ชั่วขณะที่กระบวนท่าอันสมบูรณ์แบบก่อตัวขึ้นมาในท้ายที่สุดนั้น ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีโลกลวงใบหนึ่งก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
มันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่กลับมีแววอาฆาตแฝงอยู่
ชีวิตชีวาและแววอาฆาตราวกับสองด้านของร่างเดียวกัน พัวพันวึ่งกันและกัน ทำให้ทั้งโลกเจิดจรัสมากยิ่งขึ้น ประหนึ่งมีเกิดก็ต้องมีตาย มีแสงสว่างก็ต้องมีความมืดมิด การพัวพันเช่นนี้ เหมือนกับหลั่งรินทะลุทะลวงไปทั่วทั้งโลกลวง พูดง่ายๆ ก็คือ ‘กฎเกณฑ์การหมุนเวียน’ ของโลกลวงแห่งนี้ มีหัวใจสำคัญก็คือทั้งสองด้านของร่างเดียวกันนี้นั่นเอง
ด้วยหัวใจสำคัญก็คือทั้งสองด้านของร่างเดียวกัน นำการรับรู้ด้านอื่นๆ ของวิถีเขตลวงโลกเทียมหลอมรวมเขาไปในนั้น
ทั้งหมดปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
“โครมมม…” วิญญาณของร่างแยกแต่ละร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนสั่นสะท้านและเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น วิญญาณว่างเปล่าและกระจ่างชัดขึ้น เมื่อสำแดงกระบวนท่าอย่างเดียวกันออกมา ความเร็วกลับเพิ่มขึ้นและมุ่งตรงไปยังแก่นแท้มากยิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านี้ วิญญาณก็เป็นจริงขึ้นด้วย ทั้งยังมุ่งตรงไปยัง ‘การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้’ อีกด้วย
“วิญญาณของข้า”
“แข็งแกร่งนัก”
“เหมือนจะแข็งแกร่งกว่ากายหยาบเสียอีก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมารางๆ ราวกับวิญญาณของตนแข็งแกร่งจนถึงขั้นสามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดของโลกใบนี้ได้ หากโลกใบนี้ไม่ถูกทำลาย วิญญาณของตนก็จะไม่ถูกทำลาย! แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความรู้สึกอันเลือนรางเท่านั้น ยังบกพร่องอีกเล็กน้อย บกพร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฟิ้ว
ทันใดนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีหลับตาอยู่ในจวนหิมะเหินในเมืองจวิ้นซานก็พลันลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาฉายแววลึกล้ำหาใดเปรียบ
เดิมทีปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินและอวี้เฟิงชิงอินที่อยู่อีกด้านหนึ่งรู้สึกตกใจที่จู่ๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หลับตาลงแล้ว พูดอะไรไปก็ไม่สนใจ แต่เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเปิดเปลือกตาขึ้นมา พวกนางทั้งสองคนกลับจมดิ่งเข้าไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ราวกับเป็นดวงตาที่ชวนหลงใหลที่สุดในโลกใบนี้ ทำให้พวกนางทั้งสองยินยอมพร้อมใจถูกล่อลวงให้เข้าไป
“กายหยาบของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั้งร่างกำลังโห่ร้อง วิญญาณหล่อเลี้ยงกายหยาบอย่างไร้รูปร่าง ทำให้กายหยาบสำแดงออกมาได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงบางอย่างของกายหยาบเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจวิญญาณมากยิ่งกว่า!
“วิญญาณของข้า…ความรู้สึกเช่นนี้…” วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดอันแข็งแกร่งของโลกเทพแห่งนี้ ต้นกำเนิดของโลกใบนี้หยาบกว่า ‘โลกกำเนิด’ แต่จำนวนกลับมหาศาลกว่ามากทีเดียว วิญญาณ คือพละกำลังที่พิเศษที่สุดของชีวิตหนึ่งๆ อย่างดินแดนจิตโลกาก็มีการบูชาโลหิต และเค้นเอา ‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ออกมาจากในนั้น หากดูดซับแก่นวิญญาณโลหิตจากวิญญาณที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ผลลัพธ์ก็จะดีกว่าการดูดซับต้นกำเนิดเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าวิญญาณและต้นกำเนิดโลกนั้นเป็นพละกำลังที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่พิเศษกว่าอยู่บ้าง
“ข้าสัมผัสได้ว่าขาดอีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถหลอมรวมเข้าไปในต้นกำเนิดโลกได้แล้ว”
เมื่อหลอมรวมเข้าไป
ต้นกำเนิดโลกไม่แตกสลาย วิญญาณของตนก็ไม่แตกสลายเช่นเดียวกัน
เรื่องนี้น่ากลัวเพียงใด
ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นซึ่งสามารถปกครองโลกกำเนิดใบหนึ่งได้ ก็มิอาจทำลายต้นกำเนิดโลกได้อยู่ดี เนื่องจากหากทำลายต้นกำเนิดโลกไป ทั้งโลกกำเนิดก็จะมลายหายไปหมด!
“ทางสายวิญญาณบรรลุถึงขั้นสุดยอด ก็สามารถไปถึงขั้นนี้ได้เชียวหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
เขาเพิ่งจะรู้แจ้งท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมขึ้นมา
ท่าไม้ตายที่สามนี้ เป็นการนำเอาท่าไม้ตาย‘ ความสว่างไสวของโลกลวง’ และท่าไม้ตายที่สอง ‘การสังหารของโลกลวง’ ก่อนหน้านี้หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ อานุภาพก็เหนือกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้เช่นนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความรู้สึกว่าเข้าใกล้ ‘วิญญาณขั้นสุดยอด’ ขึ้นมาอย่างหาใดเปรียบ บัดนี้ตนสร้างกระบวนท่านี้ขึ้นมา ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น!
“เส้นทางวิญญาณ หากบรรลุถึงขั้นสุดยอด เห็นทีคงจะเหนือกว่าผู้ที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดบนเส้นทางทั่วไปจะสามารถเทียบได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ก็ถูกต้องแล้ว
แก่นแท้ของชีวิตก็คือวิญญาณ!
ความยากของการฝึกฝนเส้นทางวิญญาณ เหนือกว่าเส้นทางอื่นๆ มากมายนัก
……
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลียวมองรอบกาย ภายในโถงตำหนักนี้ อวี้เฟิงชิงอิน ปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินรวมทั้งเหล่านางระบำและนักดนตรีที่กำลังแสดงอยู่ต่างก็ล้มลง
“เห็นทีตอนที่ข้าบรรลุเมื่อครู่ จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาเข้าโดยมิได้ตั้งใจ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ระลอกคลื่นหนึ่งก็กวาดไปทั่วทั้งโถงตำหนัก คนทั้งหมดภายในโถงตำหนักต่างพากันฟื้นคืนสติขึ้นมา พวกเขายังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ยังคงตกใจอยู่บ้าง “ท่านอาจารย์ เหตุใด เหตุใดข้าจึงหลับไปได้เล่า”
“ข้าส่งผลกระทบต่อพวกเจ้าโดยมิได้ตั้งใจ ใช่แล้ว ข้าเตรียมจะเก็บตัวสักระยะหนึ่ง หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่ามารบกวนข้าล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินรับคำ
“อื้ม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วยืดกายขึ้น เขาพยักหน้าน้อยๆ ให้กับปรมาจารย์พิณเหลิ่งซินที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็วแล้วเริ่มเก็บตัวทันที
******
ภายในห้องเงียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสความเปลี่ยนแปลงที่มาจากการรับรู้ครั้งนี้โดยละเอียด อย่างแรกก็คือฝึกกายคละถิ่น เดิมทีจักรพรรดิเทพช่วงกลางยังไม่มั่นคง แค่สามารถคงการต่อสู้ไว้ได้ราวครึ่งค่อนชั่วยามเท่านั้น แต่บัดนี้วิญญาณส่งผลกระทบต่อกายหยาบ ทำให้กายหยาบสมบูรณ์แบบขึ้นมาบ้าง โดยรวมแล้วแข็งแกร่งขึ้นราวห้าส่วน ส่วนสถานะซึ่งเดิมทีไม่เสถียรนั้น แม้บัดนี้จะยังไม่เสถียรดี แต่ความเสียหายต่อร่างกายกลับลดลงเป็นอันมาก แรงฟื้นฟูของร่างกายเองก็เพียงพอที่จะต้านทานได้
ก็หมายความว่าสามารถคงการต่อสู้เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
“ผลกระทบของวิญญาณต่อกายหยาบแค่อยู่บนพื้นฐานของกายหยาบเดิม หากทำให้สมบูรณ์แบบ ก็แค่ยกระดับขึ้นได้ไม่กี่ส่วนเท่านั้นเอง”
“แต่การฝึกกายคละถิ่นของข้า จะต้องวิวัฒน์จากแก่นแท้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่า วิญญาณมีประโยชน์ต่อกายหยาบเพียงแค่ช่วยแต่งแต้มสีสันลงไปเท่านั้น การที่ตนจะฝึกกายหยาบให้บรรลุถึง ‘ร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ไปจนถึงสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ตนก็ยังต้องยกระดับวิถีอากาศขึ้นต่อไป
“อีกนิดเดียว”
“ท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมนี้ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
เนื่องจากสองท่าไม้ตายก่อนหน้านี้ร้ายกาจมากแล้ว
ท่าไม้ตายที่สามก็ยกระดับขึ้นเป็นอย่างมาก! เมื่อพูดจากเรื่องระดับแล้ว ก็ต่างจากกระบวนท่าขั้นสุดยอดไม่มากสักเท่าใดนักแล้ว
แต่ทว่า…
มิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอด! ก็คือมิได้บรรลุ!
‘ขั้นสุดยอด’ เป็นตัวแทนของครบสมบูรณ์!
อย่างตอนที่ตนเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองทางด้านวิถีอากาศ อาศัยเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งก็สามารถสำแดงพลังรบที่เทียบกับขั้นสุดยอดออกมาได้แล้ว กระบวนท่าแข็งแกร่งก็มิได้หมายความว่าระดับขั้นถึงแล้ว
ท่าไม้ตายที่สามนี้ซึมซับความเร้นลับของ ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ ของสิ่งมีชีวิตพันเนตรนั้น ทั้งยังหลอมรวมกันได้สำเร็จ กระบวนท่าแข็งแกร่งพออย่างแท้จริง! แต่ทางด้านระดับขั้นก็ยังบกพร่องอยู่บ้าง
ความบกพร่องเล็กน้อยเหล่านี้…
ก็ทำให้วิญญาณของตนไม่มีทางครบสมบูรณ์ได้!
“ข้าอยากจะให้ศัตรูจมดิ่งมากเกินไป และยังล้างสังหารวิญญาณของศัตรูด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เนื่องจากสิ่งที่ท่าไม้ตายที่สามนี้ต้องการก็คือการหลอมรวมท่าไม้ตายทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน ดังนั้นตอนแรกเขาก็ได้ใช้สองกระบวนท่านี้เป็นสองด้านของร่างเดียวแล้วคิดค้นท่าไม้ตายขึ้นมาได้สำเร็จในที่สุด
“กระบวนท่านี้ของข้าออกจะสุดโต่งเกินไปหน่อย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ที่มาของปัญหาแล้ว
“ท่าไม้ตายที่สี่หลังจากนี้…ก็สามารถชดเชยข้อบกพร่องเหล่านี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ตอนที่ข้าคิดค้นท่าไม้ตายที่สี่ขึ้นมานั้น ก็ควรจะถึงคราวที่วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว! ข้าตั้งตารอคอยจริงๆ!”
******
หลังจากบรรลุแล้วคิดทบทวนดู เพื่อเสริมพลังให้แข็งแกร่ง
เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นานสักเท่าใดนัก ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัว ก็เพราะหลังจากเข้าถึงท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว เขาก็ควรจะจากเมืองจวิ้นซานไปอีกสักครั้งได้แล้ว
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ โบกมือคราหนึ่ง ตรงหน้าก็มีม้วนสาส์นม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
บนม้วนสาส์นมีข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางด้านวิถีอากาศ’ บันทึกเอาไว้โดยละเอียด ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็ได้ใช้งานหอจิตฟ้า อย่างแรกก็คือเก็บรวบรวมคัมภีร์ผู้เหินทะยานทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศ อันที่จริงแล้วเขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มานานแล้ว เพียงแต่รู้สึกมาตลอดว่ายังไม่ถึงเวลาเคลื่อนไหว
“เมืองมังกรเหล็กมีซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศอยู่ร่างหนึ่ง!” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านดูสิ่งที่รายงานบันทึกเอาไว้
ร่างกายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมีกฎเกณฑ์ปรากฏขึ้นมาทุกหนแห่ง
เช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบางตน ทั้งร่างอาจจะมีเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่มีกฎเกณฑ์วิถีอากาศปรากฏขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จึงมีส่วนช่วยตงป๋อเสวี่ยอิงน้อยมาก
ส่วน ‘ทางสายอากาศ’ หมายความว่าสิ่งที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเชี่ยวชาญที่สุดก็คือกระบวนท่าทางสายอากาศ กฎเกณฑ์ปรากฏขึ้นทั่วร่าง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทางสายอากาศทั้งสิ้น ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใฝ่หา เพียงแต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศโดยกำเนิดนั้นมีให้เห็นน้อยมาก
“เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ในโลกใบนี้มีผู้ที่มีพลังรบระดับยอดเคารพมากกว่าสามสิบคน!
เจ้าเมืองมังกรเหล็กจัดเป็นอันดับเจ็ด! เขามีบุตรธิดาห้าคน แต่ละคนล้วนถูกบ่มเพาะจนถึงระดับจักรพรรดิเทพทั้งสิ้น แน่นอนว่ามีเพียงคุณชายใหญ่เท่านั้นที่เป็นจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ขุมอำนาจเจ้าเมืองมังกรเหล็กยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วผู้นั้นอยู่ขุมหนึ่ง
“หากได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายอากาศที่เจ้าเมืองมังกรเหล็กเก็บเอาไว้ร่างนั้นมา ก็จะเป็นประโยชน์ต่อข้ามากมายยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เจ้าเมืองมังกรเหล็กมีแรงคุกคามมากเกินไป เขาก็ไม่เคยคิดจะไปหักหาญเอามา แค่พยายามเจรจาแลกเปลี่ยนก็พอแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็รอให้คิดค้นท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมขึ้นมาได้เสียก่อน จึงวางแผนจะเคลื่อนไหว
………………………………….