ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 2184+2185

บทที่ 2184+2185

บทที่ 2184 เด็กน้อย เจ้าทนไว้ก่อนเถิด

กู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีย่อมไม่ได้คุกเข่าตาม หัวหน้าเผ่าและชาวบ้านเหล่านั้นก็คล้ายจะยึดสองคนนี้เป็นผู้นำ จึงไม่คุกเข่าเช่นกัน

เจ้าเฟิงฉิงเม้มปากนิดๆ ดึงเหล่าศิษย์น้องชายหญิงให้คุกเข่าลงไป

การปรากฏตัวของเจ้าเมืองโดดเด่นนัก โดดเด่นอย่างเหนือธรรมดา

นาวานภาสีครามลำหนึ่งปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าก่อน ที่อยู่รอบตัวเรือมิใช่กรรเชียงสำหรับพาย แต่เป็นปีกไม้ที่คล้ายปีกนกคลี่สยาย โบกต้านลมจนเกิดเสียงดังพรึบๆ

บนเรือมีเด็กหนุ่มชุดสีฟ้าอ่อนยืนอยู่สี่คน แต่ละคนรูปงามยิ่งนัก

พวกเขาห้อมล้อมชายชุดม่วงคนหนึ่งที่อยู่บนเรือ ด้านหน้าของชายชุดม่วงผู้นั้นคือโต๊ะหยกขาวตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีกระดานหมาก ชายชุดม่วงถือตัวหมาก คล้ายว่ากำลังเดินหมากอยู่

มีกระเรียนเซียนสีขาวพิสุทธิ์แปดตัวเลียบข้างนาวาลำนั้น บนร่างของกระเรียนเซียนแต่ละตัวมีดรุณีชุดขาวคลุมแพรโปร่งยืนอยู่ ในมือดรุณีชุดขาวเหล่านี้บ้างก็ถือแพรโปร่ง บ้างก็ถือตะกร้าดอกไม้ โปรยกลีบบุปผาห้าสีไปตามทาง นาวายังแล่นมาไม่ถึง กลิ่นหอมก็โชยต้องจมูกก่อนแล้ว กลิ่นบุปผาฟุ้งตลบไปทั่วท้องถนน

ยามที่กู้ซีจิ่วมองเห็นเรือลำนั้นปรากฏขึ้น หัวใจพลันเต้นแรง ตะลึงไปเล็กน้อย จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง…

ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน สลักลึกอยู่ในความทรงจำเธอ

สายตาเธอร่อนลงบนร่างชายชุดม่วงที่อยู่บนเรือผู้นั้น อยู่ห่างกันเกินไป ซ้ำชายชุดม่วงยังก้มหน้าอยู่ เธอมองเห็นหน้าตาคนผู้นั้นได้ไม่ชัด เพียงมองออกว่าระหว่างเส้นผมเขาคล้ายจะมีทับทิมส่องประกายวูบไหวอยู่…

หัวใจเธอเต้นแรงกว่าเดิม ปลายนิ้วเย็นเฉียบนิดๆ

มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา กอบกุมมือน้อยๆ ของเธอไว้ เธอหันหน้าไป มองเห็นนัยน์ตาดำขลับดุจอัญมณีของตี้ฝูอี

เขามองเธออย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม ส่งกระแสเสียงหาเธอ

‘เขาน่ามองปานนั้นเชียว? มองจนเซ่อไปเลยหรือ?’

แสดงความหึงหวงอย่างเปิดเผยปานนี้…

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันอุ่นวาบ เขยิบเข้าหาเขาอีกหน่อย ส่งกระแสเสียงตอบเขา

‘ข้าแค่รู้สึกว่าฉากนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง…’

ตี้ฝูอีหรี่ตาลงนิดๆ เขาก็รู้สึกว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตาเช่นกัน แถมยังคุ้นตาเสียจนรู้สึกอึดอัดยิ่ง ราวกับหลี่ขุยพบพานหลีกุ่ยผู้แอบอ้าง[1]…

เมื่อเรือลำนั้นลอยเข้ามาใกล้ ดรุณีชุดขาวที่ขี่กระเรียนพลันโบกมือ สะบัดแพรโปร่งสีม่วงอ่อนลงมา ลอยพลิ้วสู่พื้นดิน ดุจสะพานแพรสายหนึ่ง

เงาร่างของเด็กหนุ่มสี่คนบนเรือวูบไหว กระโดดลงมาก่อน พุ่งไปคุกเข่าลงหน้านาวาใหญ่

 น้อมต้อนรับท่านเจ้าเมือง! 

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงตะโกนขึ้นมาพร้อมกันอย่างรู้งานดี

 น้อมต้อนรับท่านเจ้าเมือง 

เสียงดังสะท้านสะเทือนเช่นกัน

คนทั้งถนนล้วนคุกเข่าลงไปหมด มีเพียงพวกกู้ซีจิ่วกว่าร้อยคนที่ยืนอยู่ จึงดูโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด

มีทหารก้าวเข้ามาแล้ว พุ่งมาตะคอกพวกกู้ซีจิ่ว

 ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว ไยพวกเจ้าจึงไม่คุกเข่าคารวะ?! 

กู้ซีจิ่วยกมุมปากแวบหนึ่ง

 กฎข้อไหนเขียนไว้หรือว่าเจ้าเมืองมาแล้ว พวกข้าต้องคุกเข่าคารวะ? 

ทหารคนนั้นถูกตอกจนหน้าหงาย ไม่มีกฎข้อนี้ระบุไว้จริงๆ เพียงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่กลายเป็นระเบียบจารีตไปแล้ว…

บนร่างกู้ซีจิ่วมีรัศมีชนิดหนึ่งอยู่ ทำให้คนไม่กล้าหมิ่นแคลน ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่กู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีสังหารสัตว์ร้ายเขาก็ได้เห็นเช่นกัน ทราบดีว่าอีกฝ่ายสามารถลงมือปลิดชีวิตเขาอย่างง่ายดายได้ ดังนั้นพอเขาถูกเธอถามเข้า ในใจก็หนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

อ้าปากน้อยๆ คล้ายอยากจะพูดอะไรต่อ ทว่ามีเสียงหนึ่งแว่วลงจากบนเรือ

 พอแล้ว! เจ้าเมืองอย่างข้าให้ค่าคนมีฝีมือ แล้วพวกเขาก็เป็นผู้มาใหม่ ยังไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของเมืองลั่วฮวาชั่วคราว 

เสียงนั้นดึงดูดยิ่งนัก เพียงแต่คล้ายกับท่องบทออกมา กู้ซีจิ่วรู้สึกแขยงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด…

‘พลังวิญญาณของคนผู้นี้บรรลุขั้นแปดแล้ว อย่าบุ่มบ่ามผลีผลาม เมืองนี้ก็ค่อนข้างประหลาดเช่นกัน ต้องตรวจสอบให้ละเอียด เด็กน้อย เจ้าทนไว้ก่อนเถิด’

ตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงมาหาเธอ

————————————————————————————-

บทที่ 2185 การเสแสร้งเช่นนี้ออกจะเลยเถิดไปหน่อยกระมัง?!

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน

ระยะนี้เขาเสพติดการเรียกเธอว่าเด็กน้อยซะเหลือเกินนะ…

เพียงแต่เธอก็รู้ดีว่าตี้ฝูอีเป็นคนที่มีความรู้กว้างขว้างที่สุด ซ้ำยังมีเล่ห์กลมากมาย

ไม่เหมือนเธอ มีเพียงความทรงจำเพียงครึ่งปีมานี้ อย่างอื่นล้วนว่างเปล่าขาวโพลน เชื่อฟังเขาย่อมไม่มีผิดพลาด

ดังนั้นเธอจึงตอบอืมคำหนึ่ง พลางบอกความรู้สึกของตนแก่เขาด้วย

‘ไม่รู้ว่าเพราะอะไรข้าถึงเห็นเขาดูขัดหูขัดตายิ่งนัก’

มีวูบหนึ่งที่รู้สึกคล้ายว่าเขาสบประมาทไอดอลตน อยากจะลากอีกฝ่ายมาซัดให้น่วมสักยก

‘บังเอิญนัก ข้าก็เห็นเขาแล้วขัดนัยน์ตาเช่นกัน เด็กน้อย พวกเราเป็นคู่สร้างคู่สมโดยแท้ แม้แต่ความคิดก็ยังเชื่อมโยงกันเช่นนี้’

ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ ซ้ำยังเกลี่ยฝ่ามือเธอด้วย

‘ไร้สาระ!’

กู้ซีจิ่วสัพยอกเขา ในใจกลับอบอุ่น เธอเองก็รู้สึกว่าเข้าขากับตี้ฝูอีมากขึ้นเรื่อยๆ เธอเหลือบมองมือของทั้งสองที่จับกันอยู่แวบหนึ่ง สิบนิ้วสอดประสาน ท่าทางสนิทใจกันยิ่งนัก ราวกับเขาและเธอเคยเกาะกุมกันเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว วันหน้าก็ยังจะจับมือกันไปเช่นนี้อีก

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงจับมือกันแล้วเงยหน้ามองคนเสแสร้งบนเรือผู้นั้น…

ในที่สุดคนที่อยู่บนเรือก็ลุกขึ้นมาแล้ว ยืดกายขึ้นมา เหยียบย่างแพรโปร่งเหล่านั้นลงมา

เสื้อคลุมตัวหลวมสีม่วง ดุจผืนธงที่โบกสะบัดไปตามแรงลม สง่างามยิ่งนัก มีรสนิยมยิ่งนัก…

เขาลงมาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ร่อนสู่พื้นแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้ร่อนลงบนพื้น แต่ร่อนลงบนหลังเด็กหนุ่มทั้งสี่ที่กระโดดลงมาจากเรือก่อน

ในที่สุดก็กู้ซีจิ่วก็มองเห็นรูปโฉมของคนผู้นี้ชัดเจนแล้ว พลันมุ่นคิ้วนิดๆ

รูปโฉมของคนผู้นี้งดงามแช่มช้อยยิ่ง คิ้วโก่งดุจวาดเขียน นัยน์ตาดั่งหงส์ มุมปากหยักน้อยๆ เช่นจันทร์เสี้ยว ผิวขาวกระจ่างปานเครื่องหยก ตรงหน้าผากคาดแถบแพรที่ดูคล้ายนัยน์ตาจิ้งจอกไว้เส้นหนึ่ง งามหมดจดปานแม่นางน้อย นับว่าเป็นโฉมงาม ไม่สิ ชายงามผู้หนึ่ง คิ้วบางหางตาตกแฝงท่าทางชั่วร้ายไว้นิดๆ เป็นความงดงามเยี่ยงอิสตรีแขนงหนึ่ง

คนผู้นี้คือเจ้าเมืองเย่หลิงแห่งเมืองลั่วฮวา หลังจากเขาร่อนสู่พื้นแล้ว ดรุณีขี่กระเรียนแปดนางนั้นก็กระโดดลงมาพร้อมกัน พวกนางรีบโปรยกลีบบุปผาลงบนพื้นอย่างรวดเร็วเพื่อปูทาง…

หลังจากนั้น ดรุณีแปดนางนั้นก็นอนคว่ำลงบนกลีบบุปผาเรียงกันไปทีละคน กลีบบุปผาสีม่วงอ่อน คนงามอาภรณ์ขาว กลายเป็นฉากที่กระแทกนัยน์ตาคนยิ่งนักฉากหนึ่ง

เย่หลิงค่อยๆ ก้าวลงมาจากแผ่นหลังของเด็กหนุ่มสี่คนนั้น เหยียบย่างลงบนขาของดรุณีนางหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า สองเท้าย่ำผ่านแข้งขา ทรวงอก ใบหน้าของดรุณีน้อย จากนั้นก็เหยียบลงบนร่างของดรุณีคนต่อไป…เคลื่อนไหวเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้

กู้ซีจิ่วตะลึงงัน การเสแสร้งเช่นนี้ออกจะเลยเถิดไปหน่อยกระมัง?!

ไม่เห็นค่าความเป็นคนเกินไปแล้ว!

ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด กู้ซีจิ่วจึงรู้สึกว่าการสวมชุดม่วง คาดแถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกของเจ้าเมืองผู้นี้ถึงขัดเคืองนัยน์ตายิ่งนัก ราวกับคนที่ได้เห็นของจริงมาจนชินแล้วจู่ๆ ก็ได้เห็นของเลียนแบบเกรดต่ำ…

เย่หลิงเยื้องย่างอาภรณ์พลิ้วมาทางพวกกู้ซีจิ่วทั้งสอง หยุดยืนห่างจากพวกเขาไปสองเมตร ตาเรียวดั่งตาหงส์คู่นั้นกวาดมองฝูงชนแวบหนึ่ง สุดท้ายก็ร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอี มีประกายแสงวาบผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง

 ทั้งสองท่านเป็นผู้นำของชาวบ้านกลุ่มนี้หรือ? 

 พวกเราเป็นหนึ่งในชาวบ้านเหล่านี้ 

น้ำเสียงกู้ซีจิ่วเยือกเย็นเฉยชา

เย่หลิงหยักมุมปากแดงเรื่อแวบหนึ่ง

 ดูไม่คล้ายกันเลย…รูปโฉมของแม่นางต่างไปจากพวกเขา 

สายตาร่อนลงบนร่างตี้ฝูอีต่อ

 ท่านนี้คือ? 

 คู่หมั้นข้า 

กู้ซีจิ่วตอบเสียงดังฟังชัด

นัยน์ตาเย่หลิงหรี่ลงนิดๆ กวาดตามองตี้ฝูอีอีกแวบหนึ่ง หัวใจพลันหดรัดอย่างน่าประหลาด

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายเพียงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น มองดูเอื่อยเฉื่อยเฉยชา ทว่าบรรยากาศรอบตัวกลับดูยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาผู้เป็นเจ้าเมืองมากมายยิ่ง…

————————————————————————————-

[1] หลี่ขุยพบพานหลีกุ่ยผู้แอบอ้าง หลี่ขุยเป็นหนึ่งใน 108 วีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซาน มีชื่อเสียงโด่งดัง ชายที่ชื่อหลีกุ่ยมีชื่อแซ่คล้ายคลึงกับเขา จึงแอบอ้างสวมรอยเป็นหลี่ขุยไปกระทำเรื่องชั่วช้าปล้นชิง วันหนึ่งตัวปลอมบังเอิญพบกับตัวจริงเข้า หลีกุ่ยใช้ข้ออ้างว่าทำไปเพราะต้องเลี้ยงดูครอบครัวหลายชีวิต หลี่ขุยจึงไม่เอาความและจะมอบเงินให้ไปตั้งตัว แต่หลีกุ่ยกลับไม่สำนึกคิดจะฉวยโอกาสเล่นงานหลี่ขุย สุดท้ายจึงถูก หลี่ขุยสังหาร

 

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

Status: Ongoing
   เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท