บทที่ 1658 เห็นทีว่ารสนิยมของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปอีกแล้ว
“เปิ่นจุนบอกไปแล้ว เปิ่นจุนเบื่อหน่ายเรื่องพวกนั้นแล้วเช่นกัน ยากนักที่จะพบบุคคลที่มีความสามารถด้านนี้เช่นนาง ส่งมอบเรื่องพวกนี้แก่นาง เปิ่นจุนก็จะพักผ่อนอย่างสบายใจได้ เจ้าก็เคยกล่าวไว้มิใช่หรือ นางเฉลียวฉลาดพอ สามารถจัดการเรื่องทุกอย่างนี้ได้?”
มู่เฟิงเงียบไป
ที่แท้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็หน่ายแหนงอำนาจแล้วเช่นกัน ถ้าว่าตามศัพท์สมัยใหม่ที่แม่นางกู้เอ่ยไว้ เช่นนี้คือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเกษียณอายุราชการรับเงินบำนาญแล้วสินะ?
เพ้ย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางแก่! เขาเป็นอมตะ ยืนยงเทียมฟ้าดิน
บางทีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตรากตรำมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้คงจะเหนื่อยแล้วจริงๆ กระมัง คงคิดจะปลดเปลื้องภาระแล้วพักผ่อนบ้างเช่นกัน
แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ค่อยปกติ ทว่าบอกไม่ได้เช่นกันว่าผิดปกติที่ตรงไหน
จู่ๆ สายตาเขาก้หันเหไปที่เรือนผมของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เรือนผมสีเงินนั้นขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ…
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ผมเงินบ้างเป็นครั้งคราวจริงๆ ยามที่เขาฝึกฝนบำเพ็ญก็จะมีผมเงิน แต่ยามปกติเขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นด้วยผมดำ ฉบับผมเงินมีเพียงพวกเขาทั้งสี่ที่เคยเห็น แต่ตอนนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับชอบปล่อยเรือนผมสีเงินนี้ให้แกว่งไปแกว่งมา ซ้ำยังปรากฏให้สาธารณชนเห็นด้วย…
“นายท่าน เส้นผมของท่าน?”
เทพศักดิ์สิทธิ์ยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง “ผมของเปิ่นจุนเป็นอันใด?”
“มันเป็นสีขาวอยู่ตลอด…”
“เปิ่นจุนผมเงินมิใช่หล่อเหลาขึ้นกว่าเดิมหรอกหรือ?” เทพศักดิ์สิทธิ์ดื่มชาอีกคำหนึ่ง ตอบอย่างกำปั้นทุบดินนัก
มู่เฟิงพูดไม่ออกแล้ว เอาเถอะ เห็นทีว่ารสนิยมของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปอีกแล้ว เพียงแต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผมเงินก็หล่อกว่าจริงๆ
อีกทั้งหนนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ฝึกฝนบ่มเพาะอยู่ที่วังมรกตตั้งหลายเดือน ยามที่ออกมาอีกครั้ง ถึงแม้เส้นผมจะเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่วรยุทธ์ก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมจริงๆ! ไม่ต่างจากช่วงที่สมบูรณ์พร้อมเลย…
เทพศักดิ์สิทธิ์ดื่มชาต่อไป มู่เฟิงรายงานเรื่องราวบางอย่างแก่เขา
“นายท่าน คนของเราจับตามองภายในวังหลวงอยู่ตลอด แต่หรงเจียหลัวไม่มีอะไรเลยจริงๆ ขอรับ ทุกวันล้วนทำงานและพักผ่อนตามเวลา หารือเรื่องราชกิจกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง ในวังมีวิญญาณอาฆาตอาละวาดอยู่ระยะหนึ่ง แต่หลังจากแม่นางกู้ไปส่งวิญญาณอยู่ไม่กี่ครั้ง ภายในวังส่วนใหญ่ก็ได้รับการชำระล้างแล้ว ไม่มีเรื่องวิญญาณอาฆาตอาละวาดแพร่ออกมาอีก นอกจากนี้คือจวบจนวันนี้หรงเจียหลัวก็ยังไม่รับนางสนมเลย วังหลังเปลี่ยวร้าง ห้องหับส่วนใหญ่ในวังหลังว่างเปล่า ต่อให้มีผู้อยู่อาศัยก็เป็นสนมชายาของจักรพรรดิในรัชกาลก่อน ยามนี้เป็นไท่เฟยแล้ว ไท่เฟยเหล่านี้ล้วนเก็บเนื้อเก็บตัว สงบเสงี่ยมยิ่งนัก ข้ารับใช้นางกำนัลในวังก็น้อยเช่นกัน จำนวนคนในวังน้อยกว่ารัชสมัยของบิดาเขาครึ่งหนึ่ง จักรพรรดิองค์นี้เป็นจักรพรรดิที่ปรีชาสามารถทำนุบำรุงบ้านเมืองได้ดีคนหนึ่งเลย ในวังไม่พบเห็นไอชั่วร้ายอันใด สายสืบของพวกเราจับตามองเขาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังไม่พบความผิดปกติใด” นี่เป็นเรื่องแรกที่มู่เฟิงกล่าวรายงาน
เทพศักดิ์สิทธิ์หมุนถ้วยชาในมือ “เขาไม่มีสนมชายา แล้วยามราตรีไปอยู่ที่ใด?”
“ตำหนักคุ้มหทัยขอรับ สายสืบของพวกเราทุกคืนหลังจากเห็นเขาเข้านอน จะลอบเฝ้าอยู่นอกประตู ไม่เคยเห็นเขาออกมาเลย ทุกเช้าเขาจะตื่นนอนยามกะห้าตรงเวลาทุกวัน นางกำนัลขันทีล้วนติดตามอยู่ด้วยเสมอ”
“ช่วงหลายชั่วยามนี้ที่เขานอนสายสืบเคยเข้าไปตรวจสอบหรือไม่?”
“เคยตรวจสอบแล้วขอรับ หลับสนิทดี”
เทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไรอีก นัยน์ตาฉายแววใคร่ครวญ
“ด้านเผ่าจิ้งจอกครามก็ไม่เรื่องใหญ่อื่นใดเช่นกันขอรับ เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้หลานเยวี่ยรัชทายาทของเผ่าจิ้งจอกครามที่จัดเตรียมงานวิวาห์อยู่ตลอด แต่เจ้าสาวกลับหลบหนีไปเมื่อคืนนี้ เผ่าจิ้งจอกครามกำลังส่งคนออกค้นหานางทั่วสารทิศ ผ่านมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังไม่มีข่าวของนางเลยขอรับ”
เทพศักดิ์สิทธิ์วางถ้วยชาในมือลง ผ่านไปสักพักจู่ๆ ก็ยิ้มแวบหนึ่ง “นึกไม่ถึงว่านางจะมีความใจกล้าเช่นนี้ด้วย”
มู่เฟิงก็พยักหน้าเช่นกัน “ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงเช่นกันขอรับ นางขี้ขลาดยิ่งนักมาตลอด ตัวคนก็ว่านอนสอนง่าย” พลางเอ่ยอย่างทอดถอนใจอีกประโยคหนึ่ง “นางยังละวางเยี่ยนเฉินไม่ได้จริงๆ ยิ่งใกล้ถึงวันวิวาห์ก็ยิ่งหวาดกลัว ท้ายที่สุดแล้วต้องเสียค่าตอบแทนมากแค่ไหนก็ยอม! เมื่อชมชอบคนผู้หนึ่งอย่างแท้จริงไหนเลยจะปล่อยวางได้ง่ายดายปานนั้น…”
————————————————————————
บทที่ 1659 เขารู้สึกถูกโจมตีจุดสำคัญหมื่นจุด!
ไม่เหมือนนายท่าน บอกว่าปล่อยวางก็ปล่อยวางเลย ช่างง่ายดายเหลือเกิน! ช่างโหดร้ายเหลือเกิน!
แน่นอนว่าไม่กี่ประโยคด้านหลังมู่เฟิงไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่พูดอยู่ในใจเบาๆ
เทพศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเคยชอบใครสักคนจริงๆ หรือไม่?”
มู่เฟิงนิ่งอึ้ง เขารู้สึกถูกโจมตีจุดสำคัญหมื่นจุด!
เทพศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้นมองรอบด้าน เขาอยู่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้มานับหลายสิบปี บัดนี้คงถึงเวลาที่จะปิดประตูได้แล้ว
“มู่เฟิง อีกไม่กี่วันปลดระวางคนเหล่านั้นในจวนทูตสวรรค์ได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป”
มู่เฟิงกล่าว “…ขอรับ!”
เทพศักดิ์สิทธิ์หันกายเดินจากไป มู่เฟิงมองไปรอบด้าน จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ทุกครั้งที่เทพศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งตัวตนหนึ่ง ก็จะละทิ้งสิ่งของทั้งหมดที่ตัวตนนั้นเป็นเจ้าของ อย่างเช่นจวน ข้ารับใช้ มิตรสหายและอื่นๆ
ในที่สุดก็ถึงเวลาละทิ้งจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้แล้ว…
อันที่จริงหลายวันมานี้คนในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีไม่มาก คนส่วนมากในหมู่คนเหล่านั้นถูกเจ้าตัวปลอมทำร้ายจนดับดิ้นไปแล้ว คนที่เหลืออยู่มีไม่ถึงหนึ่งส่วนจากห้าส่วน หลังตี้ฝูอีกลับมาจากเขตหวงห้ามก็วิ่งเต้นไปทั่ว เวลาอาศัยที่จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีจำกัด ดังนั้นจึงไม่ได้จ้างคนเพิ่มอีก
เดิมทีมู่เฟิงวางแผนรอให้นายท่านปักหลักมั่นคงเสียก่อนค่อยจัดการจ้างคน ยามนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว คนที่เหลือเหล่านี้ก็ต้องปลดระวาง…
…
เมื่อเทียบกับจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอันโดดเดี่ยวเวิ้งว้าง หลายวันมานี้ จวนทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินของกู้ซีจิ่วกลับครึกครื้นยิ่งนัก
ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความยินดีกับเธอไม่ขาดสาย
กู้ซีจิ่วมีเวลาก็มาพบปะพวกเขา ไม่มีเวลาก็ผลักไสไป
วันถัดมาหลังจากที่เธอทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ ก็ได้รับข่าวหนึ่งมา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยื่นหนังสือลาออกต่อองค์จักรพรรดิ ขอลาออกจากตำแหน่งทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ฝ่าบาทและเหล่าขุนนางข้าราชบริพารทำอย่างไรก็รั้งไว้ไม่อยู่…
ตอนที่ได้รับข่าวสารนี้ กู้ซีจิ่วกำลังร่ำสุรากับเหล่ามิตรสหาย เธอยกจอกสุราขึ้นเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
เนื่องจากการทรยศหักหลังของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต่อกู้ซีจิ่ว ผองเพื่อนของกู้ซีจิ่วเหล่านั้นต่างเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกู้ซีจิ่ว หลังจากได้ยินข่าวนี้ ทุกคนล้วนปรบมือโห่ร้องดีใจ พูดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีต้องริษยาที่นางแข็งแกร่งเหลือเกินในตอนนี้เป็นแน่ และบดบังความสามารถของเขา ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้
“ซีจิ่ว ยามนี้เทพศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญเจ้า เขาต้องริษยาเป็นแน่”
“ริษยาแล้วอย่างไร? เดิมทีโลกใบนี้ก็มีคนรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่คนเก่า เขาก็ควรสละตำแหน่งให้คนที่ดีกว่าขึ้นมา”
“ซีจิ่ว เจ้าต้องพยายามให้มาก แสดงออกมาให้เขาได้เห็น! ทำให้เขาเห็นว่าเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ถึงขั้นที่ดียิ่งกว่าเขา!”
ผู้คนมากมายกำลังหัวเราะ พูดคุย ยินดี ทุกคนต่างรู้สึกว่าที่เขาถูกแทนที่เป็นการลงโทษของสวรรค์ต่อคนทรยศ…
หลังจากกู้ซีจิ่วเหม่อลอยไปสักพัก ก็ยกมือขึ้นดื่มสุราจอกหนึ่ง กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “บางทีเขาอาจไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย…
ดูเหมือนเขาตัดสินใจละทิ้งตัวตนตี้ฝูอีนี้แล้วจริงๆ…
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตี้ฝูอี เขาล้วนไม่ต้องการมันอีกต่อไป อำนาจ ตำแหน่ง หรือแม้กระทั่ง…ความรัก
เขาเป็นเหมือนตัวแสดงหลักระดับจักรพรรดิสวรรค์ ทว่าตี้ฝูอีก็แค่บทบาทหนึ่งที่เขาแสดง อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ของบทบาทนั้นก็สิ้นสุดลงเมื่อบทละครจบลง เขาถอนตัวอย่างสง่างาม ไม่อาลัยอาวรณ์ต่อบทบาทนี้อีกต่อไป แต่เธอ คนที่เธอรักก็เป็นเพียงแค่บทบาทหนึ่งในละคร…
เมื่อละทิ้งตัวตนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้แล้ว ต่อไปเขาจะเป็นใครอีก?
คงยังแสดงเป็นอีกคนหนึ่งกระมัง?
เพียงแต่คนผู้นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป…
เธอจำได้มู่เฟิงเคยบอกว่า ทุกครั้งที่เทพศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งตัวตนหนึ่งก็จะเปลี่ยนเป็นอีกตัวตนหนึ่ง ทว่าเมื่อเปลี่ยนตัวตนใหม่แล้ว นอกจากพวกเขาสี่ทูต ก็จะไม่มีทางคบหากับมิตรสหายเก่าคนอื่นอีก…
เธอยกสุราที่เย็นชืดแล้วดื่มจนหมด ในขณะที่กำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่เอวก็ส่องสว่างขึ้นมา
เธอหยิบมันขึ้นมาเดินไปรับสายในที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ใบหน้าพลันถอดสีหลังจากเพิ่งได้ยินถ้อยคำไม่กี่ประโยค!
———————————————————————–