ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1704+1705

บทที่ 1704+1705

บทที่ 1704 ข้าหักใจปฏิเสธเจ้าไม่ลงอยู่แล้ว

โม่เจ้ายิ้มแล้ว “จะบอกว่าล่อลวงก็ไม่ได้หรอก เป็นเขายินยอมพร้อมใจเอง ข้ารับปากกับเขาว่าจะรักษาสตินึกคิดของเขาเอาไว้ ถ่ายทอดความสามารถทั้งหมดของข้าเข้าไปในร่างเขา เขาดีต่อข้า ข้าย่อมไม่ฉ้อฉลเขาจริงๆ ดังนั้นยามนี้ข้าก็คือเขา เขาก็คือข้า…”

กู้ซีจิ่วยกมุมปากขึ้น “ที่เจ้ารักษาไว้มิใช่สติของเขา แต่เป็นความทรงจำกระมัง?! เจ้ากลืนกินดวงวิญญาณของเขาไปแล้วสินะ?”

โม่เจ้าถูจมูก “บอกได้เพียงว่ายามนี้ข้ากับเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว คำว่ากลืนกินนี้ออกจะระคายหูอยู่บ้าง”

นัยน์ตากู้ซีจิ่วมีแววเศร้าสลดพาดผ่าน เข้าใจเหตุผลหลักที่โม่เจ้าสามารถสิงร่างของหรงเจียหลัวได้แล้ว

อย่างไรเสียหรงเช่อที่เป็นอวตารของโม่เจ้าก็คลุกคลีตีโมงกับหรงเจียหลัวมาเนิ่นนานปานนั้น เข้าใจนิสัยใจคอของเขาอย่างลึกซึ้ง และจับจุดอ่อนในอุปนิสัยของหรงเจียหลัวได้ง่ายดายยิ่ง และนำมาให้กับเขา

ผนวกกับถึงอย่างไรในอดีตหรงเช่อกับหรงเจียหลัวก้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน มีสายเลือดเดียวกัน เขาสิงร่างของหรงเช่อมานานเนิ่นนานแล้ว ย่อมปรับตัวให้เข้ากับสายเลือดสกุลหรงได้แล้ว เมื่อเข้าสิงร่างของหรงเจียหลัวอีกครั้งจึงบรรลุผลลัพธ์อย่างง่ายดายด้วยการลงแรงเพียงครึ่งเดียว

อย่างไรเสียหรงเจียหลัวก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น จะสามารถต่อกรกับโม่เจ้าที่ฝึกฝนบ่มเพาะมาหลายพันปีแล้วได้อย่างไรกัน? เมื่อถูกเขาสิงร่าง ดวงวิญญาณก็มีแต่จะถูกเขากลืนกินเท่านั้น…

เห็นทีว่าหรงเจียหลัวคงหวนกลับมาไม่ได้แล้ว! เขากลายเป็นโม่เจ้าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

หัวใจใช่ว่าจะไม่โศกเศร้าเลย ถึงอย่างไรหรงเจียหลัวก็ดีต่อเธอยิ่งนักเสมอมา

หากว่าไม่มีโม่เจ้า หรงเจียหลัวไหนเลยจะมิใช่จักรพรรดิที่เลิศล้ำพระองค์หนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจระบือนามไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็ได้

แต่เขาช่างอาภัพนักที่ได้ประสบพบพานโม่เจ้า อันที่จริงแล้วชั่วชีวิตของเขาล้วนถูกควบคุมไว้ในกำมือของโม่เจ้ามาโดยตลอด…

เดิมทีกู้ซีจิ่วยังมีห่วงให้พะวงอยู่ ทว่ายามนี้กลับไม่มีอันใดให้ห่วงพะวงแล้ว!

สายตาเธอร่อนลงบนร่างโม่เจ้า “ข้ามีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่กระจ่าง”

“ว่ามาเถิด ข้าหักใจปฏิเสธเจ้าไม่ลงอยู่แล้ว”

“ในวังโลหิตแห่งนั้น ที่จู่ๆ เจ้าก็พูดว่า ‘ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า’ หมายความว่าอย่างไร?” กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่ามีความนัยแฝงอยู่ในวาจานี้ของเขา

โม่เจ้าแย้มยิ้ม เอ่ยถามเธอ “ซีจิ่ว เจ้าเป็นวิชาโหราศาสตร์หรือไม่?”

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วทันที นี่เกี่ยวอะไรกับโหราศาสตร์?

จู่ๆ เธอก็นึกถึงอดีตที่ตี้ฝูอีเคยพาเธอไปดูผังดวงดาว ได้เห็นดาวใหญ่ดวงนั้นที่เป็นตัวแทนของตี้ฝูอี และได้พบดวงดาวที่สื่อถึงตนเช่นกัน ทว่ายามนั้นตี้ฝูอีกลับไม่พูดอะไรมากนัก

ตอนนั้นเธอนึกว่าตนไม่มีความสำคัญอะไร ดังนั้นต่อให้ปรากฏขึ้นบนฝังดวงดาวก็เพราะบังเอิญมีความสัมพันธ์กับตี้ฝูอีเท่านั้น จึงไม่ได้ซักไซ้ถามไถ่ลงลึกอีก

ยามนี้จู่ๆ โม่เจ้าก็เอ่ยถามเธอเช่นนี้ ปัญญาอันเฉียบแหลมของเธอพลันเคลื่อนไหว หรือว่าโม่เจ้าจะมองเธอออกจากผังดวงดาว?

ตำแหน่งของเธอในยามนี้ ในผังดวงดาวน่าจะค่อนข้างพิเศษกระมัง!

การดูผังโหราศาสตร์ที่แท้จริงจะต้องดูในสถานที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น บนท้องฟ้าทั่วไปไม่อาจบ่งบอกอันใดได้

เธอจึงย้อนถามประโยคหนึ่ง “ดูเป็นแล้วอย่างไร? ดูไม่เป็นแล้วอย่างไร?”

โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ มองดูเธอ คล้ายต้องการจะมองหาบางสิ่งจากท่าทีของเธอ

ถึงแม้นางจะปกปิดไว้อย่างดียิ่ง แต่ดูจากคำถามประโยคนี้ของนาง นางน่าจะยังไม่รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของตน…

น่าสนใจ!

ในสถานการณ์ปกติ ดาวราชันดวงเก่าจะต้องคอยพิทักษ์ดาวราชันดวงใหม่ แต่ก็เป็นเพียงหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างหนึ่งเท่านั้น เพียงคอยคุ้มครองในช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น รอจนดาวราชันดวงใหม่เติบใหญ่ขึ้นมาแล้วค่อยสั่งสอนทักษะบางอย่างให้แก่อีกฝ่าย โดยเฉพาะทักษะในการบริหารจัดการโลกใบนี้

เนื่องจากเป็นผู้สืบทอดของตน ดาวราชันดวงเก่าจึงไม่มีทางปกป้องประคองดาวราชันองค์ใหม่ไว้กลางฝ่ามือเด็ดขาด และยิ่งจะไม่ฝ่าฝืนสวรรค์หลายครั้งเพื่อนางด้วย

แต่เมื่อมองจากผังโหราศาสตร์ เห็นได้ชัดว่าดาวราชันดวงเก่าทำสิ่งต่างๆ เพื่อนางไม่น้อย เกินกว่าขอบเขตทั่วไปที่ดาวราชันดวงเก่าดูแลดาวราชันดวงใหม่ไปมากมายแล้ว

————————————————————————————-

บทที่ 1705

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ดาวราชันดวงเก่าสมควรจะถ่ายทอดศาสตร์โหราพยากรณ์แก่ดาวราชันดวงใหม่ได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้ถ่ายทอดให้ นางยังคงไม่รู้อะไรเลย

ชัดเจนยิ่งนักว่าดาวราชันดวงเก่าไม่อยากให้นางทราบความจริงเรื่องการสืบทอดจากดาวราชันดวงเก่าสู่ดาวราชันดวงใหม่ กลับพิทักษ์คุ้มครองนางไว้อย่างดีเหนือธรรมดา

เมื่อปรากฏสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดาวราชันดวงเก่ากับดาวราชันดวงใหม่เป็นคู่รักกัน ดาวราชันดวงเก่าไม่อยากให้ดาวราชันดวงใหม่เสียใจเกินไปดังนั้นจึงไม่บอกความจริงที่ว่าเขาต้องร่วงหล่นจากท้องนภา…

ไม่แน่ว่าเขาอาจหาข้ออ้างใดมาแตกหักเลิกรากับดาวราชันดวงใหม่ก่อนที่ตัวเขาจะร่วงหล่นไป แสร้งทรยศหักหลัง ให้ดาวราชันดวงใหม่ตัดใจจากเขาอย่างสมบูรณ์ ไม่ไยดีความเป็นความตายของเขาอีก

ส่วนเขาก็จะแสร้งหายตัวไปอีกครั้ง ถึงอย่างไรการที่เขาหายหน้าไปหลายปี ถึงขั้นหลายสิบปีก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว หากว่าดาวราชันดวงเก่าจัดการได้เหมาะสมเรียบร้อย หลังจากเขาร่วงหล่นไป ก็ให้ลูกน้องสวมรอยเป็นเขา นานทีปีหนก็โผล่หน้าออกมาสักครั้ง ให้ผู้คนในแผ่นดินเห็นว่าเขายังอยู่ บางทีดาวราชันดวงใหม่อาจจะไม่ทราบไปชั่วนิรันดร์ว่าดาวราชันดวงเก่าร่วงหล่นไปแล้ว…

และหลังจากดาวราชันดวงใหม่ช้ำรัก ก็จะไม่สอบถามถึงเรื่องราวทุกอย่างของดาวราชันดวงเก่าอีกต่อไป เช่นนั้นนางก็จะไม่ทราบความจริงที่ว่าดาวราชันดวงเก่าร่วงหล่นไปแล้วตลอดกาล

และกู้ซีจิ่วที่เป็นดาวราชันดวงใหม่นี้ก็มีความเกี่ยวข้องพัวพันกับตี้ฝูอี ตี้ฝูอีปกป้องคุ้มครองกู้ซีจิ่วก็ปกติยิ่งนัก แต่เทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรจะปกป้องคุ้มครองนางถึงเพียงนี้ นอกเสียจากว่า…นอกเสียจากว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คือตี้ฝูอี! และบางทีตี้ฝูอีก็คืออวตารของเทพศักดิ์สิทธิ์…

เมื่อนึกถึงข้อนี้ ข้อสงสัยทั้งหมดในใจของโม่เจ้าล้วนแจ่มแจ้งขึ้นมาในทันที!

ซ้ำเขายังทราบเรื่องที่กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีเลิกรากันแล้วด้วย

ยามนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสองคนนั้นรักใคร่กันปานนั้น ต่างฝ่ายต่างสามารถตายแทนอีกฝ่ายได้ แล้วก้าวมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร?

ตอนนี้กลับเข้าใจหมดทุกอย่าแล้ว!

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

ตี้ฝูอีช่างทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยแท้!

เขามองกู้ซีจิ่วแล้วถามอีกประโยค “ตี้ฝูอีก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?”

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันเต้นแรง ทว่าสีหน้ายังคงราบเรียบ “เจ้าพูดเหลวไหลอันใด?!” ที่แท้ไอ้สารเลวนี้อาศัยสิ่งใดในการอนุมานกัน?!

โม่เจ้าหลุบตาลง หัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง ไม่มีแผนการจะแถลงไขให้แก่กู้ซีจิ่ว เพียงถอนหายใจอย่างสำนึกเสียใจยิ่งนักคราหนึ่ง “ถ้ารู้แต่แรกว่าเขาคือเขา ตอนที่อยู่ในตำหนักใต้ลาวาข้าน่าสังหารเขาให้สิ้นซากไปเสีย!”

เสียใจภายหลังเหลือเกิน!

ในใจของโม่เจ้าสำนึกเสียใจจนแทบจะร้องด่าถึงมารดาแล้ว!

ไม่นึกเลยว่าเมื่อก่อนเทพศักดิ์สิทธิ์เคยตกอยู่ในกำมือเขามาแล้ว แต่เขากลับปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ง่ายๆ!

สายตาที่โม่เจ้ามองกู้ซีจิ่วมีแววเห็นใจวาบผ่านแวบหนึ่ง หากว่านางทราบความจริงจะเป็นเช่นใดกัน?

จะแตกสลายหรือไม่?

ไม่สิ ตี้ฝูอียังมีชีวิตอยู่ ยังไม่อาจให้นางทราบความจริงล่วงหน้าได้

รอจนตี้ฝูอีล่วงลับไปแล้ว เขาค่อยเอาความจริงมาเปิดเผยต่อหน้านางอย่างโหดเหี้ยม ท่าทีที่นางแสดงออกมาในยามนั้นคงน่าสนใจยิ่งนัก!

เช่นนี้จะได้ทำให้ความพากเพียรอุตสาหะทั้งหมดของตี้ฝูอีกลายเป็นเสียเปล่าไป และนับว่าได้ล้างแค้นที่ถูกเขากดไว้จนโงหัวไม่ขึ้นมาเนิ่นนานหลายปี

ฮ่าๆ! น่าสนใจ! นี่ช่างเป็นความคิดที่น่าสนใจโดยแท้!

ความคิดอันบ้าคลั่งผุดขึ้นในใจของโม่เจ้าทีอย่างละอย่างๆ และไม่คิดจะสังหารกู้ซีจิ่วแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในยามนี้ เขาจะรอชมสีหน้าในยามที่นางได้รู้ความจริง…

เดิมทีเขามีใจคิดสังหารกู้ซีจิ่วแล้ว ยามนี้ความคิดสังหารนั้นเจือจางลงแล้ว

ไม่เป็นไร เขาจะรอให้ดาวราชันดวงเก่าร่วงหล่นไปก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหวอีกครั้ง!

ขอเพียงหลานไว่หูยังมีชีวิตอยู่ ก็สามารถถูกเขาช่วงชิงเอาโลหิตจากหัวใจมาได้อีก ส่วนน้ำตานางเงือกเขาก็มีกักตุนไว้แล้ว…

หลายวันมานี้ถึงแม้เขาจะถูกกู้ซีจิ่วไล่ตามจนวิ่งพล่านไปทั่ว ส่วนใหญ่เป็นเพราะกู้ซีจิ่วเป็นเลิศในทักษะการหนีเอาชีวิตรอด และเป็นเลิศในทักษะการก่อกวน ส่วนเขาก็แค่อยากหาสถานที่เงียบสงบปลอดการรบกวนเพื่อฝึกฝนโคจรพลังยุทธ์เท่านั้น ดังนั้นถึงได้กลายเป็นฝ่ายถูกไล่ล่าอยู่เช่นนี้

————————————————————————————-

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

Status: Ongoing
   เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท