ตอนที่ 647 โดนด่าเป็นลูกหมา
เฉินเจาโมโหเส้นเลือดหน้าผากเห็นชัด มือสั่น ชี้นิ้วไปที่เจิ้งซิ่วหยา “เธอ……เธอ……เธอจะให้ฉันพูดอะไรดี เธอเคยปิดคดีมาหลายคดีล้วนดีหมด แต่เวลาสำคัญเธอทำบ้าอะไร เธอรู้ความหนักเบาไหม คนนี้เป็นเบาะแสเดียวที่เรามี บ้าเอ้ย เธอเข้าใจไหมหนึ่งเดียว”
เข้าใจ…..หนึ่งเดียว ก็คือมีแค่อันเดียว ไม่มีอีกแล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจิ้งซิ่วหยาคงตอบกลับไป แต่ตอนนี้ เธอก็ทำได้แค่แกล้งเป็นลูกหมา “ค่ะ เข้าใจ”
เฉินเจากระทืบเท้า รองเท้าหนังสือดำกระทืบอย่างอึดอัด “รู้แล้วยังไปอีก? พวกเราติดตั้งเครื่องติดตามบนตัวเขาลำบากแค่ไหนเธอรู้ไหม? หัวร้อนขึ้นมาอะไรก็ไม่สนใจแล้ว”
เจิ้งซิ่วหยาถูกด่าจนไม่เหลือชิ้นดี อีกอย่างเธอตอบกลับไม่ได้
เฉินเจายื่นมือ สายตาแดงคู่นั้นเหมือนยิงทะลุร่างคนได้ ถ้าเขามีความสามารถนั้น
เจิ้งซิ่วหยามองเขา “อะไร?”
“ปืน กล้องวงจรปิดแสดงว่า เธอใช้ปืนในเขตบ้านพักอาศัย เธอ……ต้องการอะไร” เฉินเจาไม่ค่อยด่าคน แต่วันนี้เขาใช้คำด่าทั้งหมดใช้จนหมดแล้ว
เจิ้งซิ่วหยาก้มหน้าอย่างไม่ยอม แต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน เพราะยังไงก็เป็นเธอที่ผิด
แต่ว่า ให้เธอคืนปืน เธอไม่ยอม
ไม่มีปืนยังเป็นตำรวจได้ยังไง?
“รายงานหัวหน้า ดิฉันให้ไม่ได้ คนร้ายฉันทำหายเอง ฉันจะหาวิธีตามกลับมาให้ได้” เจิ้งซิ่วหยาเงยหน้า รับสายตาอันแดงคมของเขา
“ฝันกลางวันบ้านเธอซิ ตามกลับมา? เธอคิดว่าคนที่เธอเจอคือขโมยธรรมดา? นี่มันนักโทษติดคดี มีพรรคพวก มีขบวนการ มีคนหนุนหลังอยู่ เขาต้องรู้วิธีซ่อนตัว”
ใช่ มันถูกต้อง เจิ้งซิ่วหยาก็รู้
“ฉันขอทำความดีลบล้างความผิด หัวหน้าอย่าเพิ่งโมโห ฉันจะคิดหาวิธี” เจิ้งซิ่วหยาถูกด่าเป็นลูกหมา แต่ก็ยังคงสงบสติอารมณ์ ซึ่งเห็นได้ยากมาก
เฉินเจายกมือขึ้น เขาตบไปที่หน้าเธออย่างแรง
“หัวหน้า” โจวจั่นเริ่มทนไม่ไหว
“มีลมก็รีบพาย”
ก็ได้ ด่าคนก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ด่าเยอะเดี๋ยวก็ถนัดเอง
โจวจั่นก้าวไปข้างหน้า อยากรับทุกอย่างไว้เอง “หัวหน้า พวกเราพบว่าผู้ต้องสงสัย เขาเข้าไปในตึกบ้านพักคนเดียว จึงออกปฏิบัติการ อยากจับเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะหนีไป ไม่ใช่ความผิดของตำรวจเจิ้ง เป็นความรับผิดชอบของผมเอง”
เฉินเจาไม่ได้วางมือลง แต่หันไปวางไว้บนไหล่ของโจวจั่น ดึงคอปกเสื้อเขา “อยากรับโทษแทน? ลองมองตัวเองดูว่าแบกไหวไหม?”
โจวจั่น “……”
ไม่แค่ด่าคนตรงไปตรงมา ยังดูถูกกันอีก
“หัวหน้า ฉันผิดเอง ฉันยอมรับ ฉันให้โจวจั่นไปกับฉันเอง ไม่โทษเขา” เจิ้งซิ่วหยายอมรับ
เฉินเจาหัวเราะ เขาโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแสดงตัวอะไรพวกนี้ ถ้ามีใจจริง ก็คิดหาวิธีจัดการความวุ่นวายนี้ให้เรียบร้อย”
ยังไงก็เป็นลูกน้องในทีม สำหรับลูกน้องแล้วก็ยังมีความรักใคร่ ด่าไปรอบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เรียกปืนคืน
แต่เวลาต่อมาหนึ่งชั่วโมง ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ต่างก็โทรเข้ามาต่อว่า ให้พวกเขาคิดทบทวนอย่างดี แล้วให้เวลาหนึ่งเดือนในการปิดคดีนี้
หนึ่งเดือน ยาวไหม? คดีนี้พวกเขาติดตามมาสี่สิบวันแล้ว มีความคืบหน้าแค่นี้
หนึ่งเดือน สั้นไหม? ช้าไปแค่นาทีเดียว ก็อาจมีเด็กหรือผู้หญิงคนหนึ่งได้รับอันตราย
“ได้ครับ ได้ครับ”
“ครับ ครับ ครับ”
“ครับ ท่านวางใจได้ครับ “
เฉินเจาต้องขายหน้าต่อหน้าผู้บังคับบัญชาหมดแล้ว เขาด่าเจิ้งซิ่วหยาอย่างลูกหมา ตัวเองยิ่งถูกด่ายิ่งกว่าลูกหมา
โทรศัพท์หยุดดังสักที ค่ำคืนก็ครอบงำออฟฟิศ เงียบสงบ ตื่นเต้น
เฉินเจาสูบบุหรี่ เป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวน บุหรี่ที่เฉินเจาสูบเป็นบุหรี่ไม่กี่หยวน มีกลิ่นความซึมเศร้าอยู่
เจิ้งซิ่วหยาได้กลิ่นความซึมเศร้า
เฉินเจาพ่นควันออก ควันปิดบังหน้าเขา “ข้างบนพูดแล้ว ภายในหนึ่งเดือนปิดคดีไม่ได้ จะปลดตำแหน่งฉัน เธอสองคนก็จะถูกย้ายไปหน่วยต่างจังหวัด”
“หา?”
หนักขนาดนี้?
“หาอะไร? เธอสองคน…..แม่งไม่มีสมอง” เฉินเจาสูบบุหรี่เข้าไป แรงเขี่ยบุหรี่ยังไม่มี ตกลงมาที่ขาของเขา ชุดตำรวจเขาไปทั้งแผ่น
“ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ค่อยประชุมหาวิธี” เฉินเจาลุกขึ้น นวดขมับอย่างเอือมระอา “แม่งไม่มีสมองกันเลย”
คำด่าสุดท้าย ก็ด่าตัวเองเหมือนกัน
เฉินเจาดับบุหรี่ เดินจากไป
บรรยากาศในออฟฟิศยิ่งดูแปลก
เจิ้งซิ่วหยาตาดำ “ขอโทษ”
เธอพูดกับโจวจั่น
โจวจั่นตกใจนิดหนึ่ง “หา? ขอ…..ขอโทษอะไร? พี่ไม่ได้บังคับผมสักหน่อย ผมเต็มใจเอง”
เจิ้งซิ่วหยามองดูก้นบุหรี่ในกระบอกเขี่ยบุหรี่ “ฐานะทางบ้านหัวหน้าลำบากมากใช่ไหม?”
โจวจั่นพยักหน้า “อืม ตอนกินข้าวด้วยกัน หัวหน้าเคยพูด พ่อแม่อายุมากแล้ว หลังแต่งงานเมียก็คลอดลูกทีเดียวสามคน สำหรับคนอื่นแล้วมันคือข่าวดี แต่สำหรับบ้านเขาแล้ว ค่อนข้างหนักหน่อย ก็เลย……”
เพราะฉะนั้นหัวหน้ากินข้าวก็จะกินที่ราคาถูกที่สุด บุหรี่ก็สูบของถูก แต่บุหรี่ก็เลิกยาก ทำอาชีพอย่างพวกเขา มันเครียด ไม่สูบบุหรี่จะทนได้ยังไง?
ถึงจะไม่ได้จนถึงขนาดอดข้าว แต่อยู่ในเมืองหลวงแบบนี้ ลูกสามคน…..พระเจ้า แค่คิดก็รู้
เจิ้งซิ่วหยาเงียบ เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้
“ถ้าหัวหน้าถูกปลด ฉันต้องรับผิดชอบ แม่งฉันมันคนผิดใหญ่หลวงที่สุด” เธออยากตบตัวเอง
โจวจั่นเหมือนคิดอะไรออก รีบพูดขึ้นมา “อย่าพูดแบบนี้ ถ้าพี่รู้สึกผิด….ยกโทษให้ตัวเองไม่ได้ พี่ก็สนับสนุนทุนการศึกษาให้ลูกเขาก็พอ เฮอะๆ”
เฮอะๆพ่อเธอซิ
“กลับกันเถอะ เจอกันพรุ่งนี้” เจิ้งซิ่วหยาตบไหล่เขาอย่างหมดแรง ไม่ได้มีความกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม
นั่งเข้าไปในรถ เจิ้งซิ่วหยาทุบลงไปบนพวงมาลัย
เวลาเดียวกัน มือถือเธอดังขึ้น
เป็นข้อความ
คำพูดอันอ่อนโยนของถังจิ้นเหยียนอยู่บนหน้าจอมือถือ แต่ละคำพูด ชัดเจน เหมือนคนของเขา สว่างสดใส ทุกรอยยิ้ม ทุกฝีก้าวเหมือนพระอาทิตย์
“นอนรึยัง? เหนื่อยไหม? ข้อความเมื่อกี้ไม่ได้อ่านเหรอ?”
ถามมาสามคำถามติดต่อกัน มีความลึกซึ้งอยู่ในนั้น
นี่เป็นการตีความหมายของเจิ้งซิ่วหยา
ไม่รู้ยังไง ความรู้สึกหดหู่ขึ้นมาในใจ เจิ้งซิ่วหยาอยากร้องไห้ เธอไม่ได้ตอบข้อความ แต่โทรกลับไปหาเขา
โทรศัพท์ดังครั้งเดียวก็ถูกรับขึ้น ถังจิ้นเหยียนน่าจะถืออยู่ในมือ
“ถังจิ้นเหยียน……” เธอใช้กระดาษถูที่จมูก เรียกชื่อเขา
คนฝั่งโน้นกำลังอยู่ภายใต้แสงแดดของเมืองนิวยอร์ก แสงแดดหลังเที่ยงส่องเป็นสีขาว
“เป็นอะไร? ร้องไห้เหรอ?” ถังจิ้นเหยียนรู้สึกได้อย่างฉลาด
“ไม่ใช่ ร้องอะไร? ฉันไม่ได้รอง แค่เป็นหวัด” เธอโกหก
ถังจิ้นเหยียนตอน “ฤดูฝนเป็นหวัดง่าย อุณหภูมิเช้าเย็นต่างกันเยอะ ตอนกลางคืนห่มผ้าดีๆ ดืม…..น้ำขิงหน่อย”
บอกว่าดื่มน้ำอุ่น เหมือนไม่ค่อยจริงใจ
เจิ้งซิ่วหยาเอนไปบนเบาะ เงยหน้าขึ้นมองฟ้า คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ปัญญาอ่อนจริงเธอ
เมื่อกี้เห็นคนร้ายวิ่งหนี ไม่แค่ไฟถนน ยังมีแสงจากพระจันทร์
ตีสองแล้ว แสงจันทร์ก็ใกล้จางหายไปทางทิศตะวันตกแล้ว ค่ำคืนในเมืองหลวงผู้คนก็นอนหลับกันแล้ว
“อืม ฉันรู้ อันนั้น ถังจิ้นเหยียน คุณอย่าลืมว่าฉันเป็นแฟนรับจ้างของคุณนะ” เธอรู้สึกน้ำตาคลอ อยากร้องไห้ เธอทำผิดจนทำให้ผู้ใหญ่ในกรมโกรธ ทำให้หัวหน้าต้องซวยไปด้วย
เธออยากกอดอยู่ในอ้อมกอดของคนรัด ร้องไห้ออกมา อ้อนเขา ระบายกับเขา ให้เขาปลอบและให้กำลังใจ
แต่วันนี้ อยู่ห่างกันคนละซีกโลก สิ่งที่เธอได้ก็มีแต่เสียงในสาย เสียงนี้กลายเป็นที่พึ่งของเธอ โอบล้อมเธอไว้
หนึ่งเดียว…..เธอไม่ชอบคำนี้เลย
ถังจิ้นเหยียนไม่ค่อยชิน “อืม……ไม่ลืม”
เมื่อคืนใช้ไปรอบหนึ่ง
เจิ้งซิ่วหยาหมุนกุญแจ สตาร์ทเครื่อง “ห้ามลืม ไม่อย่างนั้นฉันจะตามคุณไปถึงอเมริกา”
สายตาอันอบอุ่นของถังจิ้นเหยียนเต็มไปด้วยความกังวล “คุณอยู่ข้างนอก?”
เจิ้งซิ่วหยาเพิ่งรู้ตัว บ้าเอ้ย เธอสตาร์ทรถทำไม
“ฉันทำกะดึก เพิ่งเลิกงาน กำลังจะกลับบ้าน เอ่อ…..ฉันเชื่อมสายกับรถ ไม่กระทบการขับรถ คุณอย่าวางสายนะ”
คำขอร้อง ความจริงใจ คำถามอย่างระมัดระวัง ล้วนมาจากความรักที่เธอมีต่อเขา
ปากกาของถังจิ้นเหยียนหลุดลงไปบนหนังสือ กระดาษที่สะอาดถูกสีปากกาเปื้อนเป็นรอย “ได้ ผมไม่วาง คุณขับช้าๆ”
เจิ้งซิ่วหยาเงยหน้า เธอไม่อยากร้องไห้ เธอไม่ใช่คนชอบร้องไห้ แต่ว่า…..ทำไมเธออั้นไม่อยู่ ทำไมเธอได้ยินเสียงของถังจิ้นเหยียนแล้วมันทำให้อยากร้องไห้?
“ได้ คุณเล่าเรื่องของคุณที่อเมริกาให้ฉันฟังหน่อย ขับรถด้วยความเหนื่อยมันอันตราย คุณพูดกับฉันจะได้ไม่ง่วง”
เจิ้งซิ่วหยาที่เด็ดเดี่ยวเด็ดขาด กลายเป็นแมวน้อยขี้อ้อนแล้ว ซบบนไหล่ของใครบางคน ขยี้หัวใจของใครบางคน
ถังจิ้นเหยียนดูเวลา ห่างจากเวลาคาบเรียนช่วงบ่ายยังเหลืออีกหนึ่งชั่วโมง เพียงพอแล้ว
“อืม”
เสียงอันอบอุ่นของเขา เรียบง่ายและตั้งใจเล่าเรื่องในโรงเรียนที่เขาพบเจอ นักเรียนที่สนุก การสอนที่สนุก และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโรงเรียน
เจิ้งซิ่วหยาฟังไปก็ยิ้มไป “คิดไม่ถึงว่าหมอถังกลายเป็นครูแล้วจะอารมณ์ดีขนาดนี้ ยังเล่าเรื่องตลกให้นักเรียนฟังอีก”
พูดกันตลอดทาง เธอก็ขับรถมาถึงบ้าน เปลี่ยนระบบเชื่อมต่อรถเป็นระบบมือถือ ก็ยังไม่อยากวางสาย
“ถึงบ้านรึยัง?” ถังจิ้นเหยียนได้ยินเสียงลิฟต์ เสียงเปิดประตู
“ถึงแล้ว”
ถังจิ้นเหยียนวางใจแล้ว “อาบน้ำอุ่น แล้วดื่มน้ำขิงด้วย ถ้าไม่กลัวบวมน้ำ ก็ดื่มน้ำเยอะหน่อยก็ได้”
เธอกลัวอะไรบวมน้ำ คนในใจเธอไม่ได้อยู่ข้างกายสักหน่อย
“ได้ ฉันจะดื่มน้ำแก้วใหญ่เลย”
ถังจิ้นเหยียนหัวเราะ “อย่าดื่มเยอะ เดี๋ยวกลางคืนตื่นมาเข้าห้องน้ำลำบาก”
“ฮา ฮา ฮา ใช่ ใช่”
สุดท้าย เธอก็หัวเราะ ความอึดอัดในใจก็หายไป พรุ่งนี้จะเป็นยังไงไม่ว่า วันนี้เธอพอใจแล้ว
ถังจิ้นเหยียนกำชับเธอหลายคำ ก็วางสาย
มีคนมาเคาะประตูออฟฟิศ “ศาสตราจารย์ วิชากายวิภาคศาสตร์ จะเริ่มแล้ว”
ผู้ช่วยเข้ามาเตือนเขาเรื่องเวลาสอน
ถังจิ้นเหยียนพยักหน้า “ผมไปเดี๋ยวนี้”
ก้มหน้า เขาเตรียมเอกสารในการสอน ทันใดนั้น เขาตะลึง
เพราะว่าบนหนังสือหน้าที่เปิดอยู่ เขา……เขาเขียนชื่อของคนคนหนึ่งเต็มหน้า
ไม่รู้ตัวเลย จำไม่ได้เลย เขาเขียนชื่อเจิ้งซิ่วหยาไปหลายสิบรอบ โดยเฉพาะคำว่า “หยา” เขาเขียนไปหนึ่งบรรทัด…..
อยู่ระหว่างบรรทัดของหนังสือ
ถังจิ้นเหยียนตกใจกับการกระทำของตัวเอง
เตรียมเอกสารเรียบร้อย ถังจิ้นเหยียนก็ไปที่ห้องเรียน เตรียมจะปิดเสียงโทรศัพท์ ก็มีข้อความเข้ามา
เบอร์โทรคนแปลกหน้า มาจากประเทศจีน
“สวัสดีครับ หมอถัง หรือผมควรเรียกคุณว่าพี่จิ้นเหยียน ผมคือเกาจิ่งอาน น้องชายของเกาหยิ่งจือ ต้องขอโทษด้วยที่ใช้วิธีแบบนี้ทักทาย แต่เนื่องจากผมมีธุระ หวังว่าจะไม่ได้รบกวนคุณ ไม่ทราบว่า ตอนนี้คุณสะดวกไหม? ผมขอโทรหาคุณได้ไหมครับ?