“อ้อ จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้พลังยุทธ์เป็นเช่นไร คงจะเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดกระมัง” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยถาม
เขาย่อมมิได้ใส่ใจการต่อสู้ห้ำหั่นของขุมอำนาจมากมายภายในเมืองจวิ้นซานอยู่แล้ว ขอเพียงแค่ยังสามารถคงเสถียรภาพที่ฉากหน้าเอาไว้ได้ ใต้ดินมีการห้ำหั่นกันก็เป็นเรื่องเล็ก นอกจากนี้ อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ยังเชื่อมั่นว่าต้องมีการต่อสู้ห้ำหั่นจึงจะสามารถขัดเกลาผู้แกร่งกล้าออกมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ถ้าหากทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานเต็มไปด้วยความสงบ เกรงว่าจำนวนผู้แกร่งกล้าที่ถือกำเนิดขึ้นมาก้คงจะลดต่ำลงอย่างมหาศาลเสียแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเลย
ผู้แกร่งกล้ายิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะนั่นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งสิ้น! สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็คือระดับขั้น ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ นี้ เพราะว่าถ้าหากระดับขั้นนี้มีจำนวนมากพอแล้ว อย่างเช่นสิบคนร่วมมือกันก็เพียงพอที่จะต่อกรกับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ได้แล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่ผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอย่าง ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ มีอิทธิพลค่อนข้างยิ่งใหญ่ที่เมืองจวิ้นซาน อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ใจกว้างกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้เหินทะยานต่างก็ไม่มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น บำเพ็ญขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็น พลังยุทธ์ก็สูงกว่าระดับเดียวกันอยู่ขั้นหนึ่ง ถ้าหากมีระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด ก็คงจะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้แล้ว ถ้าหากโจรเฒ่าจิตมารมาถึงก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยพึมพำ
“เขามิได้เป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดหรอกขอรับ” อวี้เฟิงเหลยส่ายศีรษะ “พ่อบ้านอวิ๋นเคยใช้ดวงตาทิพย์แสงมรกตตรวจสอบเขามาก่อนแล้วขอรับ”
อวี้เฟิงจวิ้นซานก็มองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น
พ่อบ้านอวิ๋นเอ่ยอย่างเคารพขึ้นในทันใด “นายท่านขอรับ ตอนนั้นข้ากับคุณหนูสามไปพบกับจ้าวเทพหิมะเหินที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ในดินแดนรกร้างระหว่างเดินทางกลับ ตอนนั้นข้าก็สำแดงดวงตาทิพย์แสงมรกตตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของเขา จึงได้พบว่าเขามิได้มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่นแต่อย่างใด
จะต้องเป็นผู้เหินทะยานอย่างแน่นอน! นอกจากนี้เขายังมิได้รวบรวมจิตเทพ หากแต่บำเพ็ญร่างกาย ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาอยู่ที่ระดับจ้าวเทพช่วงต้น นอกจากนี้อาการบาดเจ็บภายในร่างกายยังสาหัสอย่างที่สุด ดูเหมือนจะยากยิ่งที่จะขจัดให้หมดสิ้นไปได้ แต่ต่อมาเขาก็พูดเองว่าแท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เขามีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลาง! แต่เพียงเพราะว่าบาดเจ็บสาหัสเป็นเหตุจึงได้ตกต่ำลง
ถึงอย่างไรเรื่องราวก็ผ่านไปสองปีกว่าแล้ว ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้น แต่เขาจัดการจ้าวเทพสามท่านแห่งภูเขาค้างคาวทิ้งไปได้ ข้าเดาว่าในระยะเวลาสองปีกว่านี้ พลังยุทธ์ของเขาอาจจะฟื้นฟูกลับมาแล้วก็เป็นได้นะขอรับ”
“จ้าวเทพสามท่านที่เขาสังหารนั้นสองคนเป็นจ้าวเทพช่วงต้น ส่วนอีกคนเป็นจ้าวเทพช่วงกลาง จ้าวเทพช่วงกลางท่านนั้นสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง มิได้เหนือธรรมชาติแต่อย่างใดเลย” อวี้เฟิงเหลยพูด
“อ้อ” อวี้เฟิงจวิ้นซานผิดหวังอยู่บ้างแล้วพยักหน้า “ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลาง พลังยุทธ์สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้ ผลาญสังหารจ้าวเทพที่ค่อนข้างอ่อนแอสามคนก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง อ้อ จับตามองให้มากหน่อยก็แล้วกัน!”
ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง
แต่ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลางก็เทียบเคียงได้กับ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ของชาวโลกเทพ แล้ว เกรงว่าพลังยุทธ์จะพอๆ กันกับจ้าวภูเขาค้างคาวเลยทีเดียว ก็นับได้ว่าใต้บังคับบัญชามีแม่ทัพใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เสียดายก็แต่ผู้ที่เขารอคอยมากที่สุดก็คือ ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เท่านั้นเอง
“ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจะคอยจับตามองตลอดเวลาเลยขอรับ” อวี้เฟิงเหลยรับคำ
แต่ไม่ว่าจะเป็นอวี้เฟิงจวิ้นซานหรือว่าอวี้เฟิงเหลย ในใจก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก เพราะว่าการคุกคามของ ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ อยู่ใกล้สายตาเหลือเกิน พวกเขาก็ย่อมไม่มีเวลามาเฝ้าดู ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลาง’ คนหนึ่งค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต่อให้มี ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งจริงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขสมาคมจิตมารผู้น่าหวาดหวั่น เกรงว่าความช่วยเหลือก็คงจะมีขีดจำกัดเป็นอย่างยิ่งกระมัง
“คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา” อวี้เฟิงจวิ้นซานคาดหวังรอคอยอย่างเงียบๆ ฝากความหวังในการมีชีวิตรอดเอาไว้กับขุมอำนาจอื่น ถึงขนาดที่ยอมเสียสละบุตรสาว มิใช่เรื่องที่จะรับได้ง่ายๆ เลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้
เดิมทีความขัดแย้งระหว่างขุมอำนาจมากมายของโลกเทพก็โหดร้ายอยู่แล้ว มีขุมอำนาจมากมายเท่าใดที่ต้องล่มสลายไป อวี้เฟิงจวิ้นซานไม่อยากให้ ‘สกุลอวี้เฟิงแห่งจวิ้นซาน’ กลายเป็นขุมอำนาจต่อไปที่ต้องล่มสลาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่เสียดายเลย
******
“ปรมาจารย์หิมะเหิน”
“ปรมาจารย์หิมะเหิน เชิญขอรับ”
ณ ตระกูลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงแล้วก็พบกับองครักษ์ติดตามจำนวนมากของสกุลอวี้เฟิง บรรดาองครักษ์ติดตามเหล่านี้ต่างก็ร้อนใจหาใดเปรียบ ถึงอย่างไรการข่าวของพวกเขาก็ฉับไวเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งระดับจ้าวเทพก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานแล้ว ตายสิ้นไปถึงสามคนในชั่วครู่เดียวก็ย่อมเป็นเรื่องที่มิอาจปิดบังได้อยู่แล้ว อย่างน้อยเหล่าองครักษ์ติดตา
สกุลอวี้เฟิงก็ดูเหมือนจะรู้กันทั่วว่า ‘ภูเขาค้างคาว’ ประสบเคราะห์หนักอยู่ใต้บังคับบัญชาของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้! แต่ละคนก็ย่อมมิกล้าละเลยจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ นอกจากนี้เดิมทีสถานะของ ‘ผู้เหินทะยาน’ ก็ทำให้ใจคนมากมายหวาดหวั่นอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าผู้เหินทะยานจะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่ทุกคนที่สามารถเหินทะยานมาถึงโลกเทพได้ต่างก็ไม่ธรรมดากันทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “จัดการแมลงตัวน้อยสามตัวนั้นของภูเขาค้างคาวก็ทำให้ชื่อเสียงของข้าโด่งดังขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว”
ราบรื่นไร้ซึ่งการขัดขวางตลอดทาง
มาถึงยังหอสะสมคัมภีร์ของตระกูลอวี้เฟิงอย่างรวดเร็ว
“ปรมาจารย์หิมะเหิน” หอสะสมคัมภีร์ก็ย่อมมียามรักษาการณ์อยู่เช่นกัน เหล่ายามรักษาการณ์ต้อนรับตงป๋อเสวี่ยอิงกันอย่างกระตือรือร้น
“ข้าคงจะมีสิทธิ์เลือกตำราการบำเพ็ญสักเล่มหนึ่งได้กระมัง” ตงป๋อพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“ปรมาจารย์หิมะเหินเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญก็ย่อมมีสิทธิ์อยู่แล้วขอรับ แต่สามารถเลือกได้เพียงแค่ตำราการบำเพ็ญเล่มใดๆ ที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามของหอสะสมคัมภีร์เท่านั้นนะขอรับ” ยามรักษาการณ์เอ่ยอย่างกระตือรือร้น ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญเป็นตำแหน่งที่ว่างจากภาระหน้าที่เป็นอย่างยิ่ง ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์ มีเคล็ดวิชาพิเศษพอสมควร จึงมีคุณสมบัติพอจะถูกเชิญมาเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ทันที
หอสะสมคัมภีร์มีอยู่ทั้งสิ้นหกชั้น
สามชั้นแรกนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเลือกได้อย่างอิสระ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูเล่มแล้วเล่มเล่าอย่างลวกๆ ตำราเหล่ามีเพียงแค่คำอธิบายคร่าวๆ ในหน้าแรกเท่านั้นที่สามารถดูได้ ส่วนหน้าอื่นๆ ที่เหลือนั้นล้วนว่างเปล่าทั้งสิ้น!
……
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาเลือกตำราการบำเพ็ญ ข่าวที่เขามาถึงตระกูลอวี้เฟิงก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ถ้าหากพูดชื่อ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ก็คงมีอิทธิพลแสนธรรมดายิ่ง ทว่าตั้งแต่ภูเขาค้างคาวตกอยู่ในกำมือของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ก็กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานขึ้นมาในทันที ผู้ที่การข่าวฉับไวสักหน่อยต่างก็เข้าใจกันดีว่าพลังยุทธ์ของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ เกรงว่าคงจะมีหวังในการปะทะกับสิบอันดับแรกของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานแล้ว
ต่อให้เข้าไปไม่ได้ก็คงจะใกล้เคียงมากเลยทีเดียว
มิฉะนั้นจ้าวเทพสามท่านจะถูกล้างผลาญอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แล้ว ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ จะยอมอดทนอดกลั้นมาจนถึงตอนนี้ได้หรือ
“เร็วๆๆ รีบไปดูเร็วเข้า
“ก่อนหน้านี้อยากจะสร้างความคุ้นเคยกับจ้าวเทพหิมะเหิน แต่น่าเสียดายที่จ้าวเทพหิมะเหินปลีกวิเวกบำเพ็ญมาโดยตลอด พวกเราก็ไม่กล้าไปรบกวน คราวนี้ก็เป็นโอกาสอันดีในการสร้างความคุ้นเคยแล้ว”
“เฮ้ มาดูเร็วเข้า จ้าวภูเขาค้างคาวมาแล้วล่ะ”
“เป็นจ้าวภูเขาค้างคาวนี่”
ผู้คนมากมายต่างก็มองเห็นชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมผู้หนึ่งมาถึงยังดินแดนชนเผ่าของตระกูลอวี้เฟิงแล้วเช่นกัน เขาก็เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิง จึงไร้ซึ่งการขัดขวางเช่นเดียวกัน
“น่าสนใจแล้วสิ”
“จ้าวเทพหิมะเหินเพิ่งปรากฏตัวได้ไม่นานเท่าใด จ้าวภูเขาค้างคาวก็มาแล้ว”
“ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจยังมีสงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้นะ”
……
ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะอึกทึกวุ่นวาย แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในหอสะสมคัมภีร์กลับพลิกดูตำราเล่มแล้วเล่มเล่าอย่างมีสมาธิยิ่ง สำหรับเขาแล้วการต่อสู้ทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งสิ้น การศึกษากฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา! เขาเข้าใจได้อย่างรางๆ ถึงความหมายในสิ่งที่หยวนทิ้งเอาไว้ให้อย่าง ‘การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน’ ‘การรับรองความเป็นนิรันดร์ของวิถีนั้น’ ‘หนีออกจากการพันธนาการของแหล่งอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ทรงอิทธิพล’ แล้ว
ความเป็นนิรันดร์ของวิถี
ก็เหมือนกับวิถีของเทพจักรวาล สามารถผ่านไปยังโลกกำเนิดที่แตกต่างกันได้
และเห็นได้ชัดว่าโลกที่ตนเข้าไปในคราวนี้มิใช่โลกกำเนิด วิถีของเทพจักรวาลไม่มีทางเคลื่อนที่ผ่านไปได้ เช่นนั้นวิถีของผู้ใดจะสามารถเคลื่อนผ่านไปได้เล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดถึงว่าโลกแห่งนี้เป็นสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านรังสรรค์ขึ้นแล้วก็อดที่จะคาดเดารางๆ มิได้ว่า…‘วิถีของระดับขั้นคละถิ่น’ เท่านั้นจึงจะสามารถเคลื่อนผ่านได้!
“การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ความเร้นลับอันหยาบกระด้างมากมายถูกละเลย ที่เหลืออยู่และสามารถเคลื่อนผ่านแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกันได้ นั่นจึงจะเป็นนิรันดร์ จึงจะเป็นพื้นฐานที่ประกอบเป็นคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการคาดการณ์เช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ให้พลังยุทธ์ฟื้นฟูโดยเร็วที่สุดก่อนแล้วค่อยว่ากัน ฟื้นฟูไปถึงระดับตอนที่อยู่ที่ดินแดนจิตโลกาในตอนแรก
แต่การอาศัยตัวเองบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวนั้นช้าเกินไป! อาศัยประสบการณ์ของผู้แกร่งกล้าในโลกแห่งนี้ร่วมด้วยก็ย่อมรวดเร็วกว่าเป็นอันมาก
“ประชากรของโลกเทพแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการบำเพ็ญสายโลหิตเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชาต่างๆ นั้นสูงส่งกว่าเป็นอันมาก ถึงขนาดที่ยังสามารถบำเพ็ญสิ่งที่เหนือธรรมชาติออกมาได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “เผ่ามรณะทมิฬและกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแห่งหุบเขาเขี้ยวหัก
ถึงแม้ว่าจะมีสายโลหิตคละถิ่นเช่นเดียวกัน แต่นั่นคือผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นสองท่านที่ตกต่ำลงไป เคล็ดวิชาของพวกเขาเป็นสิ่งที่คลำทางกันเอง แต่โลกเทพแห่งนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์สายโลหิตของบรรพเทวะคละถิ่นสามท่านซึ่งยังมีชีวิตอยู่ทีขยายเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน… บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านนั้นคงจะมีการชี้แนะรุ่นหลังของสายโลหิตของตนอยู่บ้างกระมัง”
“แต่ถึงอย่างไรก็มีสายโลหิตเป็นพื้นฐาน การหยั่งรู้วิถีน้อยนิดยิ่งนัก”
“สิ่งที่ข้าต้องการก็ยังเป็นตำราของผู้เหินทะยานอยู่ดี”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
เขาค้นพบตำราของผู้เหินทะยานแล้วสองเล่ม แต่น่าเสียดายที่ต่างก็มิใช่วิถีอากาศ!
ผู้เหินทะยาน ไม่มีสายโลหิตคละถิ่น
วิธีการบำเพ็ญของพวกเขาแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ดึงเอาพลังจากฟ้าดินมาทำให้ตนเองแกร่งกล้าขึ้นเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าไม่ด้อยไปกว่า ‘ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ เลย ถึงอย่างไรเส้นทางที่แตกต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน ก็เหมือนกับ ‘ระบบทิพย์’ และ ‘ศาสตร์โบราณ’ ในท้ายที่สุดแล้วต่างก็ครอบครองวิถีที่เป็นขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น
ผู้เหินทะยานเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้! มีเพียงผู้เหินทะยานส่วนน้อยเท่านั้นที่รวบรวมสายโลหิตประชากรโลกเทพมาทำให้ตนเองแข็งแกร่ง เคล็ดวิชาเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นเคล็ดต้องห้ามที่โลกเทพ! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่ล่วงรู้ตอนที่ตรวจค้นความทรงจำเท่านั้น
“สกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานสะสมตำราเอาไว้มากพอสมควร ตำราผู้เหินทะยานก็มีอยู่หลายสิบศาสตร์ แต่มีวิถีอากาศอยู่เพียงแค่สองศาสตร์เท่านั้น ศาสตร์หนึ่งยังเป็นระดับแม่ทัพเทพ ส่วนอีกศาสตร์หนึ่งเป็นระดับจ้าวเทพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบตำราสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งขึ้นมา บนตำรามีชื่อเคล็ดวิชาหนึ่งอยู่…กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศ
“ไม่ว่าอย่างไร หากสามารถค้นพบสักศาสตร์หนึ่งที่มีประโยชน์ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ควรจะนับได้ว่าสามารถไปถึงระดับจ้าวเทพได้ ใช้การประเมินของผู้บำเพ็ญบ้านเกิด… นี่ก็นับได้ว่าเป็นตำราขั้นสุดยอดศาสตร์หนึ่งแล้ว
อีกทั้งการบำเพ็ญในโลกเทพของสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น และไม่เห็นว่าการบำเพ็ญยากลำบาก อีกทั้งยังจำกัดไว้เพียงแค่ตำราผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพเท่านั้น จึงวางเอาไว้เพียงแค่ชั้นที่สาม
“ปรมาจารย์หิมะเหิน ท่านเลือกได้แล้วหรือขอรับ” ยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงถือตำราสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งเดินมาแล้วก็เอ่ยอย่างกระตือรือร้น
“ใช่แล้ว เล่มนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นออกไป
ยามรักษาการณ์รับมาดูแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปหาต้นฉบับสักหน่อย ปรมาจารย์หิมะเหินสามารถทำได้เพียงแค่อ่านต้นฉบับอยู่ภายในหอสะสมคัมภีร์จนจบแล้วก็ต้องส่งคืนนะขอรับ”
“เข้าใจแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า แต่ในใจของเขากลับคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตำราศาสตร์นี้จะช่วยเปิดหน้าต่างให้เขาได้เข้าใจโลกแห่งนี้ ช่วยประหยัดเวลาให้เขาได้เป็นอย่างมาก
……………………………………