บทที่ 2011 รักษา 2
กู้ซีจิ่วกะพริบตาปริบๆ ตี้ฝูอีเอ่ยต่อไปว่า “เจ้าอยากบอกว่า เคล็ดวงจักรย้อนหวนนี้ซับซ้อนยิ่งนัก ข้าเป็นมือใหม่ ไม่สามารถเรียนรู้ทั้งหมดได้ภายในคราวเดียว อาจจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างขั้นตอนการรักษาก็ได้ และอาการบาดเจ็บของเจ้าก็หนักหนายิ่งนัก ปล่อยให้เกิดอุบัติขึ้นแม้เพียงน้อยไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน วาจาทั้งหมดถูกเขาเอ่ยออกมาแล้ว!
ตี้ฝูอีหยักมุมปากเล็กน้อย “วางใจเถอะ เคล็ดวงจักรย้อนหวนนี้ข้าเขี่ยวชาญอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ปล่อยให้เจ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นเด็ดขาด!” เดิมทีเขาก็ฉลาดปราดเปรื่องอยู่แล้ว เรียนรู้ได้ว่องไวยิ่งนัก แต่เขาก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าตนจะสามารถเรียนรู้เคล็ดวงจักรย้อนหวนได้ว่องไวถึงเพียงนี้ ตอนที่เขากำลังเรียนรู้สิ่งนี้ รู้สึกราวกับว่าเชี่ยวชาญวิชาแพทย์แขนงนี้มานานแล้ว เพียงแต่หลงลืมไปเท่านั้น ตอนนี้พอมีคนมาแนะแนวให้ก็นึกทั้งหมดออกได้ในทันที…
เขามองตากู้ซีจิ่ว “เรื่องอื่นข้าไม่กล้าคุยโว แต่การควบคุมเคล็ดนี้ ข้าเหนือกว่าแม่ทัพหลงที่อยู่ด้านนอกแน่นอน!”
โกหก! กู้ซีจิ่วไม่เชื่อ!
ถึงแม้เธอจะไม่ได้พูดออกมา แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความคลางแคลง
ในใจของตี้ฝูอีมีโทสะขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขายกมุมปากเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าก็รอชมด้วยตาตนเถิด!”
กู้ซีจิ่วเงียบงัน หากว่าเธอไม่อ่อนแอขนาดหนักล่ะก็ คงอยากพ่นน้ำใส่หน้าเขาไปแล้ว
รอชมด้วยตาตนเถิดประโยคนี้สมควรเป็นเธอพูดหรือเปล่า?!
มาถึงตอนนี้แล้ว เธอไม่มีช่องให้พูดคำว่า ‘ไม่’ เลย ถึงอย่างไรเขาก็ ‘แช่’ อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ส่วนหลงซือเย่ก็ยอมแพ้ไปแล้วจริงๆ…
เธอถอนหายใจ รู้สึกว่าชาติก่อนตนคงติดค้างเจ้าเด็กคนนี้เอาไว้ จึงต้องชดใช้ในชาตินี้ ดังนั้นถึงได้ถูกเคี่ยวกรำเช่นนี้
“เนี่ยนโม่ หากว่าครั้งนี้ข้าตายไป…”
“ถ้าเจ้าตายข้าจะชดใช้เจ้าด้วยชีวิตของข้า!” ตี้ฝูอีตัดบทนาง แววตาเยียบเย็นลงเล็กน้อย นี่นางไม่เชื่อถือในตัวเขาถึงเพียงนี้เชียว…
อันที่จริงที่กู้ซีจิ่วอยากจะบอกก็คือ ‘หากว่าครั้งนี้ข้าตายไป ต่อไปก็จะไม่รบกวนให้เจ้าทำภารกิจแล้ว’ แต่ถูกตี้ฝูอีตอกกลับ เธอจึงไม่ได้พูดออกไป
ตอนนี้ในทรวงอกเธอเจ็บปวดอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดนี้ทำให้พวกแก้มที่เพิ่งแดงเรื่อขึ้นมาซีดเซียวอีกครั้ง
เธอขมวดคิ้ว ปลายจมูกมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดซึมอีกครั้ง
มือข้างหนึ่งของตี้ฝูอีโอบไหล่เธอไว้ มือข้างหนึ่งแบออก กลางฝ่ามือมียาลูกกลอนสีแดงเปล่งปลั่งอยู่เม็ดหนึ่ง จ่อเข้าที่ริมฝีปากเธอ “เอ้า กินเข้าไป!”
ยาลูกกลอนเม็ดนั้นทอประกายเล็กน้อย รูปลักษณ์คือยาลูกกลอน แฝงกลิ่นหอมหวานน่าประหลาดสายหนึ่งเอาไว้ ในศาสตร์ด้านนี้กู้ซีจิ่วก็นับว่ารอบรู้กว้างขวางเช่นกัน ทว่าเพิ่งเคยเห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรก…
“นี่คืออะไร?”
“โอสถวิญญาณ เป็นผลดีต่ออาการบาดเจ็บของเจ้า”
“วันนี้ข้ากินโอสถวิญญาณมากมายเกินไปแล้ว…” ต่อให้เป็นยาดีสักเพียงใดก็ไม่อาจกินมากไปได้ และสรรพคุณของยาแต่ละชนิดก็อาจขัดแย้งกันเองได้ง่ายๆ ตอนนี้เธออ่อนแอจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว กินยามากไป…
“วางใจเถอะ ยานี้จะไม่ขัดแย้งกับยาอื่นๆ” ตี้ฝูอีกลับทราบดีว่านางกังวลอะไร เมื่อเธอนางยังไม่ยอมอ้าปาก เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากนิดๆ “เจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้าจะวางยาพิษสังหารเจ้ากระมัง?”
นี่ไม่เกี่ยวกันเสียหน่อย เธอแค่กลัวว่าเด็กน้อยอย่างเข้าจะไม่เข้าใจสรรพคุณยา ป้อนยาเธอสุ่มสี่สุ่มห้า…
กู้ซีจิ่วถอนหายใจแผ่วๆ ยืนกรานว่า “บอกสรรพคุณของมันแก่ข้า…”
ตี้ฝูอีมองเธอครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นเนิบๆ “นี่เป็นยาที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ข้า บอกว่าหากบาดเจ็บสาหัสอย่างพบเห็นได้ยาก อาการปางตาย ขอเพียงยังเหลือลมหายใจอยู่เฮือกหนึ่ง เมื่อกินมันเข้าไปก็จะอาการดีขึ้นกึ่งหนึ่ง”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง!
เธอเคยได้ยินมาเรื่องวิชาแพทย์มหาเทพเสินจิ่วหลี่มาก่อน เป็นยอดหมอที่เก่งกาจที่สุดในทวีปนี้ ไม่มีโรคภัยและอาการบาดเจ็บใดที่เขารักษาไม่หาย ต่อให้วิญญาณกระจัดกระจายไปแล้ว เขาก็สามารถรวมรวบให้ก่อกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้…
——————————————————————
บทที่ 2012 รักษา 3
โอสถที่ท่านเทพใหญ่ทิ้งไว้ให้ย่อมเชื่อถือได้อย่างยิ่ง
แต่ยาลูกกลอนนี้น่าจะเป็นโอสถกู้ชีพที่เขาทิ้งไว้ให้บุตรชายกระมัง?
“ยานี้…เจ้ามีกี่เม็ด?” กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เม็ดเดียว ทำไมหรือ?”
“ถ้าเจ้ามอบให้ข้า วันหน้าหากเจ้าต้องการใช้…”
“วางใจเถอะ ด้วยความสามารถของข้าไม่มีวันนั้นเสียหรอก อย่ามัวแต่พูดเหลวไหล รีบกินซะ!” ตี้ฝูอีทะนงตนอย่างเหนือธรรมดา ยัดยาลูกกลอนเม็ดนั้นเข้าไปในปากเธอเสียเลย “เด็กดี กลืนลงไปซะ!”
เป็นความเผด็จการที่แสนคุ้นเคย กู้ซีจิ่วนึกขันอย่างยิ่ง ทว่าในใจกลับฝาดเฝื่อนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
เธอไม่ต่อต้านอีกต่อไป อ้าปากรับยาลูกกลอนเม็ดนั้นเข้าไป
กลิ่นของยาลูกกลอนเม็ดนั้นหอมมาก แต่รสชาติกลับขมยิ่งนัก กู้ซีจิ่วถูกความขมเล่นงานจนเครื่องหน้ายับย่นไปหมด
ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลืนยาลูกกลอนเม็ดนั้นลงไปได้ เธอขมจนลิ้นในปากชาหมดแล้ว
ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีหยิบลูกกวาดเม็ดหนึ่งออกมาจากไหนอีก ยัดใส่ปากเธอ “อมมันไว้ซะ”
ในที่สุดความหอมหวานของลูกกวาดก็ค่อยๆ สะกดความขมลงไปได้ ลูกกวาดนั้นเป็นรสน้ำเชื่อมต้นเฟิงที่เธอชอบกิน ในที่สุดเธอก็โล่งอกแล้ว
เธอเหลือบมองเขาแวบหนึ่งอย่างอดไม่อยู่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะเตรียมการได้รอบคอบปานนี้
อาจเป็นเพราะเขายังเด็กอยู่ เด็กน้อยล้วนชมชอบกินของหวาน ดังนั้นเขาจึงมีเตรียมไว้เช่นกัน…
ไม่นึกเลยว่าเขาจะชอบรสชาติเดียวกับเธอด้วย
“มาเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าโคจรพลังย่อยมัน” ตี้ฝูอีดึงมือทั้งสองข้างของเธอออกไป ประกบฝ่ามือกับเธอ ถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้ามา ช่วยเธอโคจรฤทธิ์ยา
กู้ซีจิ่วสัมผัสตนเองดู อวัยวะที่ปริแตกในภายในทรวงคล้ายจะเริ่มสมานกันแล้ว…
ดวงตาเธอเปล่งประกายทันที บางทีพอกินโอสถนี้เข้าไป เธอไม่จำเป็นต้องใช้เคล็ดวงจักรย้อนหวนแล้วก็ได้!
เธอถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าร่างกายมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็สามารถนั่งในอ่างไม้ใบนี้ด้วยตัวเองได้
เธอลืมตาขึ้น สบตากับตี้ฝูอีที่อยู่ตรงกันข้าม
หัวใจเธอพลันเต้นแรงขึ้นมา!
ไม่รู้ว่าตี้ฝูอีถอดหน้ากากทรงผีเสื้อออกจากใบหน้าของเขาตั้งแต่ตอนไหน เผยโฉมหน้าดั้งเดิมออกมา เครื่องหน้านั้นวิจิตรงดงามจนไม่อาจบรรยายได้! ราวกับเป็นผลงานที่เทพเจ้าสลักเสลาออกมาอย่างประณีตบรรจง
รูปโฉมเช่นนี้ใช้คำว่าหายนะล่มเมืองมาบรรยายได้เลย มิน่าเล่าเขาถึงสวมหน้ากากอยู่เสมอเช่นกัน มิเช่นนั้นเกรงว่ารอบกายเขาคงมีหมู่ภมรบินว่อนมากมายกว่าเดิม
รูปลักษณ์อันน่าคุ้นเคยนี้ทำให้เธอใจสั่น! เธอถึงขั้นที่เกิดความรู้สึกชั่ววูบขึ้นมาว่าอยากโถมตัวเข้าใส่อ้อมแขนของคนผู้นี้
แน่นอนอารมณ์ชั่ววูบนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก็ถูกความคิดที่ว่า ‘ทำไมฉันถึงถูกเด็กน้อยกระตุ้นอารมณ์หนุ่มสาวจนคิดสกปรกขึ้นมาได้’ กดทับอารมณ์ชั่ววูบลงไป
นัยน์ตาดำสนิทของตี้ฝูอี กำลังมองใบหน้าเฉิดฉันของเธออยู่ คล้ายจะเหม่อลอย
ทั้งสองคนสบตากัน นัยน์ตาเขามีแววกระอักกระอ่วนพาดผ่านแวบหนึ่ง ร่างกายแข็งทื่อไปเล็กน้อย แต่ก็ดึงสติกลับมาทันที เอ่ยถามวาจาไร้สาระไปประโยคหนึ่ง “ยาออกฤทธิ์แล้วกระมัง ยังเจ็บอยู่หรือไม่? อยากให้ข้าช่วยโคจรให้เจ้าอีกไหม? ในปากเจ้ายังขมอยู่หรือเปล่า? ที่ข้ายังมีลูกกวาดอยู่…”
นับตั้งแต่เข้ามาเขาก็ดูเหมือนจะไม่พอใจเธอเลย วาจาเจือแววเชือดเฉือนอยู่เสมอ กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงเลยว่ายามนี้เขาจะกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ จึงงงงันไปชั่วขณะ “เจ้า…”
ทำไมจู่ๆ เจ้าเด็กนี่ถึงอารมณ์แปรปรวนอีกแล้วล่ะ?
เมื่อตี้ฝูอีเอ่ยถามเรื่องเหล่านี้จบถึงจะรู้สึกตัวว่าตนกระตือรือร้นเกินไปแล้ว ชะงักไปเล็กน้อย พลันค้อมกายเข้าไปใกล้เธอ ยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “หลงใหลในความรูปงามของข้าแล้วกระมัง? หวั่นไหวเพราะข้าแล้วใช่ไหม?”
รอยยิ้มของเขาแฝงความชั่วร้ายเอาไว้รางๆ ด้วย สำเนียงก็แฝงความหยอกเย้าเอาไว้ ลมหายใจก็คล้ายจะเป่ารดลงบนใบหน้างดงามของเธอ
อบอุ่น เจือบรรยากาศอันคลุมเครือไว้…
———————————————————————–