หวานรักจับหัวใจท่านประธาน – ตอนที่ 265 ต้องทะนุถนอมอย่างดี / ตอนที่ 266 ลูกสาวผมเหมือนผม
ตอนที่ 265 ต้องทะนุถนอมอย่างดี
ถูกคนคิดว่าเป็นแม่แท้ๆ ของเด็กคนหนึ่ง แถมยังถูกพ่อของเด็กได้ยินเข้าด้วย
มีอะไรน่าอายกว่านี้ไหม
เหนียนเสี่ยวมู่เงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มสูงส่งเหมือนเทพเต้าในชุดสูททั้งตัว
เขาเดินออกมาจากในบริษัท น่าจะออกมารับเสี่ยวลิ่วลิ่ว
บนใบหน้าหล่อเหลาไม่มีความรู้สึกใด แม้แต่สายตาก็เรียบเฉย
เขามองผ่านเธอไปยังมิสเตอร์ลอมบาร์ดีที่อยู่ริมทาง พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย
อยู่ๆ เหนียนเสี่ยวมู่ก็นึกขึ้นได้ เขาอาจจะไม่รู้ภาษาอิตาลี
อย่างนั้นถึงแม้เมื่อครู่เขาได้ยินที่มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูด ก็คงฟังไม่รู้เรื่องว่าหมายความว่าอะไร
ดีมาก!
ขณะที่เธอลอบถอนหายใจนั้น เขาก็ขยับริมฝีปากพูด
เป็นการใช้ภาษาอิตาลีขนานแท้กล่าวทักทายมิสเตอร์ลอมบาร์ดี
ทำเอาเหนียนเสี่ยวมู่ตัวแข็งทื่อไปทันที!
เธอหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่เพิ่งกล่าวทักทายมิสเตอร์ลอมบาร์ดี ก่อนจะเบิกตาโพลงเท่าระฆังทองแดง
หญิงสาวพูดไม่ออกอยู่นาน ราวกับเป็นโรคพูดไม่ได้
ได้แต่จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น
ในหัวกำลังคิดว่า เขาพูดภาษาอิตาลีได้ อย่างนั้นเขาก็คงได้ยินที่มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดเมื่อครู่สินะ?
“เป็นเกียรติของผมเลย ที่ได้พบคุณชายหาน”
ประธานบริษัทตระกูลอวี๋ คุณชายอันดับหนึ่งของเมืองเอช
คนที่มีความรู้ ไม่มีใครไม่รู้กิตติศัพท์ของอวี๋เยว่หาน
มิสเตอร์ลอมบาร์ดีเผยความประหลาดใจบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยวดเครา ก่อนจะมองชายหนุ่มที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เหนียนเสี่ยวมู่ แล้วยื่นมือไปลูบหนวดของตนเอง
มุมปากยกโค้งเล็กน้อย
หลังจากตอบคำทักทายของอวี๋เยว่หานอย่างมีมารยาทแล้ว เขาก็ชะงักไปประมาณสองวินาที แล้วพูดต่อ
“มีภรรยาแบบนี้เนี่ย คุณชายหานต้องทะนุถนอมอย่างดีเลยนะ”
เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!
ถ้าเมื่อครู่แค่น่าอาย อย่างนั้นตอนนี้สีหน้าของเธอต้องเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างสุดขีดแน่นอน!
เมื่อเธอดึงสติกลับมาจากความตกใจได้ เธอก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่ง รอให้เขาปฏิเสธ
แต่รออยู่หลายวินาทีแล้ว ก็ไม่เห็นเขามีความคิดที่จะเอ่ยปากพูดเลย
หรือว่าระดับภาษาอิตาลีของเขา พอจะทักทายได้เท่านั้น?
อย่างนั้นเธอก็ทำได้แค่อธิบายเอง…
“มิสเตอร์ลอมบาร์ดี คุณอาจจะเข้าใจผิด…” เหนียเสี่ยวมู่เพิ่งเอ่ยปาก อวี๋เยว่หานที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นมือมาตีท้ายทอยของเธอเบาๆ
เขาสบสายตางุนงงของเธอ แล้วพูดอย่างเรียบๆ
“มียุง”
เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!
ตอนที่เธออยากจะอธิบายกับมิสเตอร์ลอมบาร์ดีอีกครั้งนั้น อวี๋เยว่หานพลันเดินมาข้างหน้า แล้วยื่นมือออกไปอย่างมีมารยาทและไม่เสียอาการ “เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“โอเคๆ ไม่ต้องไปส่งแล้วนะ” มิสเตอร์ลอมบาร์ดีโบกมือ ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ
ประตูรถค่อยๆ ปิดลง และขับหายไปจากสายตาของพวกเขา
ริมทางเหลือเพียงพวกเขาสามคน
และยังมีผู้ช่วยที่รับเสี่ยวลิ่วลิ่วมาจากคฤหาสน์ ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหน้ารถ
อวี๋เยว่หานล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยมือข้างเดียว เงาร่างสูงโปรงยืนอยู่ตรงนั้น กลายเป็นภาพที่น่ามองไปโดยปริยาย
หลังจากรถของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีออกไป เขาก็หมุนตัวจะไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่ว
เขาช้อนดวงตาสีดำขึ้น เห็นเหนียนเสี่ยวมู่ที่กำลังทำหน้าตาแปลกๆ
เหมือนกำลังพูดว่า ‘ฉันอยากอธิบาย แต่ทั้งโลกไม่ให้โอกาสฉันเลย แต่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว’
อวี๋เยว่หานขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อย “คุณกินยาผิดมาหรือไง”
“คุณชาย เมื่อกี้คุณได้ยินที่มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดใช่ไหม” เหนียนเสี่ยวมู่กะพริบตาใสแจ๋วเหมือนคริสตัลครั้งหนึ่ง ก่อนจะถามด้วยความจริงจังมาก
“ก่อนคุณจะมา…ไม่ใช่สิ หลังจากคุณมา…สรุปว่า คุณได้ยินที่เขาพูดเมื่อกี้หมดเลย!”
“คุณอยากพูดอะไรกันแน่” อวี๋เยว่หานเหลือบมองเธอเล็กน้อย พลางรับเสี่ยวลิ่วลิ่วไปจากมือของเธออย่างเย็นชา
ในหัวกลับมีใบหน้าตกใจจนตะลึงลานของเธอผุดขึ้นมา ขณะที่เขาเดินเข้ามาเมื่อครู่
ตอนที่ 266 ลูกสาวผมเหมือนผม
ตอนนั้นเขาอยู่ค่อนข้างไกล จึงไม่ได้ยินว่ามิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดว่าอะไร
แต่ประโยคสุดท้ายนั้น เขาได้ยิน
เมื่อเห็นท่าทางร้อนใจอยากอธิบายของเธอ มือของเขาก็ตีท้ายทอยของเธอเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
เธอตกใจอย่างนั้น เพราะคำพูดนั้นเหรอ
อวี๋เยว่หานยื่นมือไปอุ้มเสี่ยวลิ่วลิ่วไว้ในอก ก่อนจะหลุบตามองเหนียนเสี่ยวมู่ที่อยู่ข้างหน้าเขา และพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
“ภาษาอิตาลีของผมไม่ค่อยดี พูดได้แค่ทักทายง่ายๆ เท่านั้น”
“…”
เหนียนเสี่ยวมู่ที่ตื่นเต้นเมื่อครู่ พลันตะลึงงันไป
เธอร้อง “อา” เสียงหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือไปเกาหัวตัวเอง ทำหน้าตาเข้าใจในทันที
ที่แท้ก็ฟังไม่รู้เรื่องนี่เอง
ก็ถูกต้องแล้ว ภาษาอิตาลีในประเทศจีนไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนภาษาอังกฤษ เขาฟังไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องปกติ
ถ้าพูดอย่างนั้น เมื่อครู่เขาไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขา ก็เพราะเขาไม่รู้เลยว่ามิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดว่าอะไร…
เหนียนเสี่ยวมู่ก้มหน้าลง จ้องมองปลายเท้าของตนเอง
ควรจะถอนหายใจด้วยความโล่งใจแท้ๆ
แต่ไม่รู้ว่าทำไม กลับรู้สึกอึดอัดใจ
“ภาษาอิตาลีของคุณมันยังไงเนี่ย” อวี๋เยว่หานก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว รูปร่างสูงใหญ่ปกคลุมเงาร่างของเธอ
ทันทีที่พูดออกมา ในดวงตาสีดำของเขาก็มีความสงสัยพาดผ่านไปด้วย
ความชำนาญทางด้านศิลปะอันน่าประหลาดใจของเธอ
ความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์ที่โดดเด่น
ตอนนี้ยังมีพรสวรรค์ทางด้านภาษาที่ทำให้คนแปลกใจอีก…
เธอเหมือนกล่องแพนดอรา เตรียม ‘ความประหลาดใจ’ ไว้ให้เขาอีกเท่าไหร่กัน
“คุณไม่เคยบอกมาก่อนเลย ว่าคุณพูดภาษาอิตาลีได้” นัยน์ตาของอวี๋เยว่หานวูบไหวเล็กน้อย
เหนียนเสี่ยวมู่กำลังเหม่อลอย แต่ก็เงยหน้าขึ้นมาตามจิตใต้สำนึกเพราะได้ยินเขาพูด “คุณก็ไม่เคยถามฉันนี่”
อวี๋เยว่หาน “…”
เขาเลิกขมวดคิ้ว และมองหญิงสาวหน้าตาใสซื่อตรงหน้า
สายตาของเขาอบอุ่นขึ้น
ความหมายของคำพูดเธอ เขาเข้าใจได้ ถ้าเขาถาม เธอจะพูดความจริงกับเขาสินะ?
“เมื่อกี้มิสเตอร์ลอมบาร์ดีพูดว่าอะไร ก่อนที่ผมจะมา”
เหนียนเสี่ยวมู่ “…” !!
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างนี้เลยเหรอ ทำไมอยู่ๆ เขาถึงถามขึ้นมาล่ะ
แล้วจะต้องตอบอย่างไรดี
หรือควรจะพูดว่า ‘ยินดีด้วย มิสเตอร์ลอมบาร์บอกว่าลูกสาวของคุณเหมือนฉัน สืบทอดยีนเด่นของฉันอย่างสมบูรณ์ เป็นนางฟ้าตัวน้อยที่ทั้งสวยทั้งฉลาดจริงๆ!’
เธอกลัวว่าอวี๋เยว่หานจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ต้องการเป็นแม่เลี้ยงของลูกสาวเขา อย่างนั้นน่าอายจริงๆ!
เหนียนเสี่ยวมู่พิจารณาอยู่นาน ถึงจะเค้นคำพูดออกมาได้สักคำ
“ก็เปล่า ไม่ได้พูดอะไร เขาชมว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วน่ารัก นิสัยดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋เยว่พลันมองเสี่ยวลิ่วลิ่วที่อิงแอบอยู่ในอกของเขาอย่างมาง่าย ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย
“อืม ลูกสาวผมเหมือนผม”
เหนียนเสี่ยวมู่ “…”
ถุยๆ!
มิสเตอร์ลอมบาร์ดีบอกอย่างชัดเจนว่าเสี่ยวลิ่วลิ่วเหมือนเธอ น่ารักและนิสัยดีเหมือนเธอ ทำไมเขาถึงได้ภูมิใจขนาดนั้น!
ถ้าเหมือนเขา ก็ต้องเหมือนก้อนน้ำแข็งสิ!
พูดแล้วนิสัยของเสี่ยวลิ่วลิ่วก็ไม่ค่อยเหมือนเขาเอาเสียเลย…
เสียงริงโทนขัดจังหวะความคิดของเหนียนเสี่ยวมู่ ทำให้เธอดึงสติกลับมาได้ เธอมองการแจ้งเตือนบนโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง “แย่แล้ว ฉันลืมกลับไปรายงานที่แผนก!”
“…”
เงาร่างสูงโปร่งของอวี๋เยว่หานยังคงอยู่ที่เดิม นัยน์ตาสีดำหยั่งลึก จับจ้องไปที่ตัวเธอ จนกระทั่งเธอหายลับไปจากสายตา
ในหัวของเขามีคำพูดของมิสเตอร์ลอมบาร์ดีผุดขึ้นมา
เมื่อรู้สึกว่าเธอส่งผลต่อความคิดของตนเองอย่างง่ายดายแล้ว อวี๋เยว่หานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เหนียนเสี่ยวมู่…”