เสียงของไป๋เจ่านุ่มนวล สีหน้าอ่อนโยน แต่เพื่อนในกลุ่มกลับฟังอย่างตั้งใจ ฟังอย่างอดทน ดูเคารพเชื่อฟังเป็นอย่างมาก
กระทั่งเยาซงซานก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
สภาวะความสามารถของสมาชิกในกลุ่มนี้ค่อนข้างธรรมดา นอกจากไป๋เจ่าแล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือเยาซงซาน
ไม่มีลั่วไหวหนานที่มีความสามารถในการต่อสู้ระดับสุดยอด แล้วก็ไม่มีถงหลู หรือว่ายอดฝีมืออย่างกั้วหนานซานและกู้หานเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่ผลงานของพวกเขาในการประลองวิถีพรตกลับยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก บนภาพเหยียบโลหิตแสวงหาดอกไม้ที่อยู่ในเรือนซีซานภาพนั้นเสร็จเรียบร้อยไปมากกว่าครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับคำชมเชยจากฉานจึด้วย
การคาดการและความสามารถในการสั่งการของไป๋เจ่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ความเป็นมิตรและความน่าเชื่อถือในสีหน้าและคำพูดเพียงพอที่จะทำให้เพื่อนในกลุ่มเชื่อมั่นในการวิเคราะห์ของนาง
นี่น่าจะเป็นความเป็นผู้นำแต่กำเนิดกระมัง
เพราะความมั่นใจของนาง เพื่อนที่เดิมไม่สบายใจหลังทราบข่าวเรื่องแมลงเส้นเหล็กก็พากันสงบลง จากนั้นเริ่มจัดวางค่ายกล
ไป๋เจ่าเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไป
ลมหนาวพัดขึ้นมาอีกครั้ง ม้วนเอาเกล็ดหิมะไปตกกระทบบนผ้าสีขาวของนาง
ศิษย์หญิงของสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นใช้สายตาสอบถามว่าจะเอาผ้าห่มไหม
ไป๋เจ่ายิ้มเล็กน้อย พลางส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าไม่ต้อง สองมือคว้ากุมปกเสื้อไว้แน่น
ความจริงนางมิได้เชื่อมั่นในตัวเองเหมือนอย่างที่แสดงออกมา
ศิษย์คุนหลุนที่ชื่อไต้อิ๋นผู้นั้นตายเร็วเกินไป
แต่ในเมื่อการประลองวิถีพรตยังไม่หยุด เช่นนั้นก็คงจะมิใช่คลื่นอสูร ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมากนัก
จากนั้นนางคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างมีความสุขขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ถามเพื่อนในกลุ่มว่า “วันนี้พวกเขาเดินทางไปถึงไหนแล้ว?”
เยาซงซานรับเอาของวิเศษจากเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งมาดู ก่อนจะเดินไปข้างกายนาง จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “ห่างจากพวกเราหกสิบกว่าลี้”
เมื่อหลายวันก่อน เพื่อนในกลุ่มของพวกเขาคนหนึ่งพบว่าเส้นทางการเคลื่อนที่ของกลุ่มกลุ่มหนึ่งดูค่อนข้างแปลกประหลาด คล้ายว่ากำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา
ความเร็วของกลุ่มนี้มิได้เร็วอะไร แต่ถ้าเดินทางด้วยความเร็วแบบนี้ต่อไป หลังจากนี้อีกสองวันทั้งสองกลุ่มก็จะได้พบกันตรงด้านหน้าภูเขาสีดำนั้น
ถึงแม้การแข่งขันในการประลองวิถีพรตจะดุเดือด แต่ไม่มีทางที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ผู้บำเพ็ญพรตฆ่าฟันกันเองแน่นอน
สีหน้าที่แปลกประหลาดของเยาซงซานย่อมมิได้เป็นเพราะเกิดความระมัดระวังตัว หากแต่เป็นเพราะจิ๋งจิ่วอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
……
……
แสงแดดยามเช้ามาเยือนค่อนข้างช้า
กลุ่มของไป๋เจ่ามุ่งหน้าต่อไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะ ค้นหาสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยเพื่อทำการสังหาร
ด้านหน้าย่อมต้องยิ่งอันตราย แต่นี่ก็คือความหมายของการประลองวิถีพรต
ท้องฟ้ายามเย็นมาถึงค่อนข้างเร็ว
เพื่อนในกลุ่มยืนล้อมอยู่ข้างกายไป๋เจ่า เริ่มฟังเสียงอันอ่อนโยนของนาง
วันนี้พวกเขาสังหารอสูรขาหิมะธรรมดาไปสองตัว ในขณะที่ต่อสู้มีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ด้วยกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบทิงเอ่อร์อยู่ในเปลือกของเหยื่อ แล้วก็ไม่พบแมลงเส้นเหล็กด้วย
เพื่อนในกลุ่มแยกย้ายไปเตรียมตั้งข่ายพลัง
ไป๋เจ่านั่งอยู่ท่ามกลางลมหิมะ ครุ่นคิดถึงเรื่องเรื่องนี้ ในใจยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ
เหตุใดผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตจำนวนมากขนาดนั้นถึงไม่มีใครพบแมลงเส้นเหล็ก แต่จิ๋งจิ่วและคนอื่นๆ ที่ออกเดินทางล่าช้ากว่าตั้งหลายวันกลับพบเข้า?
นางพลันถามขึ้นมาว่า “จิ๋งจิ่วถึงไหนแล้ว?”
เยาซงซานมองดูของวิเศษ กล่าวว่า “อยู่ห่างพวกเราไปสามสิบกว่าลี้ ทางตะวันตกเฉียงใต้”
เพื่อนในกลุ่มอีกสามคนที่เหลือสบตากัน จากนั้นมองไปทางเยาซงซาน
พวกเขาทราบว่าไป๋เจ่าสนใจเส้นทางการเดินทางของกลุ่มนั้นมาก แต่วันนี้นางมิได้ถามถึงพวกเขา หากแต่ถามถึงจิ๋งจิ่ว นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
“อย่ามองข้า ข้าไม่รู้อะไรจริงๆ”
เยาซงซานกล่าว “เท่าที่ข้ารู้มา อาจารย์อาจิ๋งจิ่วกับอาจารย์อาล่าเยวี่ยออกเดินทางท่องเที่ยวสองปี เวลาอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนแต่บำเพ็ญเพียรอยู่ในชิงซาน มิได้พบใครอื่น”
พวกเขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ นั่นสิ ในชิงซานยังมีเจ้าล่าเยวี่ยอยู่อีกคน
……
……
แสงแดดยามเช้ามาสายกว่าเมื่อวาน
ช่วงเวลากลางวัน พวกเขาไม่พบปีศาจแคว้นเสวี่ยแม้แต่ตัวเดียว กระทั่งหิมะก็หยุดตกแล้ว
ฟ้าดินเงียบสงบ พูดอีกอย่างคือวังเวง
เทือกเขาสีดำที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูเคร่งขรึมและเงียบสงบ ทำให้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
ตรงกลางเทือกเขาสีดำมีหุบเขาอยู่แห่งหนึ่ง สามารถทะลุไปยังสถานที่ที่ไกลออกไปได้ หรือก็คือแคว้นเสวี่ยที่แท้จริง
ไป๋เจ่ามองไปทางนั้น ในใจเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างรุนแรง จากนั้นกล่าวว่า “จุดไฟ”
ท้องฟ้ายามเย็นมาถึงเร็วกว่าเมื่อวาน
……
……
ค่ำคืนมาถึง หากว่ากันตามปกติอย่างเมื่อหลายวันก่อน เวลานี้จิ๋งจิ่วควรจะบอกให้หยุดได้แล้ว แต่วันนี้เขาหาได้ทำเช่นนั้นไม่ดังนั้นอินชิงมั่วและอีกสองคนที่เหลือจึงเดินหน้าต่อไป
จิ๋งจิ่วเดินอยู่ด้านหลังสุด
การประสานงานกันระหว่างผู้บำเพ็ญพรตทั้งสามคนนั้นมีความรู้ใจ ยิ่งไปกว่านั้นหลายวันมานี้ก็มิได้เจอตัวอันตรายอย่างแมลงเส้นเหล็กเลย
เขากางมือออก ด้วงตัวนั้นกระโดดขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา
เปลือกนอกของด้วงเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เพียงแค่ไม่กี่วันก็แข็งขึ้นกว่าเดิมมาก มิได้บอบบางอ่อนแอเหมือนอย่างตอนที่เพิ่งเกิดมาอีก
จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นว่ายิ่งมันอยู่ในลมหนาวยิ่งนาน หรือว่าอุณหภูมิในโลกภายนอกยิ่งต่ำ เปลือกของมันก็จะยิ่งแข็งเร็วขึ้น
ส่วนเรื่องที่ว่าด้วงน้อยนี้กินอะไรเป็นอาหาร เขาก็ยังมิทราบเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อน อย่างไรซะตอนนี้มันก็ยังมีชีวิตอยู่
เขาพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงเก็บฝ่ามือกลับมาพลางกล่าวว่า “มีคนถูกล้อมโจมตี”
อีกสามคนที่อยู่ข้างหน้าหยุดฝีเท้า หันมามองเขาอย่างตกใจ
ในเวลานี้บนที่ราบหิมะไม่มีทางที่จะมีผู้บำเพ็ญพรตของพรรคมาร จะมีก็แต่ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตด้วยกัน
อู่หมิงจงกล่าวถาม “ตรงไหน? ไกลเท่าไร?”
“ตะวันออกเฉียงเหนือ สิบเอ็ดลี้”
จิ๋งจิ่วไม่จำเป็นต้องมองก็พูดออกมา
ที่นั่นเดิมทีเป็นที่ที่เขาจะไป สาเหตุที่เขามิได้บอกให้หยุดถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืนก็เป็นเพราะเหตุผลนี้
อินชิงมั่วสีหน้าขาวซีดเล็กน้อย กล่าวว่า “ทำอย่างไรดี?”
เดินทางบนที่ราบหิมะมาหลายวัน ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวทั้งสามคนมิได้ตื่นเต้นเหมือนอย่างในตอนแรกอีก แต่เนื่องเพราะในช่วงเวลาหลายวันมานี้พวกเขามิได้เจอกับการต่อสู้เลย ความทรงจำเพียงหนึ่งเดียวก็คือภาพในวันที่ไต้อิ๋นตายอย่างน่าอนาถ แล้วจู่ๆ มารู้ว่าด้านหน้ามีผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตกำลังถูกสัตว์ประหลาดล้อมโจมตีอยู่ ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาจึงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
จิ๋งจิ่วปลดกระบี่เหล็กที่อยู่ด้านหลังลงมา พลางกล่าวว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูหน่อย”
หากเป็นเวลาปกติ การขี่กระบี่เป็นระยะทางสิบกว่าลี้นั้นใช้เวลาเพียงครู่เดียว แต่ที่นี่คือพื้นที่ด้านในของที่ราบหิมะ ถึงแม้หลายวันนี้จะไม่มีเมฆ แต่ลมบนท้องฟ้ากลับยิ่งทวีความรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้าใกล้พื้นดินขึ้นเรื่อยๆ การจะขี่กระบี่บินอย่างมากก็ห่างจากพื้นได้แค่ไม่กี่สิบจ้าง จึงอาจจะถูกสัตว์ประหลาดที่มีแรงกระโดดที่น่ากลัวลอบโจมตีได้ง่าย
พวกอินชิงมั่วสบตากัน ก่อนจะตัดสินใจ กล่าวว่า “พวกเราไปด้วยกัน”
จิ๋งจิ่วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
อู่หมิงจงเรียกโล่กระบี่ออกมา
ทั้งสี่คนเหยียบขึ้นไป
……
……
ภายในหุบเขามีลมที่เย็นยะเยือกพัดมา เปลวไฟที่อยู่ในกองไฟถูกพัดจนเกือบจะดับ
ไข่มุกเม็ดหนึ่งลอยขึ้นไปบนอากาศ เปล่งแสงสว่างที่ขาวนวลออกมา ส่องสว่างพื้นที่อยู่ในรัศมีร้อยกว่าจ้าง
ไป๋เจ่านั่งอยู่บนพื้นหิมะ ผ้าสีขาวเปื้อนเลือดเป็นดวงๆ ดูอ่อนแอบอบบาง นางได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ในความมืดยามค่ำคืนที่อยู่รอบกาย ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยเสียงประหลาด คล้ายกับเสียงเสียดสีกันของโลหะ แล้วก็คล้ายกับเสียงฆ้องที่แตกกำลังสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูง ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดกลัว
นางรู้ว่านั้นคือเสียงขาหน้าอันแหลมคมของอสูรขาหิมะกำลังเสียดสีกันอยู่ ที่คือสัญญาณบุกโจมตี
……………………………………………………………………