เพียงแค่ชั่วครู่ ยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นั้นก็กลับมาแล้วเอ่ยว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินขอรับ ข้าหาต้นฉบับตำราเล่มนี้พบแล้วขอรับ” เขาพูดพลางยื่นส่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วก็ก้มหน้าลงมองคราหนึ่งพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าต้องการห้องเงียบสักห้องเพื่อพินิจดูอย่างละเอียด”
“หอสะสมคัมภีร์มีห้องเงียบมากมายยิ่งนัก ที่ประตูศิลาเปิดอยู่ล้วนเป็นห้องว่างทั้งสิ้น ปรมาจารย์หิมะเหินเลือกเอาสักห้องหนึ่งได้ตามใจชอบเลยขอรับ” ยามรักษาการณ์นำทางอยู่ด้านหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกมาตามใจชอบห้องหนึ่งแล้วเดินเข้าไป โครม…ประตูศิลาก็ปิดสนิทลงอย่างรวดเร็ว
……
ห้องเงียบของหอสะสมคัมภีร์ก็สามัญธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงความเงียบสงบ ไม่มีการรบกวนจากคนนอก มูลค่าในการก่อสร้างก็ต่ำเป็นอย่างยิ่ง
โดยทั่วไปแล้วต่างก็มาใช้สถานที่แห่งนี้ตอนศึกษาตำราการบำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะว่าเดิมที ‘ตำราการบำเพ็ญ’ ก็ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว นอกจากการจดจำจะต้องใช้ระยะเวลามากพอสมควรแล้ว ส่วนใหญ่แล้วผู้บำเพ็ญโดยทั่วไปก็มักอยากจะพินิจดู ‘ต้นฉบับ’ ให้มากสักหน่อย จะต้องสำเร็จกลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศนี้อย่างสมบูรณ์แล้วจึงจะสามารถเขียน ‘ต้นฉบับ’ ลงไปได้ ร่องรอยลายมือรอยพู่กันบนนั้นต่างก็แฝงไว้ด้วยเสน่ห์นานาชนิด เมื่อพินิจดูแล้วก็มีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญเป็นอย่างยิ่ง
แต่การพินิจดูต้นฉบับนั้นมีเพียงแค่การศึกษาครั้งแรกเท่านั้นจึงจะมีโอกาส
“กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศเป็นเคล็ดวิชาที่ ‘ผู้เหินทะยาน’ ของโลกแห่งนี้คิดค้นขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกเปิดดูในทันที สติรับรู้ก็แทรกผ่านเข้าไปในตำราแล้วเริ่มต้นจดจำ
ว่ากันตามจริง
สำหรับผู้เหินทะยานที่เรียกกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาประชากรของโลกเทพต่างก็เป็นทายาทของ ‘บรรพเทวะคละถิ่น’ เผชิญกับวิญญาณของมิติจำนวนนับไม่ถ้วนของโลกล่าง ก็ย่อมมีความรู้สึกเหนือกว่าอยู่แล้ว แต่เผชิญกับมิติจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘ผู้เหินทะยาน’ ที่สามารถมาถึงยังโลกเทพได้ภายในโลกล่าง บรรดาประชากรโลกเทพก็ค่อนข้างหวาดหวั่น ต่างก็ยอมรับว่าผู้เหินทะยานคนใดๆ ต่างก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง! หรือแม้กระทั่งระดับเดียวกัน ผู้เหินทะยานก็แข็งแกร่งกว่าประชากรโลกเทพอยู่ขั้นใหญ่ การต่อสู้ข้ามชั้นสำหรับผู้เหินทะยานนั้นก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยอย่างยิ่ง
“ล้ำเลิศยิ่งนัก” วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งกล้าเพียงใด เพียงไม่นานก็ดูกลยุทธ์กระบี่นี้จนหมดรอบหนึ่งแล้ว ทั้งยังจดจำเอาไว้จนหมดด้วย
หลังจากดูหมดแล้ว สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
นับถือ!
กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ สำหรับการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ไปถึงขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน ไม่ด้อยไปกว่าวิธีการมากมายที่ตนคิดค้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย! แม้กระทั่งเพราะว่าเคล็ดวิชาความเร้นลับของกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตนตระหนักรู้ที่ดินแดนจิตโลกา เผชิญกับความขัดแย้งของโลกแห่งนี้ เคล็ดวิชาวิถีอากาศที่ตนแสดงออกมา… ยังห่างชั้นมิอาจเทียบกับกลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ได้
“ความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของข้า ต่อให้มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับช่วยเหลือ ก็เป็นเพียงแค่ข้ากับจักรพรรดิเซี่ยร่วมกันทำให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น แล้วหยั่งรู้เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศ ขัดเกลา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ที่ไม่มั่นคงออกมา สามารถกดดันเขาได้ในระดับหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
‘จักรพรรดิระดับต้น’ ในดินแดนจิตโลกาก็เทียบเคียงได้กับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ของโลกเทพแห่งนี้
“นอกจากนี้ ตอนนี้ข้าเผชิญกับความขัดแย้งของโลกแห่งนี้ พลังยุทธ์ก็ลดต่ำลงไปอย่างมหาศาลเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “แต่ว่าตอนนี้สังเคราะห์ความลึกลับของกลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ออกมาแล้ว ก็หยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว”
เขาหลับตาลง กระบวนการบำเพ็ญกลยุทธ์กระบี่อันน่าหวาดหวั่นศาสตร์นี้ฉายวาบขึ้นมาในห้วงสมอง
กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้…
สิ่งที่บำเพ็ญก็คือ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ทุกสาย ล้วนคมกริบไร้เทียมทานราวกับอาวุธเทพก็มิปาน! หลังจากที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ขย้อนออกมาคำหนึ่ง ก็มีประกายกระบี่สายหนึ่งลอยออกมา หรือขยับนิ้วสุ่มๆ คราหนึ่งก็มีประกายกระบี่พุ่งออกมา หรือแม้กระทั่ง… ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนในทันที! เพราะว่าทุกบริเวณทั่วทั้งร่างกาย ต่างก็ประกอบขึ้นจากพลังวัตรกระบี่อากาศ
ร่างกายสามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘ร่างกระบี่ห้วงอากาศ’ ร่างกายราวกับอาวุธเทพ รวมตัวและกระจายตัวอย่างไม่ธรรมดา การโจมตีก็แข็งแกร่งอย่างน่าหวาดหวั่น
พลังวัตรกระบี่อากาศนี้ในความเป็นจริงแล้วก็คือเคล็ดการใช้งานพิเศษหลังจากที่ตระหนักรู้ ‘วิถีอากาศ’ แล้ว ทักษะการใช้งานที่แข็งแกร่งก็ย่อมไม่ด้อยไปกว่าสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับเลย
‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ แบ่งออกได้ทั้งหมดหกระดับขั้น เมื่อเข้ามาใหม่ก็เป็นแม่ทัพเทพช่วงต้น
สามขั้นแรกเป็น ‘ขั้นแม่ทัพเทพ’
สามขั้นหลังเป็น ‘ขั้นจ้าวเทพ’
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
“มหาวิถีหนึ่งเดียว”
“ทั่วทั้งวิถีอากาศผสานรวมกันเป็น ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ วิญญาณก็ก็ผสานเข้ากับพลังทุกสาย ตลอดร่างล้วนเป็นพลังวัตรกระบี่อากาศ มันคือพลังการต่อสู้ ทั้งยังเป็นร่างกาย และยังเป็นวิญญาณด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ “ผู้คิดค้นผู้นี้หมายจะอาศัยพลังวัตรกระบี่อากาศนี้ทลายเปิดกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น”
ถึงแม้ว่าจะนับถือ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่รู้สึกว่านี่เป็นวิถีของตน ทางด้านวิถีวิญญาณของเขาไปถึงระดับขั้นสูงยิ่ง ร่างกายและวิญญาณส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงข้อบกพร่องของร่างกายได้อย่างแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น เขามีความก้าวหน้าบนเส้นทางการบำเพ็ญร่างกายอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ก็ย่อมต้องการศึกษาฝึกกายคละถิ่นต่อไป! นี่จึงจะเป็นเส้นทางที่เหมาะสมกับเขา
ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญร่างกายเช่นเดียวกัน
แต่เขากับจักรพรรดิเซี่ยนั้นมีเส้นทางที่แยกจากกัน เพราะการฝึกกายคละถิ่นของพวกเขาสองคนนั้นเดินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าจะนับถือเคล็ดการบำเพ็ญ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ แต่สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือความเร้นลับวิถีอากาศต่างๆ ที่ใช้ได้ในนั้น
“โลกแห่งนี้ไม่เหมือนกันกับโลกกำเนิดสองแห่งที่ข้าเคยมีประสบการณ์มา”
“สิ่งที่ผู้เหินทะยานเหล่านี้เชื่อมั่นก็คือ ‘มหาวิถีมีจุดบกพร่อง’” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ทว่าวิถีขั้นสุดยอดของโลกกำเนิดกลับสมบูรณ์แบบ”
อันหนึ่ง ‘มีจุดบกพร่อง’
ส่วนอีกอันนั้น ‘สมบูรณ์แบบ’
ตงป๋อเสวี่ยอิงไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกได้อย่างรางๆ ว่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกกำเนิดสมบูรณ์แบบมากกว่าจริงๆ แต่โลกแห่งนี้ที่ตนเข้ามาในตอนนี้มี ‘ความรุนแรง’ และ ‘ความอลหม่าน’ ถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้ากว่า แต่ก็ดูเหมือนว่าจะหยาบกระด้างกว่ามาก! ความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากมายต่างก็มีข้อบกพร่อง แต่ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง การบำเพ็ญก็ชี้นำไปสู่ ‘คละถิ่น’ ได้เช่นเดียวกัน
“ช่างเถิด ก็เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่มีประโยชน์ต่อข้าไปก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่คิดอะไรมากอีก แล้วหยั่งรู้กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้โดยละเอียดต่อไป
การหยั่งรู้ในครั้งนี้ดำเนินไปเป็นระยะเวลาครึ่งวัน
ในระหว่างกระบวนการนี้เขาก็ยังอ่านต้นฉบับนี้ถึงสองรอบ จากนั้นก็ไม่อ่านอีกแล้ว! เพราะว่าต้นฉบับนี้ก็มิได้เป็นประโยชน์ต่อเขาแต่อย่างใดเลย ถึงอย่างไรความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้เขียนตำราเล่มนี้เลย
“นี่ก็คือพลังวัตรกระบี่อากาศอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป ปลายนิ้วก็มีประกายกระบี่กึ่งโปร่งแสงเปล่งประกายราวแก้วผลึกสายหนึ่งปรากฏขึ้น ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน เขาก็วิวัฒน์พลังวัตรกระบี่อากาศนี้ไปถึงระดับขั้นที่ห้าแล้ว
“สิ่งที่มีประโยชน์ต่อข้าก็ได้จดจำเอาไว้ในใจหมดแล้ว ต้นฉบับนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าแล้ว ต้องการเพียงแค่กลับไปแล้วบำเพ็ญให้ดีๆ เกรงว่าภายในระยะเวลาสามปีห้าปีก็จะสามารถฟื้นฟูไปถึงระดับขั้นจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นแล้วเปิดประตูศิลาของห้องเงียบออกไป
……
ประตูศิลาเปิดออกเสียงดังลั่น
“ปรมาจารย์หิมะเหินออกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นั้นเดินเข้าไป
“นี่คือต้นฉบับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นไปให้
ยามรักษาการณ์ชุดเขียวรับมาตรวจดูแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินขอรับ ตอนนี้ด้านนอกหอสะสมคัมภีร์คงจะมีผู้คนจำนวนมากพอดูรอคอยปรมาจารย์หิมะเหินอยู่กระมัง คราวนี้ปรมาจารย์หิมะเหินออกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจะเกินกว่าความคาดหมายของพวกเขาแล้วล่ะขอรับ”
“รอข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ
“ในนั้นก็มีจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ด้วยนะขอรับ” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวคราหนึ่ง
จ้าวภูเขาค้างคาวหรือ
ยอดฝีมือที่จัดเป็นสิบอันดับแรกในเมืองจวิ้นซานแห่งนี้ แต่ตนเองผลาญสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนของเขาไปก่อนหน้านี้ไม่นาน! สำหรับผู้ที่หมายจะปลิดชีพตนสามคนนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่มีทางออมมือให้อยู่แล้ว! ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเตรียมการต่อกรกับจ้าวภูเขาค้างคาวเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่น่าเสียดายที่จ้าวภูเขาค้างคาวผู้นั้นมิได้ลงมือ
“ขอบใจมาก ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นใคร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นี้ยิ้มๆ
“ข้าคืออวี้เฟิงเหวินอี้” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูด
“อ้อ ที่แท้แล้วก็เป็นสานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ผู้ที่สามารถรับหน้าที่เป็นยามรักษาการณ์ของสถานที่สำคัญอย่างหอสะสมคัมภีร์ได้ พลังยุทธ์ก็ย่อมไม่อ่อนแออยู่แล้ว
“สานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงหรือ สกุลอวี้เฟิงสืบเชื้อสายมาจนบัดนี้ก็มีคนในตระกูลมากมายยิ่งนัก” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็เป็นเพียงแค่เชื้อสายห่างๆ ของสกุลอวี้เฟิงเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็เพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่ระดับจ้าวเทพช่วงต้นอย่างหมิ่นเหม่ ตรากตรำบำเพ็ญก็ยากที่จะยกระดับได้แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าในภายหน้าจะยังสามารถขอให้ปรมาจารย์หิมะเหินชี้แนะบ้างสักหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาปราดหนึ่ง ยามรักษาการณ์ชุดเขียวกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
“หากมีเวลาก็สามารถแวะมายังที่พักของข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบแล้วก็มุ่งหน้าเดินออกจากตำหนักไป
ถ้าหากก่อนหน้าที่จะศึกษาตำราเล่มนี้ เขาก็ยังไม่กล้าที่จะชี้แนะผู้อื่นอย่างสบายๆ แต่หลังจากที่ศึกษาแล้ว อย่างน้อยเขาก็สามารถชี้แนะทางด้านวิถีอากาศของโลกแห่งนี้ได้บ้าง
ยามรักษาการณ์ชุดเขียวเผยสีหน้ายินดี
เส้นทางการบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้เอง! คิดหาวิธีไขว่คว้าโอกาสใดๆ สักเล็กน้อย พวกเขาต่างก็รู้ว่าผู้เหินทะยานมีความเข้าใจในการบำเพ็ญลึกล้ำเพียงใด สิ่งที่ชี้แนะล้วนมุ่งไปที่สาระสำคัญทั้งสิ้น
“หืม”
หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกไปจากทางเข้าหลักของหอสะสมคัมภีร์แล้ว มองปราดหนึ่งก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจัดกระจายอย่างประปรายอยู่รอบๆ ในบรรดานั้นก็มีชายชราอัปลักษณ์ศีรษะสามเหลี่ยมคนหนึ่งกับบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวคนหนึ่งนั่งประจันหน้ากัน ร่ำสุราสนทนาเฮฮากันอยู่
เพราะว่าเคยค้นหาความทรงจำที่จ้าวเทพคนหนึ่งในบรรดานี้โจมตีตน ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเพียงปราดเดียวก็ย่อมจำได้อยู่แล้วว่าชายชราอัปลักษณ์ศีรษะสามเหลี่ยมผู้นั้นก็คือจ้าวภูเขาค้างคาวนั่นเอง
…………………………………….