ภายนอกห้วงมิติกลุ่มแสง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางตามเครือข่ายเส้นทางมาถึงยังเบื้องหน้ายอดเคารพเฮ่ากู่ผู้เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอยอย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไรบ้าง” ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยถาม
“เป็นมิติเศษเสี้ยวความทรงจำ มิได้มีสมบัติล้ำค่าที่สามารถนำติดมาได้แต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“อ้อ” ยอดเคารพเฮ่ากู่มองไปยังอาณาเขตอื่นๆ อย่างครุ่นคิด เศษเสี้ยวความทรงจำนั้นมีเพียงแค่การเข้าไปดูด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะยังนับว่าได้อะไรอยู่บ้าง! ภายใต้ความกดดันวิญญาณพรรค์นั้นเขาก็มิอาจเข้าไปได้ ก็ย่อมไร้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่เขาก็มิได้ใส่ใจ เพราะว่ามีเพียงแค่ ‘เศษเสี้ยวความทรงจำ’ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของตนเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์อยู่บ้าง มิฉะนั้นก็จะมีประโยชน์เพียงน้อยนิดเท่านั้น…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ทะเลแห่งการรับรู้เป็นครั้งแรกก็ได้ ‘ขนนกแดงเพลิง’ อันนั้นมาครองแล้ว เดิมคิดว่าการนำเอาสมบัติล้ำค่าไปนั้นมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย
แต่ต่อมาเขาก็รู้ว่าตนเองผิดพลาดเสียแล้ว
เพราะว่าทั่วทั้งทะเลแห่งการรับรู้มีกลุ่มแสงอยู่ทั้งสิ้นเพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น! ไม่นับแห่งที่ตนไม่สามารถเข้าไปได้ และไม่รวมแห่งที่ยอดเคารพเฮ่ากู่เคยเข้าไป ก็เหลืออยู่เพียงแค่ห้าสิบหกห้วงมิติกลุ่มแสงที่ตนสามารถบุกเข้าไปได้ ห้าสิบหกห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ ที่มีสมบัติล้ำค่าอยู่ก็มีเพียงแค่สามสิบสามแห่งเท่านั้น! ในบรรดานั้นก็มีเป็นจำนวนมากที่มีพลานุภาพน่าหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกวาดล้างโดยสมบูรณ์ ก็ย่อมไม่สามารถหยิบเอาสมบัติล้ำค่าใดๆ ไปได้อยู่แล้ว
มีกลุ่มแสงเพียงเจ็ดแห่งเท่านั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความหวังที่จะนำสมบัติล้ำค่าไปได้ แต่ก็เพียงแค่มีความหวังเท่านั้น
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงโซซัดโซเซออกมาจากห้วงมิติกลุ่มแสงแห่งหนึ่งแล้วร่อนลงบนเครือข่ายเส้นทาง ในมือของเขาถือแผ่นเกล็ดสีดำอันหนึ่งเอาไว้
“ได้มาแล้วหรือ” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ไกลออกไปได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วบินตรงออกมาในทันที ไม่สนใจแล้วว่าจะสูญเสียพลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปอีกสายหนึ่ง
“เสี่ยงยิ่งกว่าเสี่ยง โชคดีที่ได้มาครอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแผ่นเกล็ดสีดำในมือแล้วก็ทอดถอนใจอยู่บ้าง เมื่อครู่สิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดในห้วงมิติกลุ่มแสงนั้นก็คือฟันเขี้ยวซี่หนึ่งซึ่งคมกริบดุจมีด แต่ฟันเขี้ยวซี่นั้นมีพลังคุกคามแข็งแกร่งเหลือเกิน ถึงขนาดที่พลังคุกคามอันไร้รูปร่างที่ปล่อยออกมาก็กดดันเสียจนตนมิอาจเข้าไปใกล้ได้ ถ้าหากมีพลังยุทธ์ระดับยอดเคารพเฮ่ากู่ก็น่าจะสามารถฝืนทนจนเข้าไปใกล้อย่างต่อเนื่องได้
ถึงแม้ว่าการได้มาซึ่งแผ่นเกล็ดสีดำนี้จะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุ่มเทอยู่ห้าครั้ง ในที่สุดก็สำเร็จจนได้
“ดีจริง” ยอดเคารพเฮ่ากู่หยิบเอาแผ่นเกล็ดสีดำมา รับสัมผัสพลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในส่วนลึกของแผ่นเกล็ดสีดำแล้วเผยสีหน้ายินดีพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้ม “จ้าวหิมะเหิน อ้างอิงจากที่เจ้ากับข้าสัญญากันก่อนหน้านี้ เจ้าเพียงแค่ช่วยข้าให้ได้สมบัติล้ำค่ามาสามชิ้นเท่านั้น เจ้าก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไปบุกฝ่าอย่างอิสระเถิด”
“ยังคิดว่าการรวบรวมสมบัติล้ำค่าสามชิ้นจะค่อนข้างง่ายเสียอีก คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายครั้งเช่นนี้ พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าก็หมดลงไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าหากต้องการได้สิ่งเหล่านั้นกลับคืน ก็เกรงว่าคงต้องกลับคืนแล้วล่ะ”
แต่เขาไม่คิดจะคืนกลับไป
อยากจะใช้พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษจนถึงหยาดหยดสุดท้าย
“ฮ่าฮ่า คราวนี้ต้องขอบคุณจ้าวหิมะเหินแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่พึงพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับมาเป็นอย่างยิ่ง เขาเอ่ยว่า “พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าลดลงไปเร็วเหลือเกิน ข้ายังเตรียมตัวจะไปยังสถานที่แห่งอื่นๆ อีก อยากจะไปด้วยกันหรือไม่เล่า”
“ไม่แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ยอดเคารพเฮ่ากู่พยักหน้า “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”
พรึ่บ!
เขาแปลงร่างเป็นลำแสงเหินทะยานไปไกลในทันที ทั่วทั้งทางเดินเขี้ยวอสรพิษใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง ‘ส่วนหัว’ ของอสรพิษก็ยังกว้างขวางเป็นที่สุด ทะเลแห่งการรับรู้เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษเท่านั้น พูดถึงอาณาบริเวณก็เป็นเพียงแค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งเท่านั้นเอง ยอดเคารพเฮ่ากู่ทะลุผ่านผนังกั้น ไปจากทะเลแห่งการรับรู้อย่างรวดเร็ว แล้วไปยังสถานที่แห่งอื่นในทางเดินเขี้ยวอสรพิษอีกครั้ง
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปจากทะเลแห่งการรับรู้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ใช้เวลาหลายอึดใจในการผ่านผนังกั้นสีแดงโลหิตของทะเลแห่งการรับรู้ มุ่งหน้าตามเส้นทางไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการเหินทะยานของเขาช้ากว่ายอดเคารพเฮ่ากู่อยู่มากนัก เหาะเหินอยู่เป็นเวลากว่าสามวันจึงมาถึงจุดหมาย
“ถึงแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหาะมาถึงตรงหน้า ‘เขี้ยวอสรพิษ’ ที่สูงตระหง่านดุจภูเขา เขี้ยวอสรพิษดำสนิท บริเวณรอบๆ มีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
พรึ่บ!
พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงเสียดฟ้ามุ่งไปยังส่วนยอดของภูเขาสูงเขี้ยวอสรพิษ
“แคร่กๆๆ” รอยแยกห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้แล้วหลบเลี่ยงออกมาก่อน รอจนตอนที่บินไปถึงส่วนยอดสุดของภูเขาสูงเขี้ยวอสรพิษสีดำ มองปราดเดียวก็เห็นว่าส่วนยอดสุดของเขี้ยวอสรพิษนั้นแหลมคมหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่งูยักษ์ใช้เขี้ยวอสรพิษนี้ขบกัดศัตรูได้ เกรงว่าเขี้ยวอสรพิษนี้ยังน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าอาวุธเทพคละถิ่นที่ตนดัดแปลงอยู่มากพอสมควร
ส่วนยอดสุดของเขี้ยวอสรพิษสีดำสูงตระหง่านคมกริบราวกับใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบกันเป็นค่ายกล นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงดู ‘ใบมีด’ แต่ละอันอย่างละเอียด ใบมีดก็กำลังขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนภายใต้ทัศนวิสัยของเขา… มีขนาดใหญ่กว่าดินแดนแห่งหนึ่งเป็นอย่างมาก เขามองเห็นส่วนประกอบอันแปลกประหลาดภายใน ‘ใบมีด’ ได้อย่างชัดเจน
“น่าสนใจดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด หัวคิ้วขมวดน้อยๆ แล้วก็ร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว นั่งขัดสมาธิอยู่บนส่วนยอดของเขี้ยวอสรพิษ นั่งขัดสมาธิอยู่ระหว่างกลางใบมีดสองอัน
หยั่งรู้อย่างละเอียด
******
ที่ห้วงอากาศเขี้ยวอสรพิษนี้ไม่มีอันตรายใดๆ มากล้ำกราย มิได้ใช้พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถทุ่มเทจิตใจฝึกฝนได้
ร่างแยกร่างหนึ่งของเขาอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสง สังเกตดูเศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่าและหยั่งรู้
ร่างแยกที่มีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็หยั่งรู้อยู่บนยอดเขาเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศสีดำ
ในความเป็นจริงแล้ว ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นส่วนประกอบภายในของส่วนยอดของใบมีดอันคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศ’ ก็ถูกดึงดูดแล้ว เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะส่วนประกอบนี้มีส่วนที่คล้ายคลึงกันกับฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามที่เขาวิวัฒน์ขึ้นเองอยู่เป็นอันมาก ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สาม ความตั้งใจเดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกกายที่สมบูรณ์แบบออกมา
‘ฉบับแรก’ ก่อนหน้านี้ เป็นสิ่งที่เขากับจักรพรรดิเซี่ยประชันปัญญากันจนสำเร็จก้าวแรกออกมาได้ในท้ายที่สุด ฉบับแรกนี้ก็ทำให้ร่างกายของเขาและจักรพรรดิเซี่ยมีพลังยุทธ์ของผู้แกร่งกล้าไร้เทียมทานระดับสามัญแล้ว
แต่ ‘ฉบับแรก’ ก็ยังคงหยาบกระด้าง มีส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ต่างๆ อยู่
ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ยต่างก็ต้องการเดินตามเส้นทางของตนเองกันทั้งคู่! จึงต้องต่างคนต่างเดินไปก่อน
“เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกเข้าไปในนั้นอย่างยินดี
ส่วนประกอบภายในของใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นลึกลับหาใดเปรียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึมซับมัน
แล้วค่อยผสานรวมกับการตระหนักรู้ที่ตนมีอยู่เดิม ในที่สุด ‘ฉบับที่สอง’ ของฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เพียงพริบตา
ก็เป็นเวลาหนึ่งพันแปดร้อยล้านปีหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว
ที่ส่วนยอดของเขี้ยวอสรพิษสีดำอันสูงตระหง่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่า
นั่งขัดสมาธิอยู่ระหว่าง ‘ใบมีด’ สองอัน เขาเผยสีหน้ายินดี “คราวนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน! ข้ารู้สึกว่าสมบูรณ์แบบมากพอแล้ว ลองดูสักหน่อยเถิด!” ทันใดนั้นก็ยื่นมือขวาของตนออกมาแล้วเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงจากส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดของร่างกาย ทำให้มือขวาเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปด้วย
การคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกกายก็เป็นเช่นนี้ อาศัยร่างกายของตนเองไปทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ในระหว่างกระบวนการทดลอง ก็อาจทำให้ร่างกายของตนแตกสลายอยู่บ่อยครั้ง
แต่ว่าวิญญาณสมบูรณ์แบบ เพียงความนึกคิดเดียวก็สามารถรวมร่างกายได้อย่างรวดเร็วแล้ว
“พรึ่บๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองบางส่วนก่อนจากนั้นค่อยทำทั้งร่าง เปลี่ยนแปลงมือขวาของตนเองก่อน เห็นเพียงว่าเล็บมือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นทีละน้อยตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ราวกับอาวุธเทพก็มิปาน ผิวหนังนิ้วมือก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและแหลมคม ผิวหนังนิ้วมือราวกับประกอบขึ้นจากใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วน พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นสะสมรวมกันอยู่บนมือขวา
“แย่แล้ว”
เพียงแค่เปลี่ยนแปลงมือขวาเท่านั้น สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว
มือขวามีพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่น ทำให้ทั่วทั้งร่างกายทนรับภาระอันกล้าแกร่ง ดูเหมือนว่าถ้าเปลี่ยนแปลงต่อไป ทั่วทั้งร่างกายก็จะแหลกสลายไปหมดแล้ว
ถึงแม้ว่ารักษา ‘มือขวาอันน่าหวั่นเกรง’ เอาไว้เพียงข้างเดียว พลังที่แฝงอยู่ในร่างกายก็ถูกใช้ไปอย่างบ้าคลั่งแล้ว
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เพียงแค่รักษามือขวาให้คงอยู่เอาไว้ได้ พลังร่างกายก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นร่างกายของตน เกรงว่าชั่วเวลาจิบชาเดียว ร่างกายก็ต้องแหลกสลายแล้ว
“ล้มเหลวแล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ว่ากันตามเหตุผล
ร่างกายอันสมบูรณ์แบบ ลำพังแค่การคงอยู่ก็สามารถเป็นนิรันดร์ได้ อย่างเช่น ‘ฉบับแรก’ ของฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก่อนหน้านี้ ยามปกติพลังที่ใช้ก็เพียงแค่น้อยนิดนอกจากนี้ยังมั่นคงเป็นอย่างยิ่งด้วย
ทว่าตอนนี้ ‘ฉบับที่สอง’ ที่ตนตระหนักรู้นั้นกลับไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่เพียงแค่รักษามือขวาเอาไว้ก็มีมูลค่ามหาศาลเป็นอย่างยิ่งแล้ว
“แต่นี่เป็นเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ข้าหยั่งรู้แล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ เขาถามตนเอง สิ่งที่ควรคิดก็คิดถึงหมดแล้ว เขาเองก็รู้สึกว่าสมบูรณ์แบบ ไม่มีทางก้าวหน้าได้อีกแล้ว แต่ตอนนี้ผลลัพธ์กลับยังห่างไกลกับที่เขาจินตนาการไว้เป็นอย่างมาก
“พลังคุกคามเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองโบกมือคราหนึ่ง
พลั่ก…
นิ้วมือทั้งห้าของมือขวา ไม่ว่าจะเป็นเล็บมือหรือว่าผิวหนัง ใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวหนังต่างก็รวมพลังเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบในทันใด เพียงพริบตาเดียวก็ตัดแยกออกเป็นรอยแยกห้าสาย ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ สามารถมีพลังคุกคามเช่นนี้ได้ก็ถือว่าค่อนข้างร้ายกาจแล้ว “ถึงแม้ว่าจะยังห่างไกลจากระดับขั้นสมบูรณ์ที่ข้าไขว่คว้า แต่พูดถึงพลังคุกคามก็นับได้ว่าเป็นระดับจักรพรรดิแล้ว”
ขั้นสมบูรณ์ที่เขาและจักรพรรดิเซี่ยไขว่คว้า
ว่ากันตามเหตุผล ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามขั้นสมบูรณ์นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! นั่นก็คือพลังรบ ‘ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์’ แม้กระทั่งพวกเขาสองคนก็ยังมุ่งมาดปรารถนาที่จะอาศัยสิ่งนี้หนีออกจากกรงขังสักครา สำเร็จเป็นคละถิ่น
“ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็นับได้ว่ามีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นต้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเยาะตนเองเสียงหนึ่ง “อยากจะสำเร็จเป็นคละถิ่นจะง่ายดายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน แม้กระทั่งร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยังห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง”
ฝึกกายคละถิ่น ‘ฉบับแรก’ ก่อนหน้านี้เป็นพลังยุทธ์ระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์
ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มั่นคง แต่ก็นับได้ว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นต้น มีพลังยุทธ์ราวๆ สามส่วนของตนเมื่อใช้อาวุธเทพคละถิ่นหอกชิงเหอกระมัง
…………………………………………