บทที่ 2057 การมาถึงของเขา 3
ทั้งสามคนหารือกันครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เกิด ‘ความคิดที่ดี’ ขึ้นมา
พวกเขาคิดจะป้ายความผิดข้อหามือสังหารในคดีสัตว์เซียนหายสาบสูญให้เจ้าหอยยักษ์เป็นแพะรับบาป เช่นนี้พวกเขาถึงจะมีเหตุผลมากพอมาสังหารมัน
พวกเขาถึงขั้นที่คิดวิธีการโยนความผิดให้เจ้าหอยยักษ์โดยละเอียดแล้วด้วย
อย่างเช่นว่ารอสังหารเจ้าหอยยักษ์ให้ตายก่อนที่คนหนึ่งในนั้นจะเสียสละสัตว์เซียนที่ไม่ค่อยเป็นที่รักตัวหนึ่ง แล้วใช้เปลือกเจ้าหอยยักษ์สังหารสัตว์เซียนนั้นเสีย เช่นนี้ก็จะโยนความผิดให้เจ้าหอยยักษ์ได้แล้ว…
เมื่อหารือแผนการเรียบร้อย พวกเขาก็ปิดล้อมเจ้าหอยยักษ์…
ทั้งสามคนพูดจากระโชกโฮกฮากใส่เจ้าหอยยักษ์ ว่ามันเป็นหอยชั่วช้าที่ก่อกรรมทำเข็ญมากมาย พวกเขาจะสังหารมันเพื่อขจัดความชั่วร้ายให้แดนพ้นโศก ทุกถ้อยคำล้วนพูดออกมาอย่างผู้ผดุงคุณธรรมและหลักฐานของพวกเขาก็คือกวางชะมดที่เจ้าหอยยักษ์ย่างกิน…
เพียงแต่ในคำพูดของพวกเขา เนื้อกวางชะมดนั้นไม่ใช่เนื้อกวางชะมด แต่กลับเป็นเนื้อสัตว์เซียนของพวกเขา…
เจ้าหอยยักษ์ย่อมต้องแก้ต่างเป็นธรรมดา ไม่เพียงแต่บอกตัวตนของมันเอง และพยายามพิสูจน์ว่าเนื้อนั้นเป็นเนื้อกวางชะมด…
ทว่าเสินจวินทั้งสามคนนั้นไม่ใคร่ฟัง ลงมือกับมันในทันที
ในระหว่างการต่อสู้ ทั้งสามคนไม่เพียงแต่ออกกระบวนท่าพิฆาตอยู่บ่อยครั้ง ไม่เหลือไว้ซึ่งหนทางใดๆ อีกทั้งยังก่นด่าเจ้าหอยยักษ์ บอกว่ามันไม่คู่ควรจะขึ้นมาดินแดนเบื้องบน แม้แต่หมูในดินแดนเบื้องบนก็ยังสูงส่งกว่ามัน ต่อว่าต่อขานว่าเจ้าหอยยักษ์โง่เขลา เจ้านายของมันก็ต้องเบาปัญญาอย่างแน่นอน บอกว่าจะจับเจ้าหอยยักษ์ตุ๋น เนื้อหอยยักษ์คงจะอร่อยดี…
ทั้งสามคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พยายามทำทุกวิถีทางหยามเกียรติให้มันอับอาย
ความตั้งใจเดิมของทั้งสามคนน่าจะเห็นว่าพลังวิญญาณของเจ้าหอยยักษ์แข็งแกร่ง เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ จึงจงใจพูดจายั่วยุมัน ทำให้มันแสดงอาการผิดปกติ
วิธีการนี้กลับได้ผลกับเจ้าหอยยักษ์ มันตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ ขณะต่อสู้ก็ถูกคนหนึ่งในนั้นฟาดฟันกระบี่ลงมา…
หลังจากเจ้าหอยยักษ์ถูกคมกระบี่นี้ สถานการณ์ก็พลิกผันในทันใด!
ดวงตาทั้งคู่ของเจ้าหอยยักษ์พลันแดงก่ำ เปลือกหอยก็เป็นสีแดงสด มันโกรธจัด คลุ้มคลั่งขึ้นมา จู่ๆ ก็คล้ายยกระดับ พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมหาศาล
ทั้งสามคนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ จึงแปลงกายกลับร่างเดิม จิ้งจอกตัวหนึ่ง หมาป่าสีเงินตัวหนึ่ง และนกยูงตัวหนึ่ง
แน่นอนว่าล้วนขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ปิดล้อมเจ้าหอยยักษ์จนมืดมิดไร้เแสงเดือนแสงตะวัน
ภาพฉากที่เหลือก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทุกคนรู้บทสรุปกันแล้ว ทั้งสามคนไม่ได้สังหารเจ้าหอยยักษ์ แต่กลับถูกเจ้าหอยยักษ์ฆ่าตาย…
ภาพฉากนี้ฉายให้เห็นตั้งแต่ต้นจนจบบนหินอ่อน
ตี้ฝูอีแย้มยิ้มเมื่อเห็นร่างเดิมของเสินจวินสามท่านนั้น
“ที่แท้พวกเขาก็เป็นสัตว์บำเพ็ญ สัตว์สามตัวที่ฝึกฝนจนเป็นเสินจวิน เล่นสกปรกลอบทำร้ายสัตว์เซียนอีกตัวหนึ่ง ผลสุดท้ายกลับพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า ถูกเขมือบไปก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? หรือว่าในสายตาของอารักษ์ทั้งสามท่านนับว่ามีความผิด?”
เถี่ยเจิงไร้ซึ่งวาจา
ตี้ฝูอีเคาะก้อนหินก้อนหนึ่งด้านข้างเบาๆ
“บุคคลในหมอกครึ้มน่าแปลกยิ่งนัก หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด น่าจะเป็นเขาที่ลอบวางยาพิษบนอาวุธของเสินจวินสามคนนั้น ดังนั้นหลังจากเจ้าหอยยักษ์บาดเจ็บ ถูกพิษเข้าจึงคลุ้มคลั่งเผยสัญชาตญาณดิบขึ้นมา…”
เถี่ยเจิงคล้ายจะสบโอกาสปลีกตัว พร้อมแสดงอาการแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม
“ไม่ผิดแน่! บุคคลในหมอกครึ้มนั้นเกรงว่าจะเป็นมือสังหารในคดีสัตว์เซียนหายสาบสูญ! เจ้านี่ทำข้าเกือบจะหลงไปผิดทาง! ฝ่าบาท พวกเราจะรีบกลับไปรายงานจักรพรรดิเซียน ให้ส่งกำลังคนมาเพิ่มเพื่อตามจับกุมบุรุษหมอกครึ้มผู้นั้น!”
เขาทำความเคารพไปทางตี้ฝูอี นำอารักษ์อีกสองคนหันกายกำลังจะจากไป
ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
“เปิ่นกงอนุญาตให้พวกเจ้าไปได้แล้วงั้นรึ? พวกเจ้าจับคนมาผิดแล้วก็จบกันไปเช่นนี้รึ?”
พวกเถี่ยเจิงนิ่งงัน
เถี่ยเจิงยิ้มขื่น
“ฝ่าบาท อันที่จริงแม่นางกู้ท่านนี้ลงโทษพวกเราไปแล้ว เถี่ยหลิวถูกเข็มเงินพุ่งเข้าใส่จนกลายเป็นเม่นไปแล้ว ยามนี้นอนอยู่ที่แห่งหนึ่งขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้”
ตี้ฝูอีหรี่ตาลง
“เป็นพวกเจ้าที่ใช้กฏหมู่กันก่อน
————————————————————————————-
บทที่ 2058 การมาถึงของเขา 4
“เป็นพวกเจ้าที่ใช้กฏหมู่กันก่อน นางยิงเข็มจนเถี่ยหลิวบาดเจ็บทีหลัง เปิ่นกงเห็นบนตัวเจ้าหอยยักษ์มีทั้งแผลพุพอง แผลผิวเยือก แผลผิวไหม้ อีกทั้งยังมีแผลทิ่มแทง ส่วนบนตัวอารักษ์เถี่ยหลิวมีเพียงแผลทิ่มแทง เห็นได้ชัดว่าแม่นางกู้ท่านนี้ปราณีพวกเจ้าแล้ว ไม่ต้องการลดตัวลงมาเสมอพวกเจ้า หากเป็นเปิ่นกง อารักษ์เถี่ยหลิวไม่เพียงแต่ถูกทิ่มแทงธรรมดาขนาดนี้!”
เถี่ยเจิงพูดจาอันใดไม่ออก
ถึงแม้เขาไม่พอใจ ทว่ากลับไม่กล้าปริปากพูดจาอะไรอีก
เขาเคยได้ยินคนร่ำลือว่าฝ่าบาทน้อยท่านนี้ชอบยิ้ม ตอนเขายิ้มกับเพื่อนฝูงก็ยังดีหน่อย แต่หากวันใดที่เขายิ้มให้คนที่ขัดหูขัดตา เช่นนั้นอีกฝ่ายก็จะโชคร้ายแล้ว!
พลังยุทธ์ของฝ่าบาทน้อยท่านนี้อาจจะไม่สูงส่งเท่าสามอารักษ์อย่างพวกเขา ทว่าฐานะของเขาก็ค้ำอยู่ตรงนั้น พวกเขาทั้งสามคนจะไปยั่วยุได้ที่ไหนกัน?!
ยิ่งไปกว่านั้นไป๋เจ๋อก็ยังอยู่ตรงนี้
ไป๋เจ๋อเป็นถึงสัตว์วิเศษ! เมื่อใดที่สำแดงพลังอำนาจ จะทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้ พวกเขาทั้งสามรวมกันแล้วยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่แน่เขาอาจจะถูกมันเขมือบไปด้วย…
บุรุษที่ดีควรล่าถอยยามเมื่อเข้าตาจน พวกเถี่ยเจิงสามคนได้แต่ค้อมคำนับน้อมรับความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตี้ฝูอีเย้ยเยาะ
“คำนับเปิ่นกงด้วยเหตุใด? คนที่พวกเจ้าต้องขออภัยไม่ใช่เปิ่นกงเสียหน่อย!”
เถี่ยเจิงยังคงรู้งานยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงค้อมคำนับขออภัยไปทางกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะแยแสพวกเขา
ตี้ฝูอีรอให้พวกเขาคำนับจนพอใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“เปิ่นกงไม่สนใจว่าผู้บงการเบื้องหลังพวกเจ้าเป็นผู้ใด เปิ่นกงขอบอกไว้ตรงนี้ แม่นางท่านนี้เป็นคนของเปิ่นกง พวกเจ้าหาเรื่องนางก็เท่ากับหาเรื่องเปิ่นกง! คราวนี้จะปล่อยพวกเจ้าทั้งสามไปก่อน แต่ละคนทิ้งมือไว้ข้างหนึ่งแล้วไสหัวไปซะ!”
พวกเถี่ยเจิงสามคนสีหน้าแปรเปลี่ยน
พวกเขายังคิดที่จะหาเหตุผลมาถกเถียง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ตี้ฝูอีก็ตัดบทพวกเขาเสียแล้ว
“หากยังพูดจาไร้สาระแม้แต่คำเดียว พวกเจ้าจะต้องทิ้งมือไว้สองข้าง!”
พวกเถี่ยเจิงมองไป๋เจ๋อที่จ้องถมึงทึงมองพวกเขา แล้วมองตี้ฝูอีอีกคราหนึ่ง พวกเขารู้ว่าไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ ทำได้เพียงตัดมือข้างหนึ่งของตัวเองแล้วจากไปอย่างหมองหม่น
หลงซือเย่โล่งอกไปที กู้ซีจิ่วในตอนนี้ปลอดภัยอย่างแท้จริงแล้ว
เขาค่อนข้างไม่สบอารมณ์ เรื่องที่เขาพยายามสุดชีวิตก็ไม่มีทางทำได้ ฝ่าบาทน้อยท่านนี้กลับทำมันได้อย่างสบายๆ…
จู่ๆ ก็มีคำพูดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขา ‘ยุคเส้นสาย’
ฝ่าบาทน้อยท่านนี้ชะตาดี บุญวาสนาดี มีบิดามารดาที่เจิดจรัสคู่หนึ่ง ถึงไม่มีผู้ใดกล้ามายั่วยุเขา อยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้นได้
ส่วนเขาหลงซือเย่กลับทำได้เพียงก้าวไปทีละขั้นๆ ด้วยมือทั้งสองข้างของเขาเอง…
เขาส่ายหน้า ไม่อยากจะคิดมากเรื่องนี้ด้วยกลัวว่าจิตใจจะไม่สมดุล
เขายกมือขึ้นกำลังจะจับชีพจรกู้ซีจิ่ว เบื้องหน้าก็พลันพร่ามัว ถูกคนเบียดเข้าอย่างจัง หลงซือเย่ไม่ทันได้ระวังตัว ซวนเซถอยหลังไปสองก้าว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งก็พบว่าตี้ฝูอียืนอยู่ด้านหน้ากู้ซีจิ่ว เขารูปร่างสูงใหญ่ กู้ซีจิ่วก็ยังนั่งอยู่ ดังนั้นตอนที่เขามองนางเช่นนี้ จึงค่อนข้างให้ความรู้สึกมองสู่เบื้องล่าง
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
กู้ซีจิ่วปรับลมหายไปเพียงชั่วครู่ ความจริงแล้วเธอระงับเส้นเลือดที่ใกล้จะระเบิดได้แล้ว อาการบาดเจ็บก็ค่อนข้างคงที่ เธอลืมตาขึ้น
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ หัวใจก็พลันสั่นไหว
ตี้ฝูอีวางนิ้วลงบนข้อมือของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจับชีพจรให้เธอ
ปลายนิ้วของเขาอบอุ่น เมื่อสัมผัสเข้ากับผิวของเธอ ความอบอุ่นนั้นราวกับซึมผ่านผิวหนังของเธอเข้าสู่เส้นเลือดได้โดยตรง ทำให้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ!
น่าแปลก ตอนที่หลงซือเย่จับชีพจรให้เธอ ทำไมเธอถึงไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย?
กู้ซีจิ่วยังคงรู้สึกซาบซึ้งในตัวตี้ฝูอีนัก ตอนนั้นเธอทำให้คนหิวโซโมโหหนีไป เดิมทียังคิดว่ารอให้บาดแผลหายดีค่อยไปหาเขา ทำอาหารให้เขาสักสองสามอย่างเพื่อเป็นการชดเชย นึกไม่ถึงว่าเขาจะปรากฎกายขึ้นที่นี่ปานฝนทันกาล…