัญญาณว่าเธอจะพูด!
หลังจากที่เขาเห็นว่าเธอยอมประณีประนอมกับเขาแล้วหลินเฉิงก็พ่นลมออกมา โยนเธอลงไปบนพื้นหญ้า ในขณะเดียวกันแหวนของเขาก็เปร่งแสง น้ำก็พุ่งไปหาร่างบางและกลายเป็นน้ำแข็งล็อคตัวเธอไว้!
“ถือสะว่านี้เป็นบทลงโทษที่เธอไม่ยอมร่วมมือกับฉันตั้งแต่แรก!” ของมองไปยังใบหน้าอันสวยงามของเธอที่เหลือแต่หัวโพล่ออกมาจากน้ำแข็งที่ห่อตัวเธอไว้เหมือนกับเป็นไอศครีม หลินเฉิงไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเธอเลยสักนิด “ไอศครีบก้อนนี้จะส่งความเย็น ความเย็นจะค่อยๆ คุกคามร่างกายของเธอที่นิดๆ ภายในครึ่งชั่วโมงถ้าเธอไม่ยอมอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างออกมากให้ฉันพึงพอใจ เธอจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งงดงามตั้งอยู่ตรงนี้แหละ! หลังจากที่ทรมารอย่างแสนสาหัส!“
ได้ยินแบบนี้หลิงเหมิงที่ตัวสั่นเพราะความเย็นอยู่แล้วก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาด้วย ดูจากท่าทีอันโหดร้ายของเขา เขาต้องเอาจริงแน่ๆ เธอเริ่มเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ที่เข้าไปยุ่งกับเขา!
“โอเค…”
เมื่อรู้ว่าเธอยังไม่ยอมพูดกับเขาตรงๆหลินเฉิงเลยตั้งเวลาไว้ 30 นาที เป็นการต่อรองที่ดี แน่นอนว่ามันเป็นทางออกเดียวของเธอแล้ว เธอไม่กลัวตายสักนิด แต่เธอก็ไม่อยากถูกทรมานจนตามากกว่า! “อะไรของนายเนี้ย มีอะไรก็ถามมาเลย!”
เห็นหญิงเจ้าปัญหาคนนี้ยอมบอกความลับกับเขาแล้วหลินเฉิงก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีข้อต่อรองมาพอที่จะเค้นข้อมูลจากเธอแล้ว จะดีที่สุดก็ต้องถามกันตรงๆ อยู่ดี
“อันดับแรกเลยบอกฉันมาก่อนว่าเธอเป็นใคร? และทำไมถึงสนใจในตัวฉัน?”
เห็นหลินเฉิงถามคำถามที่สำคัญมากที่สุดหลืงเหมิงก็ยิ้มแห้งๆ รู้ว่าหลินเฉิงกำลังทดสอบเธออยู่ในตอนนี้ และถ้าเธอไม่ตอบ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากแน่ๆ !
คิดได้แบบนี้หลิงเหมิงก็หันไปรอบๆอย่างยากลำบาก เพื่อมองว่าไม่มีใครอื่นนอกจากหลินเฉิงอยู่ตรงนี้ เธอจึงเอ่ยปากบอก “มันไม่ดีนักนะที่นายถามคำถามแบบนี้กับฉัน นายอยากจะรู้จริงๆ ใช่ไหม?”
ได้ยินแบบนี้หลินเฉิงก็ยิ้มให้“มันก็ไม่ดีสำหรับเธอเหมือนกันนะ ถ้าไม่ยอมตอบฉันมาตรงๆ หยุดพูดไร้สาระได้และตอบฉันมาตรงๆ ! เวลาเหลือไม่เยอะแล้วนะ!”
“ฮึ่ม!”
เห็นหลินเฉิงมองมายังเธอด้วยท่าทีเหน็บแนมหลิงเหมิงก็พูดเยิ้ยยันอย่างโกรธกริ้ว “โอเค! ไหนๆ นายก็ไม่กลัวตายแล้ว! ฉันจะบอกให้! พวกเราคือ เสน่ห์รัตติกาล!”
“เสน่ห์รัตติกาล?มันคืออะไร?”
เมื่อได้ยินชื่อแปลกๆหลินเฉิงก็กระพริบตาด้วยความสงสัย เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เหมือนเขาไปแตะต้องอะไรที่ลึกลับมากๆ เข้าแล้ว
“พวกเราเสน่ห์รัตติกาลก็ไม่ได้เด่นอะไรนักหรอก!”
เห็นสีหน้างุนงงของหลินเฉิงหลิงเหมิงก็ไม่พอใจอย่างมาก “เสน่ห์รัตติกาล คือชื่อเผ่าพันธุ์ เหมือนกับที่พวกนายเรียกตัวเองว่ามนุษย์แหละ!”
ได้ยินคำอธิบายของหลิงเหมิงหลิงเฉิงก็สงสัยเข้าไปอีก “แล้วมันเรื่องอะไรหละ? เธอหน้าตาเหมือนคนขนาดนี้ แต่บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนเนี้ยนะ แต่เป็น อสูรรัตติกาล? ให้ตายเถอะ…”
ได้ยินนแบบนั้นหลิงเหมิงก็พูดเย้ยหยันอีกครั้ง“พวกเรา สายเลือดแห่งรัตติกาล มีรูปร่างไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก นายน่าจะคุ้นชินกับเผ่าของนายมากเกินไป…”
“อย่างงั้นรึ?”
หลินเฉิงขมวดคิ้วอีกครั้ง“งั้นเธอทำให้ฉันเข้าใจที ว่านี้มันเรื่องอะไร? ความทรงจำของฉันไม่เคยบอกกับฉันว่า อสูรรัตติกาล ไม่เคยมีอยู่มาก่อนเลย! พวกเธอโพล่ขึ้นมาบนโลกเฉยๆ หลังจากเกิดวันโลกาวินาศรึยังไง?”
ได้ยินแบบนั้นหลิงเหมิงก็พยักหน้า“เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าอยู่ๆ จุดจบของโลกไม่มาถึง ฉันเกรงว่าเผ่าพันธุ์ของฉันจะยังคงอยู่ใต้ดินเหมือนเดิมและไม่เคยเห็นแสงเดือนแสงตะวันเหมือนก่อนนั้นแหละ!”
“อย่างนี้นี้เอง…” เมื่อได้ยินเธอเล่าถึงที่มาของเธอเองเขาก็กำลังครุ่นคิด พวกเธอคือเผ่าที่อาศัยอยู่ใต้ดินและพึ่งจะโพล่ออกมาบนผิวโลก!
เห็นสีหน้าตกใจของหลินเฉิงที่ได้ยินเรื่องที่เธอเล่าหลิงเหมิงก็แสดงรอยยิ้มเป็นการเอาคืนบ้าง เธอไม่สามารถสู้กับคนที่ต่างชั้นกันขนาดนี้ได้ เธอได้แต่ทำให้เขาสับสนไปบ้างเท่านั้นแหละ แม้ว่าตอนนี้ชีวิตของเธอจะอยู่ในกำมือของเขา แต่การได้ตอกกลับไปด้วยคำพูดแบบนี้ก็ทำให้เธอมีความสุขได้ไม่น้อย
“ทำไมหละ?ทำไมพวกเธอถึงอาศัยอยู่ใต้ผิวโลก? ทำไมไม่ขึ้นมาก่อนวันโลกาวินาศหละ?”
เมื่อได้ข้อมูลที่ชวนสับสนหลินเฉิงก้ได้แต่ถามคำถามต่อไปเท่านั้น
หลิงเหมิงส่ายหน้า“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมพวกฉันต้องอาศัยอยู่แต่ในผิวโลก แต่จนถึงตอนนี้แล้วฉันเองก็ยังไม่เข้าใจเลย! แต่ทำไมพวกเราถึงขึ้นมาบนผิวโลกหลังจากวันสิ้นโลกนั้นเป็นเพราะว่าประตูที่ไม่เคยเปิดออกดันเปิดขึ้นในตอนนั้น! พวกเราที่ติดอยู่ข้างใต้จึงเดินออกมาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้!”
“งั้นเหรอ?”
หลินเฉิงพยักหน้าทันทีที่คำอธิบายจบและถามต่อ “มันคือประตูที่มีลวนลายเรียงต่อกันไม่มีที่สิ้นสุดใช่ไหม ไอประตูที่ไม่เคยถูกเปิดออกบานนั้นหนะ?”
เห็นหลินเฉิงรู้จักมันหลิงเหมิงก็ได้แต่ช็อคและถามกลับไปอย่างไม่ทันตั้งตัว “นายรู้ได้ยังไง?”
————————-SC: บทที่ 321 กลิ่นของความแข็งแกร่ง!
ได้ยินแบบนั้นหลินเหมิงก็ดิ้นรนอยู่ในน้ำสักพักแต่ก็พบว่าแขนของตัวเองนั้นแข็งเกินกว่าที่จะขยับได้และหนักอึ้ง นั้นทำให้เธอหมดแรงลงได้ง่ายๆ และตอนนี้เธอก็ยอมแพ้แล้ว
“จะบอกก็ได้!เรื่องของนายเลยว่าจะเอาฉันไปตำยำทำแกงอะไร แต่นายก็จะไม่ได้ข้อมูลอะไรทั้งนั้นแหละ! ” เมื่อหมดหนทางหนี หลิงเหมิงก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดัน จนเห็นเห็นกล้ามคอของเธอ!
หลินเฉิงได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาเองก็เริ่มหมดความอนทนแล้ว เขาบีบคอยกเธอขึ้นมา ก่อนที่เธอจะสิ้นสติไป เนื่องจากใบหน้าที่แดงไปจนถึงหู เขาก็ถามกลับมาอย่างดุดันบ้าง “อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนธรรมนักสิ! ถ้าเธอไม่บอกมาฉันจะทำทุกอย่างเลย มากกว่าที่เธอจะจินตนาการออกอีกเพื่อให้เธอพูดออกมาให้ได้!”
เธอรู้สึกได้ถึงมือที่เหมือนกับเหล็กเย็นๆกำลังหนีบคอของเธออยู่ ก่อนที่ทุกอย่างจะจางหายไป เธอก็คิดถึงคำพูดอันโหดร้ายที่เขาพูดไว้ ถ้าเธอยังไม่ยอมพูดอีก คงเกิดอะไรที่ไม่คุ้มค่าอย่างมากขึ้นแน่ๆ
หลังจากที่รออยู่สักพักเธอก็รู้สึกได้เลยว่าหลิงเฉิงไม่ปล่อยมือแน่ๆ เธอเองก็รู้สึกว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา เธอจึงตีแขนเขาเป็นสัญญาณว่าเธอจะพูด!
หลังจากที่เขาเห็นว่าเธอยอมประณีประนอมกับเขาแล้วหลินเฉิงก็พ่นลมออกมา โยนเธอลงไปบนพื้นหญ้า ในขณะเดียวกันแหวนของเขาก็เปร่งแสง น้ำก็พุ่งไปหาร่างบางและกลายเป็นน้ำแข็งล็อคตัวเธอไว้!
“ถือสะว่านี้เป็นบทลงโทษที่เธอไม่ยอมร่วมมือกับฉันตั้งแต่แรก!” ของมองไปยังใบหน้าอันสวยงามของเธอที่เหลือแต่หัวโพล่ออกมาจากน้ำแข็งที่ห่อตัวเธอไว้เหมือนกับเป็นไอศครีม หลินเฉิงไม่ยอมอ่อนข้อให้กับเธอเลยสักนิด “ไอศครีบก้อนนี้จะส่งความเย็น ความเย็นจะค่อยๆ คุกคามร่างกายของเธอที่นิดๆ ภายในครึ่งชั่วโมงถ้าเธอไม่ยอมอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างออกมากให้ฉันพึงพอใจ เธอจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งงดงามตั้งอยู่ตรงนี้แหละ! หลังจากที่ทรมารอย่างแสนสาหัส!“
ได้ยินแบบนี้หลิงเหมิงที่ตัวสั่นเพราะความเย็นอยู่แล้วก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาด้วย ดูจากท่าทีอันโหดร้ายของเขา เขาต้องเอาจริงแน่ๆ เธอเริ่มเสียใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ที่เข้าไปยุ่งกับเขา!
“โอเค…”
เมื่อรู้ว่าเธอยังไม่ยอมพูดกับเขาตรงๆหลินเฉิงเลยตั้งเวลาไว้ 30 นาที เป็นการต่อรองที่ดี แน่นอนว่ามันเป็นทางออกเดียวของเธอแล้ว เธอไม่กลัวตายสักนิด แต่เธอก็ไม่อยากถูกทรมานจนตามากกว่า! “อะไรของนายเนี้ย มีอะไรก็ถามมาเลย!”
เห็นหญิงเจ้าปัญหาคนนี้ยอมบอกความลับกับเขาแล้วหลินเฉิงก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีข้อต่อรองมาพอที่จะเค้นข้อมูลจากเธอแล้ว จะดีที่สุดก็ต้องถามกันตรงๆ อยู่ดี
“อันดับแรกเลยบอกฉันมาก่อนว่าเธอเป็นใคร? และทำไมถึงสนใจในตัวฉัน?”
เห็นหลินเฉิงถามคำถามที่สำคัญมากที่สุดหลืงเหมิงก็ยิ้มแห้งๆ รู้ว่าหลินเฉิงกำลังทดสอบเธออยู่ในตอนนี้ และถ้าเธอไม่ตอบ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากแน่ๆ !
คิดได้แบบนี้หลิงเหมิงก็หันไปรอบๆอย่างยากลำบาก เพื่อมองว่าไม่มีใครอื่นนอกจากหลินเฉิงอยู่ตรงนี้ เธอจึงเอ่ยปากบอก “มันไม่ดีนักนะที่นายถามคำถามแบบนี้กับฉัน นายอยากจะรู้จริงๆ ใช่ไหม?”
ได้ยินแบบนี้หลินเฉิงก็ยิ้มให้“มันก็ไม่ดีสำหรับเธอเหมือนกันนะ ถ้าไม่ยอมตอบฉันมาตรงๆ หยุดพูดไร้สาระได้และตอบฉันมาตรงๆ ! เวลาเหลือไม่เยอะแล้วนะ!”
“ฮึ่ม!”
เห็นหลินเฉิงมองมายังเธอด้วยท่าทีเหน็บแนมหลิงเหมิงก็พูดเยิ้ยยันอย่างโกรธกริ้ว “โอเค! ไหนๆ นายก็ไม่กลัวตายแล้ว! ฉันจะบอกให้! พวกเราคือ เสน่ห์รัตติกาล!”
“เสน่ห์รัตติกาล?มันคืออะไร?”
เมื่อได้ยินชื่อแปลกๆหลินเฉิงก็กระพริบตาด้วยความสงสัย เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เหมือนเขาไปแตะต้องอะไรที่ลึกลับมากๆ เข้าแล้ว
“พวกเราเสน่ห์รัตติกาลก็ไม่ได้เด่นอะไรนักหรอก!”
เห็นสีหน้างุนงงของหลินเฉิงหลิงเหมิงก็ไม่พอใจอย่างมาก “เสน่ห์รัตติกาล คือชื่อเผ่าพันธุ์ เหมือนกับที่พวกนายเรียกตัวเองว่ามนุษย์แหละ!”
ได้ยินคำอธิบายของหลิงเหมิงหลิงเฉิงก็สงสัยเข้าไปอีก “แล้วมันเรื่องอะไรหละ? เธอหน้าตาเหมือนคนขนาดนี้ แต่บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนเนี้ยนะ แต่เป็น อสูรรัตติกาล? ให้ตายเถอะ…”
ได้ยินนแบบนั้นหลิงเหมิงก็พูดเย้ยหยันอีกครั้ง“พวกเรา สายเลือดแห่งรัตติกาล มีรูปร่างไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก นายน่าจะคุ้นชินกับเผ่าของนายมากเกินไป…”
“อย่างงั้นรึ?”
หลินเฉิงขมวดคิ้วอีกครั้ง“งั้นเธอทำให้ฉันเข้าใจที ว่านี้มันเรื่องอะไร? ความทรงจำของฉันไม่เคยบอกกับฉันว่า อสูรรัตติกาล ไม่เคยมีอยู่มาก่อนเลย! พวกเธอโพล่ขึ้นมาบนโลกเฉยๆ หลังจากเกิดวันโลกาวินาศรึยังไง?”
ได้ยินแบบนั้นหลิงเหมิงก็พยักหน้า“เป็นแบบนั้นแหละ ถ้าอยู่ๆ จุดจบของโลกไม่มาถึง ฉันเกรงว่าเผ่าพันธุ์ของฉันจะยังคงอยู่ใต้ดินเหมือนเดิมและไม่เคยเห็นแสงเดือนแสงตะวันเหมือนก่อนนั้นแหละ!”
“อย่างนี้นี้เอง…” เมื่อได้ยินเธอเล่าถึงที่มาของเธอเองเขาก็กำลังครุ่นคิด พวกเธอคือเผ่าที่อาศัยอยู่ใต้ดินและพึ่งจะโพล่ออกมาบนผิวโลก!
เห็นสีหน้าตกใจของหลินเฉิงที่ได้ยินเรื่องที่เธอเล่าหลิงเหมิงก็แสดงรอยยิ้มเป็นการเอาคืนบ้าง เธอไม่สามารถสู้กับคนที่ต่างชั้นกันขนาดนี้ได้ เธอได้แต่ทำให้เขาสับสนไปบ้างเท่านั้นแหละ แม้ว่าตอนนี้ชีวิตของเธอจะอยู่ในกำมือของเขา แต่การได้ตอกกลับไปด้วยคำพูดแบบนี้ก็ทำให้เธอมีความสุขได้ไม่น้อย
“ทำไมหละ?ทำไมพวกเธอถึงอาศัยอยู่ใต้ผิวโลก? ทำไมไม่ขึ้นมาก่อนวันโลกาวินาศหละ?”
เมื่อได้ข้อมูลที่ชวนสับสนหลินเฉิงก้ได้แต่ถามคำถามต่อไปเท่านั้น
หลิงเหมิงส่ายหน้า“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมพวกฉันต้องอาศัยอยู่แต่ในผิวโลก แต่จนถึงตอนนี้แล้วฉันเองก็ยังไม่เข้าใจเลย! แต่ทำไมพวกเราถึงขึ้นมาบนผิวโลกหลังจากวันสิ้นโลกนั้นเป็นเพราะว่าประตูที่ไม่เคยเปิดออกดันเปิดขึ้นในตอนนั้น! พวกเราที่ติดอยู่ข้างใต้จึงเดินออกมาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้!”
“งั้นเหรอ?”
หลินเฉิงพยักหน้าทันทีที่คำอธิบายจบและถามต่อ “มันคือประตูที่มีลวนลายเรียงต่อกันไม่มีที่สิ้นสุดใช่ไหม ไอประตูที่ไม่เคยถูกเปิดออกบานนั้นหนะ?”
เห็นหลินเฉิงรู้จักมันหลิงเหมิงก็ได้แต่ช็อคและถามกลับไปอย่างไม่ทันตั้งตัว “นายรู้ได้ยังไง?”
————————-SC: บทที่ 321 กลิ่นของความแข็งแกร่ง!