ณ ส่วนลึกของความรกร้าง เทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันตั้งตระหง่านมานับล้านล้านปี
แต่ในยามนี้เอง
ทั้งเทือกเขากลับเกิดแรงสั่นสะท้านน้อยๆ เทือกเขามหึมาซึ่งทอดยาวนับล้านลี้แห่งนี้สะท้านสะเทือนไปทุกอณู
“ตู้ม!”
เทือกเขาพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
รัศมีอันสะดุดตาพลันเติมเต็มทั้งเทือกเขา เทือกเขากลายเป็นผุยผงไปจนสิ้นอย่างไร้วี่แวว จากนั้นรัศมีนี้ก็ถูกเก็บงำไปจนสิ้น เผยให้เห็นเงาร่างในอาภรณ์สีเขียวทั้งร่างสายหนึ่งซึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายของเขายิ่งใหญ่จนทำให้ฟ้าดินทั้งหมดสั่นสะท้าน เขาก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอซึ่งเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่มานานแสนนานนั่นเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” เป่ยเหอหัวเราะเสียงดังก้องไปทั่วฟ้า เขาหัวเราะอย่างสุขสราญตามอำเภอใจ
“ในที่สุด ในที่สุด ในที่สุดข้าก็บรรลุถึงขั้นนี้เสียที” นัยน์ตาทั้งคู่ของจักรพรรดิเป่ยเหอเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ในบ้านเกิดของข้า นี่เรียกว่าระดับจักรพรรดิครบสมบูรณ์ หรือเรียกว่าระดับยอดเคารพ! ส่วนที่นี่เรียกว่าจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์! ใช่แล้ว ครบสมบูรณ์ พละกำลังของกายหยาบบรรลุถึงขั้นที่สมบูรณ์แบบที่สุดตามหลักการ พลังสายเลือดสามารถสำแดงได้ถึงขั้นสุดแล้ว”
เป็นขั้นสุดอย่างแท้จริง
คิดจะ ‘ตื่นรู้ขั้นสุดยอด’ ก็ต้องบรรลุขั้นสุดไปให้ได้! กระโดดออกจากกรงขังแล้วสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่เห็นได้ชัดว่าการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนี้ยากกว่าการที่เขา จักรพรรดิเป่ยเหอบรรลุจากระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์มากมายนัก
“สามารถบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ได้ ก็นับว่าบรรลุเป้าหมายที่ข้ามายังโลกใบนี้แล้ว” เป่ยเหอสงบลงมา กลิ่นอายก็ค่อยๆ เก็บงำลงไปภายในจนสิ้น จนไม่เล็ดรอดออกมาภายนอกอีกต่อไป นี่ก็คือจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์! เขามีร่างกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว การควบคุมร่างกายบรรลุถึงขั้นสุดที่ต่ำกว่าระดับคละถิ่นลงมา
“โลกใบนี้ไม่มีส่วนช่วยอะไรต่อข้าอีกต่อไปแล้ว! คงจะได้เวลามุ่งหน้าไปยังโลกใบอื่นเสียที” จักรพรรดิเป่ยเหอก้มหน้าลงมองข้อมือ บนข้อมือมีรอยประทับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นมา “คาดว่าโลกใบใหม่คงจะน่าสนุกกว่าโลกใบนี้”
หยวนจัดเตรียมโลกสามใบนี้เอาไว้
เชื่อว่า ยิ่งเป็นโลกใบหลังๆ ก็ต้องยิ่งร้ายกาจขึ้นจึงจะถูกต้อง!
“ทว่าก่อนหน้าจะจากไป ยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องจัดการ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อถึงคราวคับขัน เขาโผล่มาทำลายธุระของข้า เช่นนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว” นัยน์ตาของจักรพรรดิเป่ยเหอเยียบเย็น “อิงซานเสวี่ยอิง ข้าจากหุบเขาเขี้ยวหักไป เจ้าก็จากไปด้วย เส้นทางการบำเพ็ญของข้า จะปล่อยให้เจ้ามาขัดขวางได้อย่างไรกัน!”
เขาคาดเดาได้ว่า เขาสามารถมุ่งหน้าไปยังโลกอีกสองแห่งได้ คาดว่าอิงซานเสวี่ยอิงก็ทำได้เช่นเดียวกัน! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โลกใบนี้ก็มีประโยชน์ต่อตนไม่มากแล้ว เช่นนั้นก็กำจัดอิงซานเสวี่ยอิงในโลกใบนี้เสียเลยก็แล้วกัน
“ลองดูรายงานของหอจิตฟ้าเสียหน่อย”
“อื้ม อิงซานเสวี่ยอิงก็เก็บเนื้อเก็บตัวเก่งใช้ได้ทีเดียว มาถึงยังโลกใบนี้ ก็อยู่ในเมืองจวิ้นซานนั่นมาโดยตลอด” จักรพรรดิเป่ยเหอยิ้มเย็น เขาได้วางเงินไว้ก่อนแล้ว ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจักรพรรดิเทพหิมะเหิน หอจิตฟ้าก็จะส่งสารแจ้งให้เขาทราบทั้งหมด
“ในเมื่ออยู่ที่เมืองจวิ้นซานมาตลอด…เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวให้ดีๆ แล้ว ไม่เคลื่อนไหวก็แล้วไป แต่หากลงมือขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ต้องสังหารเขาให้ได้ทันที” จักรพรรดิเป่ยเหอไตร่ตรอง “แม้ข้าจะบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์แล้ว แต่จะสังหารเขาเกรงว่าคงจะยังไม่พอ”
เมื่อวิเคราะห์จากรายงาน
พลังด้านวิถีอากาศของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ในฐานะผู้บำเพ็ญด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ พลังก็เพียงพอจะเทียบได้กับระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายได้แล้ว! บวกกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่น…ก็เพียงพอจะต่อสู้กับระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ได้แล้ว
“ต้องหาผู้ช่วยแล้ว” จากนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งแล้วทะยานหายวับไปตรงขอบฟ้าไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
ช่วยไม่ได้ ในโลกใบนี้ จักรพรรดิเป่ยเหอก็ต้องค่อยๆ ทะยานไปอย่างเชื่องช้า!
*******
ตอนที่จักรพรรดิเป่ยเหอยังอ่อนแอก็เคยท่องไปทั่วดินแดนจิตโลกาแล้วไต่ขึ้นมาทีละขั้นๆ ทั้งยังเป็นจักรพรรดิคนหนึ่งที่รุ่งโรจน์ขึ้นมาได้รวดเร็วที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของหุบเขาเขี้ยวหักอีกด้วย! ลูกไม้ของเขาก็ย่อมร้ายกาจกว่ามากเป็นธรรมดา สองหมื่นล้านปีหลังจากเขาบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์…
“สวบ”
เรือบินสีเงินยวงลำหนึ่ง บนเรือบินมีสัตว์ปีกรูปร่างแปลกประหลาดอยู่สามคู่ซึ่งกำลังบินอยู่ท่ามกลางกลีบเมฆด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
บนเรือบิน
กลับมีผู้แกร่งกล้าสามคนทยอยกันนั่งลงแล้วดื่มสุราพลางสนทนากัน
คนทั้งสามนี้ คนหนึ่งย่อมเป็น ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ในอาภรณ์สีเขียว อีกคนหนึ่งคือบุรุษผู้มีเขาเดี่ยวซึ่งมีเสื้อคลุมกันลมสีแดงโลหิตขนาดมหึมา เหนือผิวกายมีเยื่อผิวหนังสีแดงเข้มอยู่ชั้นหนึ่ง ดวงตาทั้งสองก็เป็นสีแดงโลหิต แม้จะเก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ แต่เมื่อแววตามองมาครั้งหนึ่งกลับเพียงพอจะทำให้จักรพรรดิเทพทั่วไปรู้สึกหวาดหวั่นจนใจสะท้าน ส่วนคนสุดท้ายคือชายชราคิ้วเขียวสวมอาภรณ์เขียวคนหนึ่ง
หากให้ผู้แกร่งกล้าภายนอกเห็นคนทั้งสาม จะต้องตะลึงงันไปอย่างแน่นอน
เนื่องจากบุรุษผู้มีเขาเดี่ยวที่มีเสื้อคลุมกันลมสีแดงโลหิต ทั้งร่างมีเยื่อผิวหนังสีแดงเข้มผู้นี้ คือ ‘ประมุขพรรคเงามาร’ ซึ่งจัดเป็นอันดับเก้าของรายนามจักรพรรดิเทพ! อานุภาพมารยิ่งใหญ่นัก! จะทำอะไรก็ไร้ข้อห้าม ระดับอานุภาพคุกคามของเขายังเหนือกว่าเจ้าเมืองมังกรเหล็กซึ่งเป็น ‘อันดับที่เจ็ดของรายนามจักรพรรดิเทพ’ เสียอีก เนื่องจากความเร็วในการเหินทะยานของประมุขพรรคเงามารนั้นจัดเป็นอันดับสองของโลกเทพ ความเร็วในการเหินทะยานอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ เพียงพอจะทำให้เขาเหิมเกริมไปทั่วสารทิศได้แล้ว
ส่วนชายชราคิ้วเขียวสวมอาภรณ์เขียวผู้นั้นก็คือ ‘เจ้าเมืองอูเจ๋อ’ ซึ่งเป็นอันดับที่สิบห้าของรายนามจักรพรรดิเทพ
ผู้ที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามสิบกว่าท่าน สามารถจัดอยู่ในอันดับที่สิบห้าได้…ก็จะเห็นได้ถึงพลังของเจ้าเมืองอูเจ๋อแล้ว!
“เงามาร เจ้าคนที่เรียกตนเองว่าเป่ยเหอนี่ มีคุณสมบัติพอจะร่วมมือกับพวกเราสองคนหรือไม่” ชายชราคิ้วเขียวสวมอาภรณ์เขียวเหลือบมองจักรพรรดิเป่ยเหอแวบหนึ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ประมุขพรรคเงามารหัวเราะเสียงแหลมบาดหู เขากวาดตามองจักรพรรดิเป่ยเหอแวบหนึ่งแล้วพูดพลางยิ้มตาหยี “อูเจ๋อ หากท่านไม่เชื่อข้า ท่านจะลองดูด้วยตนเองก็ได้ ทว่าถึงตอนนั้นหากท่านเสียเปรียบ ก็อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”
“เสียเปรียบรึ” เจ้าเมืองอูเจ๋อตกตะลึง
“ข้าเคยประมือกับพี่เป่ยเหอมาก่อน พลังของเขาไม่ย่อหย่อนไปกว่าข้าเลยสักนิด” ประมุขพรรคเงามารกล่าว
เจ้าเมืองอูเจ๋อฟังมาถึงตรงนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย “จำสิ่งที่พวกท่านสัญญาเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
“วางใจเถิด” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า “เมื่อสังหารจักรพรรดิเทพหิมะเหินนั่นแล้ว สมบัติล้ำค่าทั้งหมดของเขาจะตกเป็นของท่าน หากมูลค่าของสมบัติล้ำค่าไม่ถึงหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นแล้วล่ะก็ ข้าจะชดใช้ให้เอง”
“ดี” เจ้าเมืองอูเจ๋อพยักหน้า
“วางใจเถิด ผู้ที่สามารถทำให้พี่เป่ยเหอระมัดระวังถึงเพียงนี้ได้ จนพวกเราสามคนต้องร่วมมือกันจัดการ…จะต้องมีสมบัติล้ำค่าไม่น้อยแน่ ถึงตอนนั้นจะตกเป็นของท่านทั้งหมด” ประมุขพรรคเงามารยิ้มตาหยี ส่วนเขาได้สิ่งที่ตนต้องการจากจักรพรรดิเป่ยเหอมาก่อนแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้ให้มาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น รอให้งานใหญ่สำเร็จก็ค่อยให้มาอีกครึ่งหนึ่ง
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเขาเป็นใคร พวกเราสามคนร่วมมือกัน ต่อให้สังหารจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ก็ยังมีหวัง” เจ้าเมืองอูเจ๋อมั่นใจเต็มเปี่ยม
ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามคนร่วมมือกัน
พวกเขาล้วนจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่จักรพรรดิเป่ยเหอเลือกสองคนนี้…ก็เพราะสองคนนี้ร่วมมือกับเขาได้สมบูรณ์แบบที่สุด! ระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์สามคนซึ่งร่วมมือกันได้สมบูรณ์แบบที่สุด อานุภาพสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ ผลลัพธ์สามารถเทียบได้กับพวกผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์ที่ร่วมมือกันได้ไม่ค่อยดีถึงเจ็ดแปดคนเลยทีเดียว
“ต้องทำให้สำเร็จในรวดเดียว อิงซานเสวี่ยอิง หากจะโทษใคร ก็ต้องโทษที่เจ้าส่งผลกระทบต่อเส้นทางการบำเพ็ญของข้า” ในใจของจักรพรรดิเป่ยเหอมีแรงอาฆาตลุกโชน เขาไม่อยากจะถูกตงป๋อเสวี่ยอิงกระทบถึงสามโลกต่อเนื่องกัน ถูกกระทบไปเสียทุกโลก เขาเข้าใจดีมากว่า ขอเพียงมีโอกาส…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะสังหารเขาโดยไม่ลังเล
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องขจัดภัยเสียก่อน!
******
เมืองจวิ้นซาน
ภายในเมืองอันเงียบสงบแห่งนี้ นับตั้งแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงปักหลักอยู่ที่นี่ ก็ยิ่งสงบสุขขึ้นไปอีก นับตั้งแต่ประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจไป ก็ไม่มีคลื่นลมใดๆ อีก เพราะถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าซึ่งมี ‘พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ คนหนึ่ง ก็มีแรงคุกคามมากพอตัวทีเดียว
“ฟิ้ววว…
ลมพัดโชย กิ่งไม้โบกสะบัด
“ท่านอาจารย์ นี่คือสุราชั้นเลิศที่กองพ่อค้าของตระกูลข้าเก็บรวบรวมมาจากเมืองอื่น นี่คือสุราที่ข้าชอบที่สุด ท่านอาจารย์ลองชิมดูสิเจ้าตะ” อวี้เฟิงชิงอินรินสุราให้เอง แล้วมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตารอคอย
ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบจอกสุราขึ้นมาแล้วชิมคำหนึ่ง เขารู้สึกวูบวาบคราหนึ่ง สมองก็อื้ออึงไป
“นี่คือสุราอะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบตาคราหนึ่ง
“สบายมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินนัยน์ตาเปล่งประกาย นางเอ่ยว่า “รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นดั่งน้ำแข็งราดลงบนศีรษะก่อน จากนั้นทั้งร่างก็ล่องลอย วิญญาณก็ลอยลิ่ว รสชาติไม่ธรรมดาเลย อย่างน้อยสุรานี้ก็ต้องเป็นขั้นจ้าวเทพจึงจะสามารถดื่มได้ ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ ดื่มแล้ววิญญาณก็จะทนรับไม่ไหว ข้าชอบที่สุดเลยเจ้าค่ะ”
“ชอบหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสูดปาก กายหยาบของเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์สาวมากทีเดียว ต่อให้ดื่มสุรานี้ลงท้องไป ก็รู้สึกเพียงว่าสมองถูกกระทบระลอกหนึ่ง ส่วนความรู้สึกลอยละล่องที่ว่านั้น วิญญาณล่องลอยน่ะหรือ ด้วยความแข็งแกร่งของวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง จะทำให้วิญญาณเขาลอยละล่องนั้นยากเกินไปแล้ว
…………………………………….