ตอนที่ 560 ลองมองในตา มีความสุขซ่อนอยู่ในใจ
ในที่สุดช่วงเวลาแห่งเทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่ทุกคนจะมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็มาถึง
ในตัวเมืองหลวงวันนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องครึกครื้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่ที่ห้างจนถึงถนน ตั้งแต่ซอยเล็กๆ จนถึงบ้านพักที่หรูหรา ทุกที่จะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ปีติสุข
โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ส่องแสงสีสันสวยงาม อีกทั้งเต็มไปด้วยบรรยากาศการกินขนมไหว้พระจันทร์หลากหลายแบบ แถมยังมีเสียงดนตรีที่เคล้าคลอในหูตั้งแต่เช้ามาแล้ว
ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในประกาศ ว่าในที่สุดวันที่ดีก็มาถึงแล้ว
แต่ว่าหากเปรียบด้วยเสียงวุ่นวายที่ภายนอกนั้น ด้านในรีสอร์ทหยีจิ่งกลับเงียบสงัด ราวกับอยู่นอกโลก
ลมในฤดูใบไม้ผลิก็พัดเข้ามาเอื่อยๆ จากหน้าต่างเข้ามาโดยผิวหนัง ทำให้รู้สึกสบายมาก
ลั่วหานกินข้าวมาก่อนแล้ว จากนั้นก็ดื่มน้ำอุ่นตามไปแก้วหนึ่ง ตอนนี้เธอกำลังเลือกชุดที่จะใส่ในคืนนี้ โดยมีอาเซียงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
“ชุดของคุณนายสวยอยู่แล้วนะคะ ไม่ว่าจะเลือกชุดไหนมาใส่ก็สวยทั้งนั้น! ฮิๆ อีกอย่างคุณนายก็สวยขนาดนี้ ต้องทำให้ทุกคนหลงใหลแน่นอนค่ะ!”
อาเซียงมองดูตู้เสื้อผ้าที่เปิดออกอย่างอิจฉา ตู้เสื้อผ้าในห้องนอนนี้ใหญ่มาก แต่หากเอาไปเปรียบกับที่แขวนเสื้อก็คงจะไม่ได้ต่างอะไรมากนัก เพียงแต่เสื้อผ้าด้านในส่วนใหญ่ ล้วนแล้วเป็นเสื้อผ้าที่หลงเซียวให้คนตัดชุดให้เธอ และเธอก็เลือกเฉพาะที่เธอชอบมาแขวนเอาไว้ เพราะเวลาทุกครั้งที่เปิดตู้ จะได้รู้สึกมีความสุข
ลั่วหานขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะใช้นิ้วมือวาดผ่านไปยังเสื้อผ้านั้น มีเสื้อผ้าตั้งหลายชุด ที่เธอยังไม่เคยสวมเลยสักครั้ง แต่ยิ่งมีเสื้อผ้ามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูละลานตามากเท่านั้น
“เย็นวันนี้มีงานเลี้ยงด้วย คงจะเลือกตามใจไม่ได้หรอก ฉันจะลองใส่ดูหลายๆ ชุดนะ เธอช่วยฉันดูหน่อยก็แล้วกัน” ลั่วหานหันไปเห็นชุดราตรีทรงยาวที่แขวนอยู่ด้านใน ก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย
ก่อนหน้านี้มีชุดตั้งหลายชุดที่เธอชอบ แต่ชุดราตรีก็สามารถใส่ได้เพียงงานละครั้งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ซ้ำได้ จึงทำได้เพียงแขวนมันไว้ในนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกในความทรงจำของเธอ
“ได้ค่ะๆ คุณนายลองใส่ดูสักรอบเถอะค่ะ ฉันอยากจะเห็นคุณนายใส่ชุดสวยๆ พวกนี้จังเลยค่ะ!” อาเซียงปรบมือร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ พร้อมทั้งเอาชุดราตรีสีขาวบริสุทธิ์ชุดหนึ่ง ออกมาจากตู้ด้วยความรู้สึกรอคอยและตื่นเต้น
ขณะเดียวกัน ณ ห้องหนังสือ
ร่างกายที่สูงโปร่งของหลงเซียว กำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง เผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา เขาเอามือหนึ่งค้ำหน้าต่างเอาไว้ ส่วนมือขวาก็ถือมือถือ เสื้อผ้าที่ขาวสะอาดของเขาตอนนี้ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์ ทำให้เหมือนได้กลิ่นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาบนตัวเขาเลย
“คุณนายเป็นยังไงบ้างล่ะ?” ถึงเสียงจะไม่ดังมาก แต่กลับให้ความรู้สึกขัดหูออกมาได้อย่างดี
อีกฝั่งของสายนั้น จางหย่งที่กำลังนั่งอยู่ในรถ มือซ้ายของเขาถือกล้องส่องทางไกล พร้อมทั้งใส่หูฟังอยู่ด้วย และกำลังสำรวจมองดูร่างกายที่ผอมเพรียว ที่ดูอยู่ห่างเพียงไม่กี่นิ้วอยู่
“คุณนายออกมาจากโรงพยาบาลแล้วล่ะ ดูเหมือนว่ากำลังแต่งตัวอย่างมีชีวิตชีวาอยู่น่ะนะ แถมยังใส่แว่นดำ ดูยังไงก็เหมือนจะไปหาใครเลยนะ เดี๋ยวผมจะตามไปก็แล้วกัน”
หลงเซียวใช้นิ้วมือที่เรียวยาวเคาะไปมาบนหน้าต่าง พร้อมด้วยใบหน้าที่ขมวดเข้ามานิดหนึ่ง “คุณนายเอาอะไรไปด้วยหรือเปล่า?”
“มีแค่กระเป๋าถือหนึ่งใบ ดูเหมือนจะไม่หนักมาก แต่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าด้านในเป็นอะไร รอเดี๋ยวครับ ดูเหมือนเธอจะเรียกรถได้แล้วล่ะ แล้วก็กำลังจะออกแล้วด้วย”
จางหย่งรีบติดเครื่อง ก่อนจะวางกล้องส่องทางไกลลง เพราะกลัวว่าหยวนชูเฟินจะไปไกล จึงรีบขับตามไปเพื่อรักษาระยะห่างไว้ทันที
หลงเซียวขมวดคิ้ว เขาถอนมือถือออกจากหูเพื่อมองดูเวลา “ตามเธอไป ต้องรู้ให้ได้ว่าเธอจะไปพบใครและทำอะไรกันแน่”
จางหย่งพยักหน้ารับทราบ แต่เขาก็มองไม่เห็นหรอกนะ “ได้เลยครับ นายท่านวางใจได้เลย เรื่องคุณนายตรงนี้ยกให้ผมเอง นายท่านจัดการเรื่องงานเลี้ยงคืนนี้ไปเถอะครับ ผมเองก็อยากไปร่วมงานวันนี้อยู่เหมือนกันนะครับเนี่ย”
หลงเซียวเผยรอยยิ้มมุมปากบางๆ แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาอย่างชัดเจน “ถ้าหากนายทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วง งานเลี้ยงก็พอจะให้นายมาร่วมผสมโรงได้แน่”
จางหย่งดีดนิ้วขึ้นอย่างดูเท่ “ได้เลยครับ ในเมื่อนายท่านพูดแบบนี้ ผมเองก็ต้องพยายามทำให้ถึงที่สุดแล้วล่ะ!”
แต่หลงเซียวก็ยังรู้สึกไม่วางใจ จึงพูดกำชับไป “ถ้าหากถูกคุณนายพบตัวเข้าล่ะก็ ก่อนอื่นต้องยืนยันความปลอดภัยของเธอก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรหุนหันพลันแล่นไปล่ะ”
“ครับ นายท่าน”
ที่เป็นหลักเกณฑ์ปกติ ที่จางหย่งเองก็เข้าใจได้
หลังจากวางสายไป หลงเซียวก็ยืนมองทิวทัศน์ด้านนอกอย่างเงียบๆ ตอนนี้ยังไม่ทันถึงช่วงเวลาของฤดูใบไม้ร่วงเลย ทำให้ตอนนี้เหล่าแมกไม้นานาพรรณต่างก็ขึ้นสูงสีเขียวชอุ่ม แต่การงอกงามแบบนี้มันก็เป็นแค่ภาพลวงตา เพียงแค่ลมฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทันที!
เขาเผยอยิ้มมุมปากขึ้น ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ดูลึกซึ้ง ยากจะคาดคะเนได้
พลันมือถือของเขาก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งบนหน้าจอตอนนี้มีชื่อของจี้ตงหมิงปรากฏขึ้นไปมา หลงเซียววาดมือเพื่อรับสาย ก่อนจะพูดอย่างไม่รีบร้อน “จัดการเสร็จแล้วหรือ?”
จี้ตงหมิงที่กำลังใส่หูฟังอยู่ตอนนี้ กำลังเดินก้าวเท้ายาวไปที่รถ ท่ามกลางถนนที่เต็มไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ พร้อมด้วยถุงกระดาษใบใหญ่บนมือของเขาสองใบ “เรียบร้อยครับ ราบรื่นมากเลยครับ ตอนนี้ผมกำลังเอาของไปส่งให้นายท่านนะครับ”
“ดีมาก มาเลย” หลงเซียวอารมณ์ดีอย่างมาก จนเผยรอยยิ้มขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ
จี้ตงหมิงเองก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้นายท่านอารมณ์ดี จึงหัวเราะพูด “นายท่านจัดการคืนนี้ไว้ยังไงบ้างหรือครับ? นอกจากที่นายท่านบอกผมแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกด้วยหรือเปล่าครับ?”
งานเลี้ยงอะไรกันล่ะ นายท่านกับคุณนายหลงเองก็ไปเข้าร่วมงานพวกนี้ตั้งกี่รอบแล้ว แต่ว่านะ ทุกครั้งก็เห็นตั้งหน้าตั้งตารออย่างมีความหวังแบบนั้นตลอด!
หลงเซียวเคาะลงบนหน้าต่างเบาๆ สองครั้ง มือของเขาค่อยๆ วาดผ่านใบไม้ที่ดูสะอาด ของต้นพลูด่างที่ขึ้นอยู่ขอบหน้าต่างนั้น “คืนนี้เป็นแค่คืนรวมญาติเท่านั้น นายคิดว่าฉันจะจัดอะไรงั้นหรือ?”
จี้ตงหมิงเองก็พอมีสติปัญญาอยู่บ้าง แต่ทำไมกลับใช้กับนายท่านไม่ได้เลยล่ะ?
“แหะๆ ถ้านายท่านจัดยังไงผมก็จะเชื่อฟังตามนั้นล่ะครับ!”
ไม่ว่านายท่านจะทำอะไร ขอแค่เขาร่าเริง ก็ถือเป็นความปรารถนาสูงสุดของจี้ตงหมิงแล้วล่ะ
“วันรวมญาติแบบนี้ อย่าคิดอะไรให้มันซับซ้อนเกินไปล่ะ” หลงเซียวพูดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
จี้ตงหมิงรู้สึกตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุข อย่าคิดอะไรให้ซับซ้อนงั้นหรือ? ช่างมันเถอะ เขาก็แค่รู้สึกว่าตัวเองคิดไปไกลก็เท่านั้น “ใช่แล้วนายท่าน ผมให้บัตรเชิญกับโม่หรูเฟยไปแล้วนะครับ แต่ว่าเธอจะมาหรือเปล่านี่สิ? จริงๆ…หรือครับ?”
ทั้งสองคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเลย
“เหอะ เธองั้นหรือ? เธอจะยอมทิ้งโอกาสดีๆ แบบนี้ไปได้ยังไงล่ะ?”
หลงเซียววางมือถือลง ก่อนจะหันหลังเดินไปที่คอมพิวเตอร์ เวลาที่แสดงอยู่มุมขวาล่างของหน้าจอตอนนี้ เผยให้เห็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว ถ้าอย่างนั้นมันก็แสดงว่านักแสดงของเขา ต่างก็เริ่มเตรียมพร้อมแล้วสินะ
……
โม่หรูเฟยเดินกอดอกมานั่งอยู่ในโถงรับแขก เธอมองบัตรเชิญที่อยู่บนโต๊ะกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า ในแววตาของเธอเผยให้เห็นการคาดหวัง และความโกรธสลับซับซ้อนไปมา จนดูเหมือนจะมีเปลวไฟปะทุออกมาจากดวงตาสีดำของเธอเลย จากนั้นเธอก็คว้าเอาบัตรเชิญนั้น มากำไว้ในมือแน่น!
บัตรเชิญแบบแข็งถูกเธอบีบเสียจนเปลี่ยนรูปร่างไป เพื่อระบายอารมณ์ออกมา จากนั้นเธอก็ค่อยๆ คลายฝ่ามือออก ก่อนจะคลี่กระดาษนั้นให้กลับมาเรียบเหมือนเดิม
การกระทำที่เป็นลำดับของเธอแบบนั้น อยู่ในสายตาของซุนปิงเหวินทั้งหมด เขาเผยอริมฝีปากขึ้นด้วยความเหยียดหยาม พลันความโกรธที่ปะทุขึ้นในดวงตาก็พลันมลายหายไป เขาเลื่อนรถเข็นเข้ามา ก่อนจะเผชิญหน้ากับโม่หรูเฟย “ทำไมล่ะ? ยังอาลัยอาวรณ์อยู่อีกหรือ?”
โม่หรูเฟยตบบัตรเชิญนั้นลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง “เพี๊ยะ!” เธอยิ้มอย่างเหยียดหยาม ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาไป “อาลัยอาวรณ์หรือ? เฮอะ มีอะไรน่าอาวรณ์นักล่ะ? ฉันก็แค่รู้สึกมันน่าเหลวไหลน่ะ งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของหลงเซียว จะเชิญฉันไปเพื่ออะไรกัน?”
ซุนปิงเหวินเปิดบัตรเชิญออกดู ก็เห็นโลโก้สีทองอร่าม โดยมีลายเซ็นของหลงเซียวอยู่ที่มุมขวาล่าง “งานเลี้ยงของหลงเซียว มีคนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันอยากจะไป แล้วคุณไม่อยากไปจริงหรือ? คุณเองก็น่าจะรู้ดีนะ ว่าหลงเซียวไม่เคยจัดงานเลี้ยงแบบนี้เองมาก่อน การที่ถูกเขาเชิญแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของฐานะด้วยนะ”
ซุนปิงเหวินยัดบัตรเชิญนั้นลงในมือของเธอ ก่อนจะกำมือเธอไว้แน่น “ในงานเลี้ยงเองก็มีผู้ลากมากดีทั้งหลายตั้งมากมาย ถือเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยม ที่จะให้คุณได้ขึ้นไปเดินบนเวทีระดับโลกอีกครั้งยังไงล่ะ คุณไม่อยากจริงๆ หรือ?”
คำพูดนี้มันเหมือนกับสะกดใจของโม่หรูเฟยเอาไว้ สติปัญญาของเธอพลันเอนเอียงไปข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว เธอขยำหมออิงบนโซฟาไว้แน่น จนเกือบจะทำมันให้เป็นรู “คุณจะสนับสนุนฉันหรือไง?”
ซุนปิงเหวินวางมือไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะทำท่าทางที่ดูเหมือนสามีที่ดีออกมา “แน่นอนสิ อีกอย่างโอกาสที่ดีแบบนี้ด้วย ผมเองก็ต้องเข้าร่วมด้วยเหมือนกัน ผมเองก็สงสัยในงานเลี้ยงของหลงเซียวเหมือนกันนี่ล่ะ”
แววตาที่เป็นประกายของโม่หรูเฟย พลันมอดดับลงอีกครั้ง ซุนปิงเหวินก็จะไปงั้นหรือ?
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ตอนนี้ไปเลือกชุดกันก่อนเถอะ” โม่หรูเฟยตั้งใจพูดแบบไม่เป็นอะไร
“แน่นอนอยู่แล้ว งานเลี้ยงที่ดูยิ่งใหญ่แบบนี้ คุณภรรยาต้องแต่งตัวให้สวยสุดๆ ไปเลยนะ” ซุนปิงเหวินคว้ามือของโม่หรูเฟยเอาไว้ ก่อนจะก้มตัวลงไปจูบบนหลังมือของเธอ
ในมุมที่โม่หรูเฟยไม่อาจเห็น ความโกรธของเขาก็คุกรุ่นไปมาในแววตาของเขา
……
หลังจากที่ลั่วหานลองใส่ดูหลายๆ ชุด มันก็ไม่ได้ดูยาวเกินไป แต่กลับสั้นเกินไป มันไม่ได้ดูสวยงามเกินไป แต่กลับเคร่งขรึมเกินไป ไม่ว่าจะยังไงก็ดูเกินความจริงทั้งนั้น
ดังนั้นหลังจากลองใส่ดูนับสิบชุด กลับไม่มีชุดไหนที่เธอต้องตาเลย
กลับกันหลังจากที่เธอลองใส่ชุดนั้นชุดนี้ไปมา เธอก็เหนื่อยจนหอบ สุดท้ายเธอก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา ก่อนจะดื่มน้ำอึกใหญ่ถามอาเซียงว่า “ดูเหมือนว่าจะไม่มีตัวไหนเหมาะเลยนะ จะทำไงดีล่ะ?”
อาเซียงก็ทำสีหน้ากังวลใจ จากนั้นก็เอาชุดราตรีพวกนั้นมาจัดระเบียบให้ดี “คุณนายคะ ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าคุณนายจะสวมอะไรก็ดูสวยไปหมดเลยนะคะ ทำไมถึงไม่ชอบเลยล่ะคะ? สีบริสุทธิ์อย่างสีขาว สีสวยมีระดับอย่างสีชมพู ดูเยาว์วัยเหมือนกับสีเหลือง ดูสูงส่งอย่างสีม่วง ดูสนิทสนมอย่างกับสีเมล็ดข้าวสาร…ดูสิคะ ชุดพวกนี้สวยๆ ทั้งนั้น! มีชุดไหนที่คุณชายสั่งตัดให้คุณนายไม่ดีบ้างล่ะคะ”
ลั่วหานเอามือทั้งสองข้างลองวัดเอวตัวเอง ดูเหมือนว่าหลังจากท้อง รอบเอวของเธอจะใหญ่ขึ้นมาหน่อยนะ ก่อนหน้านี้ชุดที่ตัดออกมาตามไซส์เดิมของเธอพวกนั้น กลับมีรายละเอียดที่แตกต่างกันหมดเลย
“ใช่แล้ว เธอช่วยฉันหาหน่อยสิ ฉันมีชุดกระโปรงสีน้ำเงินอยู่ชุดหนึ่ง ถึงรูปแบบจะดูเรียบง่าย แต่ก็พอดีตัวกับฉันเลยนะ ลองหาดูหน่อยสิ”
ลั่วหานวางแก้วน้ำลง ก่อนจะเริ่มพลิกตู้เสื้อผ้าไปมาต่อ แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะทำยังไง เธอก็หาชุดนั้นไม่เจอ
อาเซียงเองก็หาชุดสีน้ำเงินนั้นไม่เจอเช่นกัน “คุณนายทำมันหายไปแล้วหรือเปล่าคะ?”
“ไม่หรอก ชุดนั้นตอนที่ฉันพาไปที่เมืองเจียงเฉิงฉันก็เอากลับมาแล้วนะ แถมยังไม่เคยใส่มาก่อน น่าแปลกจริง ทำไมถึงหาไม่เจอนะ?” ลั่วหานพลิกดูตู้เสื้อผ้าอีกรอบ แต่ก็หาไม่เจอจริงๆ
ซึ่งชุดนั้นเป็นชุดที่เธอชอบอย่างมาก อีกอย่างในตอนแรกเธอก็หวังว่าจะสวมชุดนั้น ที่ทำออกมาเป็นชุดคู่รักไปกับหลงเซียวด้วย
“นี่คุณกำลังลองเสื้อผ้าหรือกำลังปล้นกันแน่เนี่ยคุณภรรยา?” พลันร่างกายสีขาวผ่องของหลงเซียว ก็เอียงพิงประตู พร้อมทั้งส่งสายตาที่อ่อนโยนมาให้ลั่วหาน
“ไม่ต้องพูดหรอก ตอนนี้ฉันอ้วนจะตายอยู่แล้ว ชุดก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะไม่พอดีตัวหมดเลย หากจะไปสั่งตัดชุดตอนนี้คงจะไม่ทันด้วย เพราะงั้นฉันเลยหาชุดกระโปรงสีน้ำเงินชุดก่อนหน้านี้อยู่น่ะ คุณจำได้ไหม? ที่ฉันพาชุดไปเมืองเจียงเฉิงครั้งก่อนน่ะ”
พอคิดถึงเรื่องที่เมือง หลงเซียวก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ เขาเพียงแค่ยิ้ม ก็ทำให้เห็นความอารมณ์ดีปรากฏอยู่เต็มทั้งใบหน้า
“หรือคุณภรรยาจะไม่รู้งั้นหรือ อิงตามนิสัยและคะแนนความสวยของคุณ ไม่ว่าจะสวมชุดอะไรก็เปรียบได้ดั่งเสื้อผ้าที่ทันสมัยไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ต้องมาประจบฉันเลย จะให้ภรรยาของคุณเลือกเสื้อผ้าใส่เข้างานได้ตามใจได้ยังไง แบบนั้นน่าอายออก” ลั่วหานหาไม่เจอจริงๆ จึงทำได้เพียงยอมอย่างจนปัญญา เอาเถอะ แค่เลือกชุดที่พอใช้ได้แบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ก็พอแล้วล่ะ
“ก็เพราะว่าเป็นงานเลี้ยงของผม ก็เลยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าแบบนี้หรือ?” ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เธอสนใจ หรือสิ่งที่เธอตั้งใจ เขาก็จะดูเก็บรายละเอียดนั้นไว้ พร้อมรู้สึกปีติสุขในใจ
ลั่วหานไม่เข้าใจความหมายขยายความที่เขาพูดถึง จึงพยักหน้าตอบ “ก็นี่เป็นงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์นี่นา ฉันก็หวังว่าจะผ่านไปอย่างราบรื่นสำเร็จลุล่วงนี่นา”