ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตามการเหินทะยานด้วยความเร็วสูง ถึงแม้ว่าจะหันหน้าไปมอง โลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาก็ยังคงอยู่ด้านหลังในระยะใกล้อย่างยิ่งอยู่ดี! แต่นั่นเป็นเพราะอาณาเขตที่กว้างใหญ่เกินไปของ ‘ดินแดนจิตโลกา’ เป็นเหตุ! ตำแหน่งที่พวกเขาสองคนต่อสู้กันก็ยังคงได้รับผลกระทบของพลังของดินแดนจิตโลกาอยู่ดี แต่ภายใต้การเหินทะยานด้วยความเร็วสูงก็สามารถรู้สึกได้ว่าระดับความเข้มข้นของพลังคละวิถีกำลังยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระดับความเข้มข้นเช่นนี้ยังเหนือชั้นกว่าพลังคละวิถีที่ตนใช้ในยามบำเพ็ญเสียอีก
โชคดีที่มีหอกชิงเหอควบคุม ทำให้พลังคละวิถีเปิดแยกทางเส้นหนึ่งออกมา ทำให้การกัดกร่อนที่ตนได้รับนั้นต่ำลงอย่างที่สุด
“ปัง ปัง ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามติดไปอย่างรวดเร็วในทันใดแล้วลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรี
ราชันย์อนธการอมตะมุ่งตรงเข้าไปในส่วนลึกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่แยแสชีวิตเลย! แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มต้นค่อยๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนเป็นสีเทาขาว
“เขาไม่ไหวแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี
“ต้านไม่ไหวอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว การห้ำหั่นภายในดินแดนจิตโลกาก่อนหน้านี้ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเหลือเกิน ถ้าหากร่างกายของข้าสมบูรณ์ดี ก็ยังสามารถทนอยู๋ได้นานกว่านี้!” ห้วงสมองของราชันย์อนธการอมตะในขณะนี้มีภาพเหตุการณ์ภาพแล้วภาพเล่าเคลื่อนผ่าน ตั้งแต่ในตอนแรกที่ยังอ่อนแอขึ้นมาครอบครองดินแดนจิตโลกา เขาโดดเด่นจับตา เขาทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่น คิดว่าเขาคือร่างแปรของความตาย ความแกร่งกล้าของเขาถึงขนาดที่ทำให้เคยได้รับความชื่นชอบจาก ‘หยวน’ หรือแม้กระทั่งเขาโจมตีเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เขาไปจากบ้านเกิด
การไปในครั้งนี้… เขาจึงรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกว่าผู้มีพรสวรรค์ก็ยังมีผู้มีพรสวรรค์เหนือกว่า! เขาล้มเหลวเสียแล้ว ล้มเหลวเช่นเดียวกันกับผู้แกร่งกล้าที่เคยรุ่งเรืองจำนวนมากมายมหาศาล ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นมีบางคนที่ตายไป มีบางคนที่ถึงกับถูกเนรเทศ เขาสามารถหนีรอดกลับมาได้ก็นับว่าโชคดีเป็นอย่างมากแล้ว
“หนีกลับมา ก็มาเจอะเจอกับจ้าวหิมะเหินที่ร้ายกาจผู้นี้อีก ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย เคล็ดวิชาวิญญาณของเขานั้นน่าหวาดหวั่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยจริงๆ” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิง ทันใดนั้นก็แยกเขี้ยวยิ้มออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าขาวเทาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายผุพังนี้ของเขากลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการคาดเดาขึ้นมาบ้างแล้ว
พรึ่บ…
ทันใดนั้นประกายดำทะมึนบริเวณรอบๆ ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็เคลื่อนที่รอบหนึ่ง แล้วเขาก็วิ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
“จะหนีหรือ มาถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังคิดหนีอีกหรือ” ถึงแม้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะถูกกัดกร่อนจนอยู่ห่างจากความตายอีกไม่มากแล้ว แต่เคล็ดการหลบหลีกนั้นแยกขาดจากการสึกกร่อน ถ้าหากอีกฝ่ายหนีไปได้จริงๆ ก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อย่างแน่นอน
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไล่ล่าสังหารติดตามไปในทันใด หลังจากไปถึงขั้นสุดยอดแล้วร่างกายของเขาก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้
“พรึ่บ”
เขาสะกดรอยตำแหน่งของราชันย์อนธการอมตะแล้วไล่ล่าสังหารติดตามไปแล้วก็ไล่ตามไปได้อย่างรวดเร็ว
เคล็ดการหลบหลีกสองศาสตร์
เห็นได้ชัดว่าเคล็ดการหลบหลีกทลายโลกาของวิถีอากาศนั้นมีความเร็วสูงกว่า
“ตายเสีย” ในขณะที่ไล่ตามไปนั้นหอกยาวเล่มหนึ่งก็ฟาดฟันไปบนร่างของราชันย์อนธการอมตะ ทำให้ร่างของเขาถูกกระแทกออกจากเส้นทางการหลบหนี ยามที่หลบหนีก็ไม่สามารถรับการโจมตีใดๆ ได้เลย!
ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ออกจากเส้นทางการหลบหนีโดยอัตโนมัติ
“ฉึก ฉึก ฉึก!!!”
ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งยังอาศัยหอกชิงเหอควบคุมพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ อย่างสุดกำลัง
แต่ว่าพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ ก็น่าหวาดหวั่นเกินไปเสียแล้ว!
ถึงแม้ว่าจะเป็นการหลบหนีในชั่วพริบตา แต่กลับมีระยะทางไกลกว่าการเหินทะยานไล่ล่าสังหารในตอนแรกกว่าพันเท่า! การไล่ล่าสังหารก่อนหน้านี้ก็ยังใกล้กับดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้กลับห่างไกลจากดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างมากแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยหอกชิงเหอควบคุมพลังคละวิถี ก็ยังรู้สึกว่าพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ นั้นหนาแน่นหาใดเปรียบ หนาแน่นกว่าที่ควบคุมก่อนหน้านี้กว่าพันเท่า พลังคละวิถีปริมาณมหาศาล ชะล้างผ่านร่างกายและวิญญาณของตนอย่างยิ่งใหญ่ ร่างกายถูกกัดกร่อนจนได้รับบาดเจ็บอย่างฉับพลัน ถึงขนาดที่ผิวหนังภายนอกเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวอย่างเห็นได้เด่นชัด สีเทาขาวนี้ยังแทรกทะลุเข้าไปภายในร่างกายด้วย ในทางกลับกันวิญญาณนั้นกลับมีความสูญเสียน้อยกว่าเป็นอย่างมาก
“ภายใต้การกัดกร่อนเช่นนี้ ข้ามีหอกชิงเหอส่งเสริม ร่างกายก็สามารถทานทนได้เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น”
“แต่วิญญาณของข้ากลับสามารถทานทนได้หลายสิบอึดใจเลยทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักในจุดนี้ขึ้นมาทันที
พรึ่บ
เขาแทบจะพุ่งขึ้นไปในทันที หอกยาวในมือแทงออกมาอย่างรวดเร็ว หอกยาวพุ่งทะยาน ฉึก… แทงทะลุทรวงอกของราชันย์อนธการอมตะในทันที ก่อนที่จะสำแดงเคล็ดการหลบหลีก ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็ต้านไม่ไหวแล้ว ขณะนี้ท่ามกลางพลังคละวิถีอันหนาแน่น ภายในร่างกายก็เริ่มต้นค่อยๆ แหลกสลายไปทีละน้อย เมื่อหอกเล่มนี้แทงทะลุเขา เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานเลยแม้แต่น้อย แล้วร่างกายก็แหลกสลายอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว
พรึ่บ! ยามที่ถูกแทงทะลุ ราชันย์อนธการอมตะก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง
หลังจากที่ร่างกายแหลกสลายอย่างสมบูรณ์มลายหายไปกลางมิติคละถิ่น เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ฉีกขาดรุ่งริ่งภายใต้การกัดกร่อน คลังสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็ถูกกัดกร่อนจนกระจัดกระจายเช่นเดียวกัน เผยวัตถุต่างๆ มากมายที่อยู่ภายในออกมา วัตถุต่างๆ มากมายก็เผชิญกับการกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ดีอยู่ในมิติคละถิ่นได้
อย่างเช่นวัสดุล้ำค่าที่พิเศษอย่างที่สุด อย่างเช่นซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้น หรืออย่างเช่น ‘มงกุฎ’ ของราชันย์อนธการอมตะ นั่นคือมงกุฎมรณะ…สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าของเขานั่นเอง
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ควบคุมอากาศเก็บวัตถุเหล่านี้ขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็หยิบคว้าเอา ‘มงกุฎมรณะ’ นั้นเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว
เขาก้มหน้าลงมองมงกุฎมรณะแวบหนึ่ง
นี่คือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าของราชันย์อนธการอมตะ ทั้งยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตนราชันย์อนธการอมตะด้วย! อาศัยสิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า! ตนเองสามารถสังหารได้แม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะ บรรดามารเหล่านั้นคงต้องถามตัวเองก่อนว่าสามารถเอาชนะราชันย์อนธการอมตะได้หรือไม่
“พรึ่บ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาในทันใด เดินทางมุ่งหน้าไปยังส่วนไกลของดินแดนจิตโลกาอย่างรวดเร็ว
ในระยะเวลาอันสั้น ผิวหนังและร่างกายบางส่วนของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขาวไปแล้ว การกัดกร่อนชนิดนี้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน
……
บุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ไม่กี่คนอย่างจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจร และเจ้าเมืองอนันต์ สังเกตการณ์เห็นการไล่ล่าสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิงและราชันย์อนธการอมตะบริเวณใกล้ๆ ด้านนอกดินแดนจิตโลกา ในที่สุดร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขาว สำแดงเคล็ดการหลบหลีกหลบหนีไปยังส่วนลึกยิ่งขึ้นของมิติคละถิ่นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะสังเกตการณ์ต่อไปได้อีกแล้ว
“ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะถูกกัดกร่อนจนทานทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“จ้าวหิมะเหินยังตามติดเข้าไปจริงๆ หรือ”
พวกเขาแต่ละคนดูตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไล่ล่าสังหารอย่างต่อเนื่องแล้วก็อดที่จะตกตะลึงอย่างที่สุดมิได้
“คราวนี้เขาจะต้องสังหารราชันย์อนธการอมตะให้ได้จริงๆ สินะ!”
“แต่นี่ก็ประมาทเกินไปเสียแล้ว เมื่อครู่ถึงแม้ว่าคนหนึ่งหนี คนหนึ่งไล่ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังอยู่ในบริเวณใกล้กับโลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะนี้สำแดงการหลบหนี แม้กระทั่งในขณะที่หลบหนี… ในชั่วพริบตานั้นก็สามารถหลบหนีไปได้ไกลแสนไกล นั่นก็เป็นส่วนลึกของมิติคละถิ่นจริงๆ แล้ว การกัดกร่อนของที่แห่งนั้นก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งแล้ว ด้วยสถานการณ์ของร่างกายของราชันย์อนธการอมตะ จ้าวหิมะเหินไล่ตาม ขอเพียงแค่รบกวนและทำลายการหลบหนีสักเล็กน้อย ราชันย์อนธการอมตะก็ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว!”
“จ้าวหิมะเหินไล่ตามไป ราชันย์อนธการอมตะก็ต้องตายแน่ แต่จ้าวหิมะเหินจะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่เล่า”
“ถึงแม้ว่าเขาจะมีร่างแยกมากมาย แต่ร่างแยกร่างนี้กลับเป็นร่างที่ครอบครองอาวุธเทพคละถิ่นน่ะสิ”
พวกจักรพรรดิเซี่ยแต่ละคนต่างก็ร้อนรนขึ้นมา
ภาพวาดที่พวกเขาสร้างขึ้นก็ทำให้จักรพรรดิชาง บรรพชนฝาน จอมกระบี่ และบุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนหนึ่งมองเห็นได้เช่นกัน
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันเป็นอย่างยิ่ง
ด้านหนึ่ง
พวกเขาตกตะลึงในพลังยุทธ์ของจ้าวหิมะเหิน รู้สึกว่าผู้ที่สามารถสังหาร ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในสมัยก่อนได้จนถึงขั้นนี้ ถึงขนาดที่ดูเหมือนว่าจะรู้จัก ‘เคล็ดวิชาการสะกดรอย’ ทำให้ราชันย์อนธการอมตะไร้ซึ่งหนทางหลบหนี! ฝีมือที่สามารถสังหารราชันย์อนธการอมตะได้เช่นนี้ เกรงว่าก็คงสามารถสังหารบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ในใต้หล้านี้ได้เช่นเดียวกัน
ต่อให้มีร่างแยกมากมายมหาศาล เกรงว่าจ้าวหิมะเหินก็คงสามารถสังหารร่างแยกของศัตรูได้เช่นเดียวกัน! คงมีเพียงร่างแยกที่ซ่อนตัวอยู่ที่โลกกำเนิดอื่นๆ ของศัตรูเท่านั้นกระมังจึงจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้
พลังคุกคามเช่นนี้…
เพียงพอที่จะทำให้ใต้หล้าต้องหวั่นเกรง! ไม่ต้องพูดถึงเหล่ามารเลย แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
“จ้าวหิมะเหินพลังยุทธ์แข็งแกร่งก็ช่างเถิด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหลบหนีและซ่อนเร้นร่องรอยรอยล้วนไม่มีประโยชน์เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “ก่อนหน้านี้ขั้นสุดยอดระดับสามัญคนหนึ่งๆ ต่างก็สามารถคุกคามใต้หล้าได้ตามอำเภอใจ ก็เป็นเพราะว่าเมื่อใดที่ซ่อนเร้นร่องรอย แม้กระทั่งข้าก็ยังไม่สามารถสะกดรอยได้ ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ผู้เดียวที่สามารถสะกดรอยได้ก็ไม่อยากข้องเกี่ยว”
“แต่ว่าจ้าวหิมะเหิน ไม่เพียงแต่มีพลังยุทธ์ในการล่าสังหารเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการสะกดรอยด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่มีทางหนีได้พ้นเลย”
“แต่ถ้าหากเขาไม่มีอาวุธเทพคละถิ่น พลังคุกคามก็จะลดลงอย่างมหาศาลเลยทีเดียว”
จักรพรรดิเซี่ยพูด “การไล่ล่าสังหารในครั้งนี้ เขาออกจะประมาทเกินไปหน่อยเสียแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการไล่ล่าสังหารการหลบหนีก็เพราะว่าที่บริเวณใกล้ๆ การกัดกร่อนส่งผลกระทบต่อเขาต่ำยิ่งนัก เขาจึงได้กล้าไล่ตาม!
“แต่จ้าวหิมะเหินจะทำการใด หากไม่มีความมั่นใจก็ไม่มีทางทำอยู่แล้ว เหมือนก่อนหน้านี้เขาก็เคยต้องการจะล้อมสังหารราชันย์อนธการอมตะ เพราะมิอาจขอให้เจ้าเมืองอนันต์ช่วยได้ ก็มิได้รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด” บรรพชนฝานพูดขึ้น “ในเมื่อเขากล้าไล่ตาม เกรงว่าคงจะมีความมั่นใจแล้วล่ะ”
“ถ้าหากเขาสังหารราชันย์อนธการอมตะได้แล้วยังสามารถพกเอาอาวุธเทพคละถิ่นกลับไปยังดินแดนจิตโลกาได้ด้วย เช่นนั้นก็น่าหวาดหวั่นเสียแล้วล่ะ!” จักรพรรดิชางรำพึง “ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เกรงว่าคงไม่มีใครไม่หวั่นกลัวหรอก”
“ใช่แล้ว” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า ไปถึงระดับนั้นแล้ว ต่อให้เขาอยู่ในนครรัฐอันเป็นที่มั่นก็ยังไม่มั่นใจว่าจะต้านทานตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลย
เขา จักรพรรดิเซี่ย ก็เป็นเช่นนี้
บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ แม้อยู่ ณ ที่มั่น ก็ยังมิอาจเอาชนะจ้าวหิมะเหินผู้นี้ได้!
“หืม”
“นี่มัน…”
เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาและเหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากดูเหมือนว่าจะสัมผัสรับรู้ได้เสียแล้ว! กระจกยลฟ้าแต่ละบานต่างก็หันไปทางจุดกำเนิดของระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนั้น
ปัง!!!
แรงระเบิดนั้นแข็งแกร่งพอที่จะระเบิดทลายผนังโลกกำเนิดได้ หลังจากที่ระเบิดเป็นโพรงดำทะมึนขนาดมหึมาหลายร้อยเมตรแล้ว ก็มีเงาร่างสายหนึ่งทะยานออกมาจากโพรงอันดำทะมึน
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่าง มือหนึ่งกุมหอกชิงเหอ มือหนึ่งถือมงกุฎมรณะ
“มงกุฎหรือ มงกุฎมรณะหรือ”
“นั่นคือมงกุฎมรณะของราชันย์อนธการอมตะหรือ”
มองเห็นจ้าวหิมะเหินกุมหอกชิงเหอกลับมา บุคคลผู้ไร้เทียมทานมากมายต่างก็หัวใจสั่นสะท้าน ฝันหวานในใจของพวกเขาที่คาดหวังให้จ้าวหิมะเหินผู้นี้ทิ้งหอกชิงเหอเอาไว้ในนั้น หมดกัน! ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอยากให้มีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นที่สามารถคุกคามมาถึงชีวิตของพวกเขาได้โผล่ขึ้นมาเหนือหัวอยู่แล้ว
แต่เหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากเมื่อได้เห็น ‘มงกุฎมรณะ’ นั้นแล้วก็เต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
พวกเขาต่างก็เข้าใจดี
นั่นคือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าของราชันย์อนธการอมตะ! สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าเอาไว้ในมือ ชะตาชีวิตของราชันย์อนธการอมตะ ไม่ต้องคิดก็ทราบได้แล้ว
“กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว” ณ รัฐเมฆทักษิณา ประมุขรัฐเมฆทักษิณา แม่เฒ่าอิงซาน และคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นเต้นยินดีหาใดเปรียบ
“น่ากลัวยิ่งนัก”
“ในที่สุดราชันย์อนธการอมตะก็ตายเสียที ตายเสียที!!!”
เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็หัวใจสั่นสะท้านด้วยเหตุนี้
‘เจ้าสำนักเหยียนโม๋’ แห่งทะเลสาบมารทมิฬมองดูเงาร่างในอาภรณ์ขาวผู้ซึ่งมือหนึ่งกุมหอกชิงเหอ อีกมือถือมงกุฎมรณะบนกระจกยลฟ้าผู้นั้นแล้วกลับทอดถอนใจเสียงต่ำว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป ดินแดนจิตโลกาก็เข้าสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว! ยุคสมัยที่เป็นของจ้าวหิมะเหิน ยุคที่ไม่มีที่ว่างให้เหล่ามาร”
(จบบทที่ 36)
……………………………………………..