ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1732+1733

บทที่ 1732+1733

บทที่ 1732 นางที่เขาเอ่ยออกมานี้สื่อถึงผู้ใด?

ยามที่เขาพูดคุยกับสังขารนั้น น้ำเสียงก็กดให้แผ่วยิ่งนัก ในสถานที่ที่เสียงดังจอแจเช่นนี้คนนอกไม่มีทางได้ยินเลย แต่กู้ซีจิ่วกลับได้ยิน ซ้ำยังได้ยินอย่างแจ่มแจ้งเป็นพิเศษด้วย

ยามนี้กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนรูปสลักเทพธิดาองค์นั้น เวลาที่ตี้ฝูอีมองดูรูปสลักเทพธิดา กู้ซีจิ่วแทบจะมีความรู้สึกหลอนประการหนึ่ง รู้สึกว่าเขามองเห็นเธอได้…

เธอตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ตัดสินใจลอยออกมาทันที

แล้วมองดูตี้ฝูอีอีกครั้ง สายตาเขายังคงอยู่ที่ร่างของรูปสลักเทพธิดา สายตาไม่ได้หันเหตามเธอมาเลย

น่าจะมองไม่เห็นกระมัง?

กู้ซีจิ่วก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าโล่งใจหรือว่าผิดหวังเล็กน้อย

ตอนนี้เมื่อเธอมองเขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องหมองใจ ดังนั้นจึงไม่อยากมองเขามากนัก

เพียงแต่ในใจมีความรู้สึกแปลกพิกลอย่างหนึ่ง ตี้ฝูอีสลักรูปสลักเทพธิดาของเธอไว้ที่นี่ ยามนี้กอดสังขารนั้นไว้แล้วถามว่าเหมือนหรือไม่ เช่นนั้นยามที่เขาโอบกอดร่างนี้ หรือว่าผู้ที่นึกถึงจะเป็นตัวเธอกู้ซีจิ่ว? ไม่ใช่หลานจิ้งเคอ?

เธอวนรอบรูปสลักนั้นอีกรอบหนึ่ง ยามที่หันไปมองตี้ฝูอีอีกครั้ง พบว่าเขากำลังมองรูปสลักเทพธิดาอย่างใจลอยอยู่

และเบื้องหน้าเขาก็มีกำไลข้อมือเจ็ดสีวงหนึ่งลอยอยู่ กำไลวงนั้นเปล่งแสงกะพริบวิบวับ คล้ายว่าจะสื่อสารกับตี้ฝูอีอยู่

เสี่ยวชาง! หยกนภา!

ตี้ฝูอีกับหยกนภาคุยอะไรกันอยู่?

กู้ซีจิ่วเขยิบเข้าไปใกล้ๆ แต่หนึ่งคนหนึ่งกำไลคู่นั้นสื่อสารกันด้วยกระแสจิต ต่อให้เธอเข้าใกล้กว่านี้ก็ไม่ได้ยินอยู่ดี

เนื่องจากอยู่ใกล้ตี้ฝูอีเกินไป จึงได้กลิ่นหอมเย็นที่เป็นเอกลักษณ์จากร่างเขาอีกครั้ง ทำให้หัวใจเธอพลันหนึบชา ถอยห่างออกมาอีกครั้ง

เธอมองดูหยกนภาอีกหน ไอ้ตัวบัดซบนี่ ยังบอกอยู่เลยว่าเธอคือเจ้านายผุ้กุมชะตาของมัน ตอนนี้เธออยู่ใกล้มันขนาดนี้ มันยังสัมผัสถึงเธอไม่ได้เลย…

เธออดใจไม่ไหวจึงมองตี้ฝูอีอีกครั้ง คล้ายตี้ฝูอีจะใจลอยอยู่ นัยน์สีนิลคู่นั้นฉายแววหม่นหมอง

เขาถอนหายใจแผ่วๆ “อันที่จริง…ข้าอยากพบนางาอีกครั้งยิ่งนัก แม้จะได้พบหน้ากันเพียงแวบเดียว ขอเพียงได้เห็นว่านางสุขสบายดี ข้าก็วางใจแล้ว…น่าเสียดาย ที่ไม่อาจทำได้อีกแล้ว”

น้ำเสียงของเขาแหบทุ้มอย่างยิ่ง แฝงความโศกตรมอย่างเต็มเปี่ยมเอาไว้

กู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านข้างหัวใจดั่งจมดิ่งลงในน้ำ ข้อสงสัยประการหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวใจ นางที่เขาเอ่ยออกมานี้สื่อถึงผู้ใด?

เหตุใดต้องพูดว่า ‘ไม่อาจทำได้อีกแล้ว?’

หยกนภากำลังสื่อสารกับตี้ฝูอีอยู่จริงๆ วิธีสร้างศาลระลึกถึงคุณความดีนี้ก็เป็นหยกนภาที่ออกความเห็น บอกว่าถ้าใช้วิธีนี้จะทำให้กู้ซีจิ่วฟื้นคืนชีพได้เร็วขึ้นอีกหน่อย

เดิมทีรูปสลักที่อยู่ด้านในหาช่างฝีมือสักคนมาแกะสลักเอาก็ได้ แต่ตี้ฝูอียืนกรานว่าจะลงแรงทำเอง แกะสลักรูปสลักจำนวนแปดสิบเอ็ดตนภายในระยะเวลาครึ่งเดือน ให้คนก่อสร้างศาลบูชาแปดสิบเอ็ดแห่งขึ้นทั่วแผ่นดิน…

แน่นอนว่าการก่อสร้างและเลือกเฟ้นสถานที่ตั้งของศาลบูชานี้ล้วนพิถีพิถันเป็นพิเศษ

ด้วยจำนวนที่มากมายถึงเพียงนี้ โชคดีที่เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บัญชาให้สร้าง มิเช่นนั้นระยะเวลาเพียงครึ่งเดือนไม่ว่าอย่างไรก็คงปลูกสร้างไม่แล้วเสร็จ

ครึ่งเดือนมานี้ตี้ฝูอียุ่งยิ่งนัก หยกนภายังไม่เคยเห็นเขาพักผ่อนเลย!

รูปสลักไม้ที่ตี้ฝูอีลงมือสลักด้วยตัวเองย่อมเปี่ยมด้วยพลังวิญญาณ หลังจากตั้งไว้ในศาลบูชาก็ทำให้เหล่าผู้ศรัทธาทั้งหมดแห่แหนกันมาสักการะอย่างตื่นตาตื่นใจ ควันธูปที่จุดย่อมจุดอย่างศรัทธาจริงใจอย่างยิ่ง สร้างเสร็จหนึ่งแห่ง ควันธูปก็เฟื่องฟูขึ้นหนึ่งแห่ง

หยกนภาบอกว่าหลังจากควันธูปอบอวลเฟื่องฟูแล้ว ให้พาร่างเดิมของนางไปเดินเล่นในศาลบูชาบ่อยๆ สูดรับอุป ยิ่งได้รับบุญบารมีมากเท่าไหร่ นางก็จะฟื้นคืนชีพเร็วขึ้นอีกหน่อย

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน หากว่าหยกนภากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา ตี้ฝูอีจะมองเพียงว่ามันทำตัวเหลวไหลนอกรีตเท่านั้น ไม่มีทางเก็บมาใส่ใจเลย

แต่หนนี้หยกนภาว่าอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น ซ้ำยังมุมานะทำให้ดีที่สุดด้วย

ครึ่งเดือนมานี้หยกนภาเสพติดการเป็นนายใหญ่แล้ว ชี้นำให้เทพศักดิ์สิทธิ์ทำนั่นทำนี่ นี่ทำให้มันอกสั่นขวัยแขวนยิ่ง แต่รู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งนัก

——————————————————————————

บทที่ 1733 เจ้าอย่าได้หุนหัน…

เมื่อครู่ตี้ฝูอีถามมันว่า กู้ซีจิ่วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาประมาณช่วงไหน?

หยกนภาคาดคะเนจากประสบการณ์อยู่นานสองนานจึงบอกแก่เขาว่า น่าจะภายในหกปี…

ระยะเวลาหกปีสำหรับตี้ฝูอีในอดีตแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว แต่สำหรับตัวเขาในปัจจุบัน กลับอยู่ไกลเกินเอื้อมยิ่งนัก

เขากับนางคงจะเป็นเช่นเดียวกับดอกพลับพลึง บุปผาบานไร้ใบ ใบงอกไร้บุปผา…

เขาหลุบตามองคนที่อยู่ในอ้อมแขน เขาจะไม่ได้เห็นนางยืนอยู่ต่อหน้าเขาอย่างตัวเป็นๆ หัวเราะต่อกระซิกกับเขาอีกแล้ว…

นิ้วมือเขาไล้แพขนตาของสาวน้อยในอ้อมแขนเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่วหวิว “ซีจิ่ว…หลังจากเจ้าหวนกลับก็ลืมเลือนข้าไปเสียเถิด…ใช้ชีวิตต่อไปให้ดี” น้ำเสียงแผ่วเบาดุจเอ่ยงึมงำ

กู้ซีจิ่วที่คอยสังเกตอยู่ด้านข้างเขามาโดยตลอดกลับตะลึงงันแล้ว!

ยามที่ได้ยินเขาเอ่ยประโยคแรกออกมา เธอโกรธมาก คนผู้นี้คิดแต่จะให้ผู้อื่นลืมเลือนเขาอยู่ร่ำไป! เห็นเธอเป็นตัวอะไรกัน?

ฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์หรือ? สามารถลบข้อมูลที่ไม่ต้องการได้ตามใจชอบหรือไง?!

แต่พอได้ยินไม่กี่คำสุดท้ายของเขา หัวใจกลับมีความหวาดหวั่นประการหนึ่งพุ่งถาโถมขึ้นมา

วาจานี้เหตุใดฟังแล้วค่อนข้างคล้ายคำสั่งเสียเล่า?!

เป็นตนคิดมากไปใช่ไหม?

หรือว่า…

เธออดไม่ได้จึงเพ่งพิศเขาอีกคราหนึ่ง น่าจะมีเหตุเกี่ยวข้องกับการเร้นกาย เขาจึงไม่ได้สวมหน้ากาก กู้ซีจิ่วพบว่าถึงแม้เส้นผมสีขาวของเขาจะเปลี่ยนเป็นผมดำแล้ว แต่สีหน้ากลับไม่ดีเลย ซีดเซียวอย่างยิ่ง ใต้ดวงตาเรียวรีงดงามคู่นั้นมีรอยคล้ำอยุ่จางๆ ริมฝีปากก็ซีดจางเช่นกัน

หากมิใช่ยามนี้กู้ซีจิ่วไม่มีร่างกายอยู่ เธอคงจะโผเข้าไปตรวจชีพจรของเขาแล้ว

เขาเหนื่อยล้าเกินไปหรือเปล่า?

ยากนักที่จะเห็นเขาในสภาพซีดเซียวถึงเพียงนี้

ขณะที่เธอกำลังค่อนข้างใจลอย จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงโหวกเหวกอยู่บ้าง เสียงสตรีสายหนึ่งแว่วเข้ามา “เอ๊ะ ที่นี่คืออารามอะไรน่ะ? ศาลทูตสวรรค์กู้? ทูตสวรรค์กู้คนไหนกัน?”

กู้ซีจิ่วย่อมคุ้นเคยกับเสียงนี้ยิ่งนัก หลานจิ้งอี๋!

นึกไม่ถึงเลยว่านางจะมาด้วย

ด้านนอกยังคงมีผู้สักการะอยู่ไม่น้อย และย่อมมีนักพรตที่คอยดูแลศาลบูชาแห่งนี้อยู่ด้วย นักพรตผู้นั้นจึงเอ่ยตอบ “เป็นท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินแม่นางกู้ซีจิ่ว”

หลานจิ้งอี๋หัวเราะหยันคราหนึ่ง น้ำเสียงเจือแววเหยียดหยาม “กู้ซีจิ่วรึ?! มิใช่กระมัง?! นางก็ยังไม่ตายเสียหน่อย เหตุใดจึงสร้างศาลให้นางเล่า?”

น้ำเสียงของนักพรตเจือความขุ่นเคืองแล้ว “แม่นางพูดจาให้ความเคารพหน่อย! ท่านทูตสวรรค์กู้ย่อมยังมีชีวิตอยู่ ศาลนี้คือศาลบูชาคนเป็น!”

หลานจิ้งอี๋แผดเสียงแหลมขึ้นมา “ศาลบูชาคนเป็นงั้นหรือ? นางมีคุณงามความดีอันใดถึงต้องสร้างศาลบูชาคนเป็นให้?! น่าขันนัก! ข้าอยากเห็นนักว่าตัวนางสร้างคุณความดีอันใด!”

“นี่ จิ้งอี๋ เจ้าอย่าได้หุนหัน…” เสียงของหลานเหยากวงก็แว่วเข้ามาเช่นกัน

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ยับยั้งน้องสาวตนไว้

‘พริ้ง!’ เงาสีฟ้าวาบขึ้นแวบหนึ่ง หลานจิ้งอี๋ปรากฏกายขึ้นในห้องโถงโดยตรง

ดูเหมือนบาดแผลบนร่างนางจะค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว นอกจากสีหน้าสีซีดเซียวไร้สีเลือดเล็กน้อยแล้ว อย่างอื่นล้วนไม่เป็นอันใด

กู้ซีจิ่วมองไปที่ตี้ฝูอี ตี้ฝูอีเหยียดกายนั่งตัวตรงแล้ว ขมวดคิ้วนิดๆ สายตาเยียบเย็นลง!

สายตาของหลานจิ้งอี๋ร่อนลงบนรูปสลักเทพธิดาทันที จากนั้นนางก็โกรธเกรี้ยมขึ้นมา!

“กู้ซีจิ่วจะอวดดีเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?! พี่หวงของข้ามีความสามรถล้นเหลือถึงเพียงนั้นก้ยังไม่เคยสร้างศาลบูชาเช่นนี้เลย! กู้ซีจิ่วนางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? มีสิทธิ์ขาดในแผ่นดินนี้หรือย่างไร?! ในสายตาข้าไม่มีคุณค่าแม้เสี้ยวธุลีเลย! ทนมองนางผยองเช่นนี้ไม่ได้เลย!”

พลันโบกแขนเสื้อพรึบ คลื่นแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่รูปสลักเทพธิดา!

นางจะทำลายรูปสลักที่ขัดนัยน์ตานี้ทิ้งเสีย!

นางเป็นคนที่นึกจะทำอะไรก็ทำเลย การลงมือนี้จึงกะทันหันยิ่งนัก นักพรตผู้ดูแลศาลที่อยู่ด้านข้างไม่มีทางขัดขวางได้ทันกาล อีกอย่างด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา คิดจะขวางก็ขวางเอาไว้ไม่อยู่

ส่วนหลานเหยากวงก็เพิ่งพุ่งตามเข้ามา ขัดขวางเอาไว้ไม่ทันเช่นกัน เพียยงแต่ร้องอุทานออกมา “อย่า…”

————————————————————————————-

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

Status: Ongoing
   เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท