ตอนแรกที่ได้ยินเสียงระฆังนี้ก็รู้สึกเพียงแค่ว่าไพเราะเสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง
และจากนั้นระฆังใบอื่นๆ แต่ละใบก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงที่แตกต่างกันผสานรวมกันขึ้นมาแล้วส่งผ่านเข้าไปภายในเจดีย์ ขณะที่สะท้อนก้องอยู่ภายใต้โครงสร้างอันแปลกประหลาดภายในเจดีย์นั้นเองกลับก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดส่งผลกระทบต่อวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง วิญญาณเข้าไปสู่สถานะอันแปลกประหลาดภายใต้การเหนี่ยวนำ
“ฟิ้ว…”
เงียบสนิท!
วิญญาณเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งกำลังแผ่ซ่านไปทั่ววิญญาณ ประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
“วิญญาณก็สามารถเงียบสงบถึงเพียงนี้ได้ด้วยหรือ”
ก็คล้ายกับอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหายลับไป กฎเกณฑ์ทั้งหมดก็หายลับไปด้วย! ความมืดมิดเงียบงันพรรค์นี้กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทุกบริเวณของดวงวิญญาณ วิญญาณเงียบงันเสียจนราวกับติดเข้าไปอยู่ในการหยุดชะงัก ในขณะนี้มีเพียงวิญญาณ มีเพียงร่างกายเท่านั้น! ต้องการเพียงแค่ความนึกคิดเดียวก็สามารถรู้สึกถึงร่างกายตนเองได้อย่างง่ายดายแล้ว
การสัมผัสรับรู้ร่างกายนั้นแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนราวกับแผ่นดินอันใหญ่โตไร้ซึ่งขอบเขตแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้า
“ผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็อาศัยเจดีย์เจ็ดระฆังนี้มาสำรวจสายโลหิตในร่างกายตนอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่จำเป็นต้องสำรวจ เพราะว่าร่างกายของเขาเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความเข้าใจและใช้ประโยชน์ต่อกฎเกณฑ์ของเขา และไม่เหมือนกับผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ในตัว พวกเขาบำเพ็ญพลังสายโลหิตก็สามารถมีพละกำลังอันมิอาจจินตนาการได้
“ละทิ้งร่างกายไปทางหนึ่ง”
ความนึกคิดหนึ่ง
วิญญาณอันเงียบงันหาใดเปรียบ ตัดแยกการรับสัมผัสต่อร่างกายได้อย่างง่ายดาย
การตัดแยกนี้
ในการรับสัมผัสวิญญาณก็เข้าสู่ความมืดมิดอันไร้ซึ่งขอบเขตที่ ‘แท้จริง’ แล้ว ท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น! แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่มี!
แต่ว่าท่ามกลางความเงียบสงบที่วิญญาณเกือบจะกลายเป็นขั้นสุดยอด
ความคิดกลับ ‘มีชีวิตชีวา’ อย่างมิอาจจินตนาการได้!
“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสบายเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าวิญญาณจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ เลย ศักยภาพก็คล้ายว่าจะถูกขุดออกมาจนหมด”
“ยังบำเพ็ญวิถีอากาศดีกว่า”
ความเข้าใจในความเร้นลับปริมาณมหาศาลเกี่ยวกับวิถีอากาศพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด และวิวัฒน์อย่างต่อเนื่อง ความคิดอันน่าอัศจรรย์อันแล้วอันเล่าปรากฏขึ้นมา ความเร็วในการบำเพ็ญรวดเร็วกว่าสถานะปกติมากมายยิ่งนัก คล้ายกับวิญญาณในยามปกติ ได้รับผลกระทบของกฎเกณฑ์สูงสุด ได้รับผลกระทบของร่างกาย ได้รับผลกระทบมากมายเหลือเกิน… ยามที่บำเพ็ญ ผลลัพธ์ห่างไกลจากตอนนี้มากมายนัก
“มหัศจรรย์เหลือเกิน”
ลอบรำพึง
ตามความคิดอันมีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ ก็เจาะลึกเข้าไปในวิถีอากาศอย่างรวดเร็วแล้ว
ห้ากระบวนท่าไม้ตายที่คิดค้นออกมาจากวิถีอากาศก่อนหน้านี้ การสั่งสมอันมากมายมหาศาล รวมถึงประสบการณ์แสวงโชคต่างๆ ที่เคยบุกผ่านเกาะลอยคว้างห้าร้อยกว่าแห่ง ต่างก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมองในขณะนี้ แล้วกระทบกระแทกอย่างต่อเนื่อง…
ความคิดอันไร้ซึ่งการยับยั้งระเบิดออกไปทุกทิศทุกทางผ่านไปยังทิศทางที่แตกต่างกันกำลังบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว
******
ด้านนอกเจดีย์
ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิวายุทิพย์ และแม่ทัพเทพแปดท่านต่างก็อยู่ที่นี่
“น่าอัศจรรย์หรือไม่” จักรพรรดิวายุทิพย์มองตงป๋อเสวี่ยอิง
“มหัศจรรย์ยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าซับซ้อน ร่างแยกที่บำเพ็ญอยู่ภายในเจดีย์ก็เชื่อมต่อกับร่างแยกที่มีอยู่ของเขาตามธรรมชาติ ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกจึงยิ่งเป็นเอกลักษณ์มากขึ้นไปอีก
ร่างแยกที่บำเพ็ญอยู่ภายในเจดีย์เจ็ดระฆังนี้ ความคิดของวิญญาณคล้ายกับอยู่ใน ‘มิติ’ อีกแห่งหนึ่ง ที่มิติแห่งนั้น ความคิดก็มีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ วิญญาณไม่มีการยับยั้งใดๆ เลย การบำเพ็ญรวดเร็วเป็นที่สุด
ส่วนร่างแยกอื่นๆ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีอยู่ ต่างก็ต่ำลงไปอีกมิติหนึ่ง!
ถึงแม้ว่าความทรงจำจะสามารถติดต่อกันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าความคิดมิได้ไปด้วยกัน
“ยังมีสมบัติชั้นยอดพรรค์นี้อยู่ด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเจดีย์เจ็ดระฆังที่อยู่ตรงหน้าแล้วสองตาก็เปล่งประกาย ที่หุบเขาเขี้ยวหัก เจดีย์เจ็ดระฆังนี้เอาไว้ใช้เพียงแค่ช่วยให้เหล่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมตระหนักรู้สายโลหิตภายในร่างกายของตนเท่านั้น แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วกลับมีส่วนช่วยมากกว่าอย่างมหาศาล! นี่คล้ายกับการคลายพันธนาการต่างๆ นานาออก ขุดเอาพรสวรรค์และศักยภาพตามหลักการของตนออกมาจนหมดสิ้น
“ฮ่าฮ่า น้องหิมะเหิน ต่อจากนี้เจ้าวางแผนจะไปที่ใดกันหรือ” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ “มีสิ่งใดที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือก็จงพูดมาให้หมด”
“มีอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้จักรพรรดิลงมือหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแม่ทัพเทพผู้สวมชุดเกราะคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “แม่ทัพเทพรัศมีศิลา ข้าวางแผนจะไปบุกเกาะลอยคว้างบางแห่ง ราชันย์เผ่ามรณะทมิฬบนเกาะลอยคว้างเหล่านั้น มีบางคนที่สามารถต้านทานเคล็ดวิชาเขตลวงของข้าได้ พลังยุทธ์ของพวกมันเหลืออยู่เพียงหนึ่งหรือสองส่วน ข้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันอยู่ดี ต้องการให้ท่าน แม่ทัพเทพรัศมีศิลาช่วยเหลือ สมบัติล้ำค่าบนเกาะ ท่านก็สามารถเลือกเอาได้ตามใจชอบเลย”
“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนพี่ใหญ่รัศมีศิลาหรอก ข้าเอง”
“จ้าวหิมะเหิน ข้าก็ได้นะ! มีเจ้าอยู่ ไม่ว่าสิบสามราชันย์คนไหนๆ ข้าก็มีความมั่นใจทั้งนั้นแหละ”
“เรื่องดีๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงให้พี่ใหญ่รัศมีศิลาเสียเล่า”
แม่ทัพเทพคนแล้วคนเล่าเอ่ยขึ้นในทันใด
พวกเขาต่างก็อิจฉาตาร้อนกันขึ้นมาบ้างแล้ว
ข้อหนึ่ง การไปบุกเกาะลอยคว้างแต่ละแห่งเคียงข้างจ้าวหิมะเหินนั้นเป็นเรื่องดีที่อยากจะทำแม้กระทั่งในความฝัน! มีจ้าวหิมะเหิน ผู้ที่จะสามารถทำให้พวกเขาหวั่นเกรงได้ในเผ่ามรณะทมิฬ เกรงว่าคงมีเพียงแค่สามมหายอดเคารพเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนมิได้อยู่ในสายตาเลย นอกจากนี้ มิได้ยินที่บอกว่า ‘เลือกสมบัติล้ำค่าเอาตามใจชอบ’ หรือไร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแม่ทัพเทพผู้สูงส่ง แต่กับสมบัติล้ำค่าทั้งหลายบนเกาะลอยคว้าง ก็ยังคงตาลุกวาวอยู่ดี แต่เพียงแค่ไม่มีความมั่นใจว่าจะได้มาครอบครองเท่านั้นเอง
ข้อสอง การไปบุกด้วยกันก็ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ล้ำลึกมากยิ่งขึ้นเป็นธรรมดา!
โอกาสอันดีที่จะได้ผูกไมตรีกับจ้าวหิมะเหิน ต่อให้ไม่ได้สมบัติล้ำค่าอะไรมาเลยก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี! มีสหายที่ดีอย่างจ้าวหิมะเหินผู้นี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นใครทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักก็มิกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขาง่ายๆ แล้ว
“จ้าวหิมะเหินจะให้ข้าช่วย พวกเจ้าก็อย่าได้มาแย่ง” แม่ทัพเทพรัศมีศิลาเอ่ยคำราม “ว่าอย่างไร อยากจะประลองกันสักหน่อยหรือไม่เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ
เขาก็รู้สึกว่ามีแม่ทัพเทพคนหนึ่งช่วยเหลือก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้คนเหล่านี้ต่างก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์ ย่อมไม่สามารถถูกตนเองพาตัวไปหมดได้หรอกกระมัง
นอกจากนี้ พูดถึงพลังยุทธ์ แม่ทัพเทพรัศมีศิลาก็เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งแปด!
……
จากนี้ต่อไปในภายภาคหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงพาตัวแม่ทัพเทพรัศมีศิลาไปบุกเกาะลอยคว้างอย่างต่อเนื่องแล้ว เขามีข้อมูลโดยละเอียด ก็ย่อมไปยังเกาะแก่งที่มีดวงตาลึกลับแห่งแล้วแห่งเล่านั้นได้อยู่แล้ว
เขาต้องการจดจำส่วนประกอบเขตลวงที่อยู่ภายในดวงตาลึกลับให้มากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าจะคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาแล้ว แต่ในเมื่อดวงตาลึกลับนี้มีส่วนช่วยเหลือตน เช่นนั้นก็ย่อมต้องจดจำเอาไว้ให้มากยิ่งขึ้น! ทำให้ตนเองไปถึง ‘ระดับสุดยอด’ ของวิถีเขตลวงโลกเทียม ทำให้เส้นทางราบรื่นขึ้นพอสมควร
******
และที่หุบเขาเขี้ยวหัก
ข่าวหนึ่งแพร่กระจายออกไป
จักรพรรดิวายุทิพย์มี ‘จ้าวหิมะเหิน’ ช่วยเหลือ บุกเข้าไปสู่เกาะราชันย์เหยี่ยนแล้วจับเป็นผู้อาวุโสยี่สิบสองท่าน กดดันให้ราชันย์เหยี่ยนยอมก้มหัว ส่งมอบน้ำนมทิพย์ลำแสงให้ ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว! จักรพรรดิวายุทิพย์ก็ยิ่งเติมฟืนใส่กองไฟ เขาอยากให้ทุกฝ่ายรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับจ้าวหิมะเหิน พร้อมกันนั้นก็อาศัยสิ่งนี้แสดงถึงความต้องการของตน!
ภายในระยะเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ เขาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือราชันย์เหยี่ยนมามากมายหลายครั้งเหลือเกินแล้ว คราวนี้ในที่สุดก็กดดันให้ราชันย์เหยี่ยนต้องก้มหัวให้จนได้ เรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องแพร่กระจายไปให้รู้กันทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก! มิฉะนั้นหากหลบๆ ซ่อนๆ ก็จะไม่สาแก่ใจ
“จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีผลกระทบต่อพลังยุทธ์มากมายเหลือเกิน”
“ที่เกาะลอยคว้างของตน ราชันย์เหยี่ยนก็ถูกกดดันให้ก้มหัวอย่างนั้นหรือ”
“จับเป็นผู้อาวุโสยี่สิบสองท่านหรือ เมื่อระดับแม่ทัพเทพอยู่ต่อหน้าจ้าวผู้นี้ จำนวนก็ไม่มีความหมายเลยหรือไร”
ทุกหนแห่งพากันวิพากษ์วิจารณ์
ชื่อเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งทวีความโด่งดัง สามมหายอดเคารพแห่งเผ่ามรณะทมิฬ และสองมหายอดเคารพของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมต่างก็ให้ความสนใจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!
……
ข่าวแพร่กระจายออกไป แล้วก็แพร่ไปถึงหูของผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนจิตโลกาเช่นเดียวกัน
เช่นจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ พวกเขาต่างก็ให้ความสนใจกับหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอย่างมาก ทั้งยังสืบหาข้อมูลจำนวนหนึ่งของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่เป็นประจำ
โดยเฉพาะ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ หลังจากที่กลับมาจากการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นล้มเหลวแล้ว เขาก็เคยเข้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหักหลายครั้ง ครั้งนี้เขาก็เป็นคนแรกๆ ในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาที่รู้เรื่องราวของ ‘จ้าวหิมะเหิน’
“อะไรนะ สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ” ชายหนุ่มรูปงามที่สวมอาภรณ์สีเทาเอ่ยอย่างยากที่จะเชื่อได้
ยามอยู่ที่ดินแดนจิตโลกา เขาก็เป็นผู้ที่ใส่อาภรณ์หรูหรางดงามสีทองและสวมมงกุฎ แต่เมื่ออยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ราชันย์อนธการอมตะก็เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างมาก สวมเพียงแค่อาภรณ์สีเทา
ช่วยไม่ได้
เขาไม่มีสิทธิ์แสดงตัวที่กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามิได้มีร่างแยกเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ย!
“แน่นอนว่าต้องเป็นความจริงสิ ข่าวก็แพร่ออกมาก่อนแล้ว นี่ก็เป็นจังหวะที่ดีแล้วล่ะ” ชายชราร่างอ้วนพีคนหนึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามพลางพูดว่า “ราชันย์อนธการ เจ้ามิได้บอกหรือว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าอ่อนแอกว่าจ้าวหิมะเหินมากมายถึงเพียงนั้นเล่า เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหิน ระดับจักรพรรดิธรรมดาทั่วไปต่างก็ต้องจมดิ่งลงไป ระดับแม่ทัพเทพต่างก็ต้องตัวสั่นงันงก หรือแม้กระทั่งเหล่าจักรพรรดิก็ยังต้องแย่งกันสร้างสัมพันธไมตรี! แม้กระทั่งห้ายอดเคารพต่างก็ยังมิกล้าละเลย”
ราชันย์อนธการอมตะเงียบงัน
ริษยาหรือ
เขาเกิดความริษยาขึ้นมาวูบหนึ่งจริงๆ ถ้าหากเขาอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหักและมีสถานะที่สูงส่งเช่นนี้เหมือนกัน เช่นนั้นจะทำอะไรก็คงง่ายดายกว่านี้มากแล้ว
นอกจากจะริษยาแล้วเขาก็ยังกระวนกระวายด้วย!
“เขาบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมมาจนถึงระดับนี้แล้วหรือ ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองก็พอมีอยู่บ้าง ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เลย หรือว่าเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้วเล่า หรือว่าจะมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับแล้วด้วย” ราชันย์อนธการอมตะเกิดความตื่นตระหนกขึ้นในใจ เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครไปถึงขั้นสุดยอดทางด้านวิญญาณมาก่อนเลย ก็ยิ่งไม่มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับอยู่แล้ว
“สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งได้ เช่นนั้นยามที่ขั้นสุดยอดอย่างข้าเผชิญกับเขตลวงโลกเทียมของเขา ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ เกรงว่าก็คงต้องกระจายพลังจิตไปมิใช่น้อยเลย” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ ระดับจิตใจของผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอดต่างก็ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง แต่คาดว่าความสามารถในการต้านทานเขตลวงโลกเทียมนั้นอย่างมากที่สุดก็แค่เทียบเคียงได้กับห้ายอดเคารพ ก็ต้องกระจายพลังจิตไปมากพอสมควรอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ทำให้พลังยุทธ์ต้องถูกทำลาย
“ทำเช่นไรดีเล่า”
“เขามีร่างแยกมากมาย อยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก พูดคำเดียวก็มีร้อยเสียงตอบรับ ผู้แกร่งกล้าแย่งกันผูกไมตรี ทรัพยากรมากมายเหลือล้น ทั้งยังมีวิถีอากาศของเขาด้วย เขามีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่ในมือ ด้วยการสั่งสมของเขา บวกกับเคราะห์ดีของหุบเขาเขี้ยวหัก ความหวังในการสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว”
“เป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” ราชันย์อนธการอมตะเกิดความรู้สึกร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
…………………………………………….