ตอนที่ 495 หยวนชูเฟินกล่าวถึงเรื่องอดีตของปีนั้น
อันที่จริงคือ ในใจของทุกคนล้วนมีความลับอยู่ ซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งที่อบอุ่น กำลังเจริญเติบโตและทะนุถนอมอย่างเงียบๆในนามของความรัก
เพื่อปกป้องฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถสบายใจได้ ยิ่งเพื่อที่จะให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถดำรงชีวิตได้อย่างดีขึ้นต่อหน้าตัวเอง
ขอบตาของลั่วหานแสบร้อนๆ เธอมองไปที่หยวนชูเฟินอย่างเห็นใจ นับบัดนี้เธอยังคิดมีความสง่างามอยู่ แต่ไม่ใช่คุณนายของตระกูลหลงที่อยู่เหนือกว่าคนอื่นอีกแล้ว เพียงเป็นแค่คุณแม่ที่ธรรมดา ถ้าอยู่ต่อหน้าลูกๆของตัวเอง เธอยังมีด้านที่เมตตาแม้กระทั่งน่ารักด้วย
มันเป็นจริงและอ่อนโยนมาก
ดังนั้น ลั่วหานเอื้อมมือไปกอดแขนทั้งสองข้างของหยวนชูเฟินเอาไว้ ใช้ความสูงที่ได้เปรียบของตัวเองโอบล้อมหยวนชูเฟินเอาไว้”แม่ โรคของคุณจะรักษาหายแน่นอน คุณก็ต้องสู้ๆ อย่าท้อแท้นะคะ”
อย่าท้อแท้ค่ะ ฉันขอร้องแม่!
นี่เป็นสิ่งที่เธอจะพูด แต่พูดไม่ได้ เพราะมันเศร้าเกินไป
อยากจะบอกว่า อย่าท้อแท้ โปรดสู้เพื่อพวกเรา ฉันเสียแม่ไปแล้วคนหนึ่ง ไม่สามารถเสียแม่อีกคนไปอีกแล้ว
อยากจะบอกว่า อย่าจากไป ให้พวกเราอยู่เคียงข้างคุณ เป็นเด็กที่ไม่ต้องเติบโตอีกหลายปี หลงเซียวก็ได้เสียคุณพ่อไปแล้ว
อยากจะบอกว่า ทุกอย่างที่ผ่านมาในเมื่อก่อนพวกเราไม่ไปพูดถึงมันอีกแล้ว ก็ให้มันล้วนบินไปหมด พวกเราต้องต้อนรับวันพรุ่งนี้ด้วยกัน พวกเราต้องรักกันพึ่งพากันตลอดไป
สิ่งที่อยากจะบอกนั้นมีอยู่มากมาย แต่ล้วนติดค้างอยู่ในใจ ไม่สามารถพูดออกได้แม้แต่คำเดียว
ฝ่ามือของหยวนชูเฟินแตะหลังมือของเธอเบาๆ เธอสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของลั่วหาน มันเป็นความรักที่แสดงออกที่แท้จริงตามธรรมชาติ มีแต่คนที่ใกล้ชิดและรักสุดๆถึงจะมีอารมณ์เช่นนั้น
“ไอ้ลูกโง่เอ๋ย อย่าเสียใจสิ แม่จะสู้และอดทนอีกต่อไปแน่นอน ไม่ว่าผลไปยังไง ล้วนต้องสู้ต่อไปนะ”
ลั่วหานซาบซึ้งใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา เอ่ยเสียงเออเบาๆ จากนั้นกอดเธอไว้อย่างแน่น”ขอบคุณค่ะ คุณแม่ ขอบคุณค่ะ”
ดวงตาของหลงเซียวก็แสบร้อนขึ้นเพราะการแสดงออกทางความรักที่แท้จริงของทั้งสองคน รูปร่างสีดำที่สูงใหญ่เดินไปข้างๆทั้งสองคน แขนทั้งสองข้างเหมือนร่มที่กางออก กอดทั้งสองคนเอาไว้อย่างอ่อนโยน แขนซ้ายล้อมรอบหยวนชูเฟิน แขนขวาล้อมรอบลั่วหาน
ร่มหนึ่งคันนั้นถูกกางออกในด้านบนของทั้งสองคน มาพร้อมกับน้ำเสียงที่นุ่มนวล มุ่งมั่น แน่วแน่และจริงใจ”ฉันจะปกป้องพวกคุณ” แม้เป็นคำสัญญาที่เรียบง่าย แต่เพียงพอแล้ว
ลั่วหานเงยหน้าขึ้นมา มองเข้าหากันกับหลงเซียว ทั้งสองนึกถึงคำพูดที่ลั่วหานเคยพูดขึ้นมาพร้อมกัน ทีหลังเธอจะกางร่มให้เขา
พวกเขาจะกางร่มให้ซึ่งกันและกัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะผ่านพายุและภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงไปด้วยกัน จะชมทิวทัศน์อันสวยงามของโลกนี้ไปพร้อมกัน
นานมา อารมณ์ความรู้สึกของทั้งสามคนจึงหมดไป ลั่วหานประคองให้หยวนชูเฟินนั่งลงก่อน
เธอตบไปที่โซฟาสะกิดให้ทั้งสองคนแยกแยะกันนั่งคนละข้าง และยังคงใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดเต็มและน้ำตามองไปที่หลงเซียว
“เซียวเอ๋อ คุณจะต้องมีคำถามจะถามฉัน ฉันรู้ว่าคุณอยากจะรู้อะไร ในเมื่อตอนนี้พวกคุณรู้ความจริงไปแล้ว นั้นฉันก็จะเล่าเรื่องอดีตให้พวกคุณฟัง”
เส้นเลือดดำในหน้าผากของหลงเซียวก็ยังโผล่ตัวออกมา นิ้วมือที่เรียวยาวและอบอุ่นจับมือขวาของเธอเอาไว้”แม่เชิญพูดเลยครับ”
พวกเขาล้วนเตรียมพร้อมที่จะรับฟังแล้ว
ลั่วหานจับมือซ้ายของเธอเอาไว้ ชิดตัวเข้าใกล้เธอ”แม่ คุณค่อยๆพูด ตกลงปีนั้นเกิดอะไรขึ้น”
หยวนชูเฟินพยักหน้า ร่องรอยของอดีตค่อยๆปรากฏขึ้นในดวงตา เธอมองไปดูท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างเศร้าโศก ราวกับว่าเขาใช้สายตาผลักประตูแห่งความทรงจำอันหนักอึ้งออก เรื่องอดีตที่ถูกฝุ่นปกคลุมอยู่นั้นก็ถูกเปิดออกมาใหม่
เธอถอนหายใจออกมา และพูดอย่างยาวนานและช้าๆ”สามสิบกว่าปีแล้ว ฉันนึกว่าฉันจะไม่มีวันกล่าวถึงอีก……”
ก้องป่วยเงียบสงบมาก มีแค่ลมหายใจและเสียงเต้นของหัวใจ
หัวใจของทั้งสองคนล้วนถูกหยวนชูเฟินพกพาเอาไว้ ย้อนกลับไปในระยะไกลที่ไม่สามารถเข้าถึง ย้อนกลับไปในวัยเยาว์ความงดงามของเธอที่ไม่มีใครเทียบได้
“สามสิบกว่าปีก่อน เศรษฐกิจของประเทศจีนยังล้าหลังกว่าประเทศในยุโรปและอเมริกา ในเวลานั้นมีกระแสการไปเรียนต่อในสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรง หนุ่มๆสาวๆจำนวนมากจากประเทศจีนไปสหรัฐอเมริกาเพื่อหาโอกาสต่างๆ นี่คือตำนานที่ว่าฝันอยากจะร่ำรวยในสหรัฐอเมริกา……”
เธอหยุดชะงัก จากนั้นถอนหายใจออกมาอีก เหมือนกำลังอธิบายถึงเบื้องหลังของพัฒนาการเรื่องนี้ มันเป็นยุคที่ทุกคนต่างแสวงหาโอกาส สิ่งที่พวกเขารู้มาก่อนก็คือ ตอนนั้นมีชาวจีนเยอะมากล้วนฝันอยากจะรวยในชั่วข้ามคืนในสหรัฐอเมริกา
หยวนชูเฟินอธิบายต่อ”ฉันกับเส้าเอินอาศัยอยู่ที่อเมริกามาตลอด รุ่นพ่อแม่ของเราอพยพไปนิวยอร์คแต่เช้า ถือเป็นคนรุ่นแรกๆที่ตั้งรากฐานในอเมริกา ปีนั้นพวกเราล้วนได้เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์”
“เคมบริดจ์?แม่กับพ่อล้วนเป็นนักเรียนของเคมบริดจ์?”ลั่วหานมองเธออย่างประหลาดใจ ในใจรู้สึกนับถือจริงๆ
มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา คาดไม่ถึงว่าแม่เป็นนักเรียนในเคมบริดจ์ด้วย ไม่น่าทำไมถึงมีลูกชายอย่างหลงเซียว
หยวนชูเฟินพยักหน้า”นี่มันไม่เท่าไหร่หรอก คุณเรียนอยู่ที่ฮาร์วาร์ด เก่งกว่าฉันอีกเยอะเลย แถมอายุแค่สิบหกคุณก็สอบติดมหาวิทยาลัย ฉลาดกว่าฉัน”
“นี่……”ข้อมูลที่แม่รู้มานั้นไม่น้อยจริงๆ
หยวนชูเฟินพูดต่อมา”ฉันเรียนอยู่ที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ วิชาเอกคือภาพสีน้ำมันและจิตรกรรมจีน ส่วนเส้าเอินอยู่คณะธุรกิจ วิชาเอกคือการลงทุนและการจัดการอุตสาหกรรม ตอนนั้นพ่อแม่ของฉันไม่เห็นด้วยกับการคบกันของฉันกับเขา ตระกูลหยวนเป็นตระกูลที่การค้าขายพอที่มีชื่อเสียงในอเมริกา ส่วนพ่อแม่ของเส้าเอินเป็นแค่พนักงานธรรมดาในธนาคาร แม้ไม่ยากจน แต่ก็ไม่ร่ำรวย”
เป็นอย่างนี้นี่เอง
ลั่วหานนึกว่าความรักของพวกเขานั้นหยวนชูเฟินเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ
“แต่ฉันเชื่อเขา ฉันรักเขา ฉันอยากจะอยู่กับเส้าเอินแม้จะต้องทะเลาะถกเถียงกับที่บ้านก็ตาม”พอหยวนชูเฟินนึกถึงพฤติกรรมของตัวเองที่แสวงหาความรักอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ ก็ได้ปรากฏรอยยิ้มที่ราวกับสาวๆออกมา เขินอายราวกับย้อนตัวกลับไปในสมัยนั้น
“เส้าเอินเพื่อพิสูจน์ให้คุณตาคุณยายของพวกคุณเห็นว่าเขามีความสามารถที่จะให้ความสุขแก่ฉัน เขาเลยไปเป็นพนักงานฝึกงานในวอลล์สตรีทตั้งแต่มหาลัยปีที่2 เป็นธนาคารที่พ่อแม่ของเขาอยู่นั่นเอง พอเวลาฝึกงานจบสิ้น เขาก็ได้อยู่ในธนาคารต่ออย่างราบรื่น หลังจากนั้นอีกครึ่งปีเขาได้รับเงินกำไรก้อนแรกในชีวิตนี้ สองแสนดอลลาร์ ตามสถานการณ์ทางการเงินของสหรัฐอเมริกาและมูลค่าของดอลลาร์ในเวลานั้น สองแสนดอลลาร์ มีมูลค่าเป็นหลายร้อยเท่าของตอนนี้”
ว้าว!สุดยอด!
ดวงตาของลั่วหานเบิกกว้างเพราะความนับถือ และนำความเคารพที่มีต่อมู่เส้าเอินล้วนย้ายไปสู่ที่หลงเซียว มองเข้าหากันกับเขา จ้องมอง และแอบหัวเราะ
เธอรู้สึกว่าตนเองได้รับสิ่งของอันมีค่า ลูกชายของคนยอดฮิตในสมัยนั้น!
หลงเซียวหงายปากขึ้นมา ไม่พูดไม่จาแต่แสดงความรักใคร่ออกมาเต็มที่
“เขาได้เงินก้อนแรกมา เดิมทีนึกอยากจะเอาออกมาเป็นสินสอดแก่คุณตาคุณยายของคุณ แต่เพื่อนหลายคนของเขามาหาเขา หลังจากปรึกษากันแล้วก็ตัดสินใจใช้เงินก้อนนี้มาลงทุน”
เมื่อหยวนชูเฟินนึกถึงตอนนี้ ก็ถอนหายใจออกมา”เส้าเอินมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง แต่เขาไม่สามารถรู้ความในใจของผู้คนได้……เขาใช้ยี่สิบดอลลาร์ ใช้เวลาหนึ่งปี ก่อตั้งบริษัทการเงินขนาดเล็ก ในขนาดนั้นพวกเขาหลายคนล้วนกินนอนอาศัยอยู่ในบ้านขนาด 70 ตารางเมตร ค่อยๆทำจนได้ย้ายสำนักงานไปยังแมนฮัตตัน ได้เปิดช่องทางธุรกิจเล็กๆภายใต้สถานการณ์การเหยียดสีผิวและเชื้อชาติค่อนข้างรุนแรงในขณะนั้น”
ระหว่างคิ้วของเธอเผยให้เห็นถึงความอบอุ่น คงมีแต่พูดถึงสิ่งที่มีความสุขที่สุดและคนที่รักมากที่สุดถึงจะมีความสุขเช่นนี้หรอกใช่มั้ย?
ด้วยความเคารพและนับถือ ลั่วหานและหลงเซียวใช้ท่าทางที่เคารพรับฟังอยู่
“ต่อจากนั้น บริษัทของเส้าเอินดำเนินการได้อย่างราบรื่น จนกว่าเวลาที่พวกเราเรียนเถอะมหาลัยปีที่ 4 เขาก็พอมีชื่อเสียงแล้ว ส่วนฉันก็ได้สร้างผลงานทุกอย่างในนิทรรศการส่วนตัวเสร็จก่อนกำหนด เส้าเอินช่วยจัดนิทรรศการภาพวาดครั้งแรกและก็เป็นครั้งเดียวในชีวิตให้ฉัน”
หลงเซียวยังจำได้ว่า ส้งชิงเซวี๋ยนเคยบอกว่าแม่เคยได้จัดงานนิทรรศการภาพวาดส่วนตัวขึ้นมา
ลั่วหานเกือบจะกราบลงพื้นแสดงความเคารพแล้ว เธอคาดไม่ถึงว่า สตรีผู้สูงศักดิ์ที่แต่งกายอย่างสวยงามข้างๆเธอคนนี้ เป็นผู้หญิงในตำนานอย่างกับหลินฮุยอิน!
แถมยังเป็นมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เดียวกันด้วย แม้กระทั่งยังสามารถจินตนาการได้ถึงปีนั้นคุณมู่เส้าเอินถือไม้ไผ่บนเรือผ่านจากใต้สะพานเคมบริดจ์ และกำลังท่องกลอนว่า”ความเงียบคือสังคีตแห่งการลาจาก……”
สวยงามมาก
แม้ว่าอยู่ในอเมริกาหลายปี แต่ลั่วหานไม่เคยได้ไปแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งที่เธอรู้สึกน่าเสียดายที่สุดก็คือไม่ได้พบกับหลงเซียวให้เร็วกว่านี้ ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนสะพานเคมบริดจ์ที่นักกลอนหลายๆท่านได้กล่าวถึงกับเขาด้วยกัน
“แต่ ช่วงเวลาดีมักจะมีอยู่ไม่นาน”
ภาพพจน์ที่สวยงามถูกเปลี่ยนไปในท่ามกลางของน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเธอ น้ำในแม่น้ำเคมบริดจ์เกิดคลื่นขึ้นมาอย่างแรง ทำลายความสงบบนเรือ
หยวนชูเฟินส่ายหน้าอย่างเศร้าโศก สีหน้าเจ็บปวดราวกับถูกมีดแทง เป็นเรื่องอดีตที่เธอไม่ยอมจะไปนึกถึง!
ลั่วหานจับมือของเธอไว้ มือของเธอนั้นเย็นมาก ชีพจรเต้นอย่างรวดเร็ว การที่หัวใจเต้นช้าขึ้นเพราะผลกระทบจากโรคโลหิตจางนั้น ตอนนี้ถูกความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่”แม่ ใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้น คุณใจเย็นๆ พวกเราล้วนอยู่กับคุณ ฉันและหลงเซียวล้วนอยู่ หายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้า……”
ลั่วหานให้เธอหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเธอถึงควบคุมสติได้
“ตอนที่พวกเราเกือบจะจบ บริษัทการเงินของเส้าเอินมีชื่อเสียงมากพอแล้ว ตอนนั้นเขากำลังดำเนินสัญญาเงินกู้เพื่อการลงทุนกับบริษัทใหญ่ๆหลายบริษัท ถ้าสามารถทำสำเร็จ นั้นเขาก็สามารถได้เงินลงทุนมา100ล้าน 100ล้าน ในตอนนั้น เป็นตัวเลขที่ใหญ่มากๆ”
แม้เป็นปัจจุบัน 100ล้านก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะอยู่
ชายหนุ่มที่มีฐานะธรรมดา เพื่อความรักเลยใช้ความสามารถของเขาเองสร้างทางที่สว่างออกมาทางหนึ่ง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเขาจะลำบากแค่ไหน
ลั่วหานอยากจะร้องไห้ แต่ไม่กล้า
อารมณ์ของหลงเซียวแปรปรวนมาก คุณพ่อที่เขาไม่เคยเจอหน้ามาก่อน ได้จดจำเอาไว้ในใจของเขาด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้ เป็นคนแข็งแกร่ง ไม่เกรงกวาดใดๆ ฉลาด และสง่างาม
“ตอนนั้นเส้าเอินลังเลอยู่ว่า จะไปขอแต่งงานกับคุณตาคุณยายคุณก่อนหรือเปล่า แล้วค่อยไปทำธุรกิจใหญ่ แต่ฉันพูดกับเส้าเอินว่า ผู้ชายที่ดีควรมีทะเยอทะยานและอุดมคติที่สูงส่ง ฉันจะรอเขาอยู่ที่นี่ ให้เขาไปทำธุรกิจอย่างสงบใจก่อน”
ถ้าย้อนคิดไปแบบนี้ นั้นความเสียดายที่สุดของตลอดชีวิตนี้ก็เกิดขึ้นที่นี่แหละ
“ถ้าเกิดฉันรู้ก่อนว่า……เรื่องจะดำเนินการไปเป็นเช่นนั้น นั้นตอนนั้นหนีตามกันไปฉันก็จะอยู่ด้วยกันกับคุณพ่อพวกคุณ!ตอนนั้นฉันโง่จริงๆ โง่จริงๆเลย!”
หยวนชูเฟินเกิดความเศร้าโศกมาจากใจ อดไม่ได้ที่จะสั่นตัวอย่างรุนแรง เธอกระซิบซ้ำแล้วซ้ำเล่า”ฉันโง่จริงๆ โง่จริงๆเลย!”
“แม่ ผ่านไปแล้ว ล้วนผ่านไปแล้ว แม่ ดูพวกเราหน่อย คุณมองมาที่พวกเราหน่อย”ลั่วหานกอดเธอไว้”แม่ ไม่พูดแล้วนะ อย่าพูดแล้ว คุณต้องการพักผ่อน”
หลงเซียวไม่ยอมให้คุณแม่ต้องรับความทรมานอีก จึงเปิดผ้าห่มออกมาคลุมที่ไหล่ของเธอ กระซิบว่า”แม่ ทีหลังค่อยว่ากัน”
หยวนชูเฟินส่ายหน้า และหลับตาลง
น้ำตาทีละหยดหล่นลงมาจากใบหน้าของเธอ ผ่านไปจากแก้มขวาของเธอค่อยๆไหลไปที่มุมปากของเธอ แต่ราวกับว่าไหลไปในใจของหลงเซียวและลั่วหานพร้อมกัน ความหนักหน่วง การทอดถอนใจและความเศร้าล้วนโผล่ตัวขึ้นมาในหัวใจ
“แม่……”
นิ้วมือของหลงเซียวเช็คนํ้าตาบนใบหน้าของเธอไป ขมวดคิ้ว เจ็บปวดใจจนไม่สามารถระงับได้
หยวนชูเฟินสะบัดมือของเขาออก พูดด้วยเสียงแหบแห้งและทุ่มต่ำ”ให้ฉันพูดให้จบ ฉันทนเอาไว้ 30 ปีแล้ว ค้างไว้ในใจฉันนานพอแล้ว พวกคุณให้ฉันพูดให้จบ”