เด็กหญิงคือกั้วตงแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
ว่ากันว่านางเป็นศิษย์ก้นกุฏิของเหลียนซานเยวี่ย
ไม่รู้เหตุใดนางจึงไม่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตในปีนี้ หากแต่มาดูพระที่เมืองไป๋เฉิง
แล้วก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเสียงนั้นจึงกล่าวเช่นนั้น
ที่แท้เป็นเจ้าที่มา? ที่แท้ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าเดิมนางจะมิใช่นาง?
กั้วตงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมองออกว่าเป็นข้า”
คนผู้นั้นกลาว “บางทีอาจเป็นเพราะข้ามองดูอยู่ด้านหลังเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี”
มองอยู่ด้านหลังมาเป็นเวลาหลายปี นั่นเป็นเพราะไม่มีความกล้า แล้วก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมายืนอยู่เบื้องหน้าของนาง
แต่ภาพแผ่นหลังของเจ้าได้ประทับลงไปยังส่วนลึกในวิญญาณของข้าแล้ว อย่างนั้นไม่ว่าใบหน้าของเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร มีหรือที่ข้าจะจำเจ้าไม่ได้?
……
……
กั้วตงยืนอยู่หน้าพระพุทธรูป นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจและเศร้าเสียใจ
“คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเจ้าจะเลือกเส้นทางนี้ เพื่อที่จะไล่ตามเขาแล้ว มันคุ้มแล้วหรือที่จะเสียสละมากมายถึงเพียงนี้?”
“แล้วเจ้าล่ะ? เฝ้าที่นี่มาหลายร้อยปี มันคุ้มแล้วหรือ?”
“ทำเรื่องที่ตนเองอยากทำ ไม่มีคำว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม”
“ข้าเองก็เช่นกัน สิ่งที่ต่างกันก็คือกระทั่งถึงวันที่ตายไปวันนั้น เจ้าก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ความสำเร็จของตัวเองได้ แต่ข้าได้พิสูจน์ความล้มเหลวของตัวเองไปแล้ว”
“เจ้าเลยมายังโลกปุถุชน?”
“ก่อนนี้เขามักจะพูดบ่อยๆ เมื่อมายังโลกปุถุชน ก็ต้องมาดูพระอาทิตย์ เวลาของข้าเหลือไม่มากแล้ว ก็เลยอยากจะมาดูเสียหน่อย”
“อย่างนี้นี่เอง ข้าเองก็แปลกใจ เพราะข้าจำได้ว่าเจ้าดีดพิณไม่เป็น เหตุใดจึงไปร่วมประลองในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ดูเหมือนสมณะทองคำเองก็ไม่กล้าบอกว่าเจ้าดีดไม่ดีเหมือนกัน”
“ใช่ ข้าไม่เคยร่วมประลองในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย”
“ไม่ เจ้าเคยเข้าร่วม ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครานั้น หากมิเป็นเพราะเจ้ายื่นมือช่วยเหลือข้า อาศัยเพียงสภาวะของข้าในเวลานั้น จะไปสังหารหนอนหิมะระดับราชาตัวนั้นได้อย่างไร”
กั้วตงรู้สึกไม่ชินที่ถูกอีกฝ่ายใช้คำพูดแสดงความรู้สึกขอบคุณเช่นนี้พูดถึงเรื่องราวในอดีต นางหมุนตัวเดินออกมาจากหน้าพระพุทธรูป มายืนอยู่หน้าธรณีประตู สายตามองออกไปยังที่ราบหิมะ
“ครั้งนั้นเจ้าไม่ได้คำนวณถึงหนอนตัวนั้น ครั้งนี้มีโอกาสที่เจ้าจะคำนวณผิดไหม?”
เหตุใดเจ้าถึงต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้?”
การประลองวิถีพรตคือเวทีสำหรับเหล่าอัจฉริยะหนุ่มสาว สำหรับโลกแห่งการบำเพ็ญพรตแล้วย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่
แต่คนผู้นั้นรู้ดี สำหรับกั้วตงแล้ว เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็ก
“ศิษย์ของจิ่งหยางอยู่ด้านใน ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบเขา แต่ก็ไม่อยากให้เขาตาย”
“เหตุใดเจ้าถึงไม่ชอบเขา?”
“งามเกินไป”
กั้วตงเดินกลับมาหน้าพระพุทธรูป หยิบเอาอาสนะออกมาจากใต้โต๊ะอันหนึ่ง ก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงไป หลับตาเริ่มทำสมาธิ
นางคล้ายคุ้นเคยกับวัดแห่งนี้เป็นอย่างดี เมื่อก่อนเคยมาเยือนหลายครั้ง
นางมิได้กล่าวกระไรอีก
ภายในวัดเงียบสงบ
เวลาค่ำคืนมาเยือน
เสียงถอนใจเสียงหนึ่งดังขึ้น
เต็มไปด้วยความชื่นชม
ยังคงมีความเสียใจอยู่
แสงอาทิตย์ยามเช้ามาเยือน
กั้วตงลืมตา เดินไปยืนอยู่หน้าธรณีประตูอีกครั้ง สายตาทอดมองไปยังส่วนลึกของที่ราบหิมะ สีหน้าคร่ำเคร่งเล็กน้อย รับรู้ได้ว่ากำลังจะมีเรื่องเกิดขึ้น
เสียงที่ฟังดูจริงใจและเศร้าใจเสียงนั้นดังขึ้นที่ด้านหลังของนาง
“นางไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน”
ใจสวรรค์เชื่อมโยงของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและเชื่อมโยงสองจิตของวัดกั่วเฉิงล้วนแต่เป็นวิชาการคำนวณความลับสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนโลก
แต่กั้วตงรู้ว่าหากพูดถึงสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของที่ราบหิมะนั่นแล้ว บนโลกไม่มีใครที่จะรู้ดีไปกว่าคนที่อยู่ด้านหลังนางผู้นี้อีกแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ไม่รู้ ข้ารับรู้ได้ถึงความฉุนเฉียว ความโกรธเกรี้ยว ความเจ็บปวด ….แล้วก็ความวิตกกังวลที่อยู่ในจิตสำนึกของนาง ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จึงรู้สึกวิตกกังวลได้”
……
……
รุ่งอรุณมาเยือน จบสิ้นไปอีกคืนหนึ่ง
จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้น เขาขี่กระบี่มาถึงจุดที่สูงที่สุดบนยอดเขา ทอดตามองออกไปอีกฟาก
หมู่ขุนเขาทางฝั่งนั้นก็คือแคว้นเสวี่ย
ทันใดนั้นเอง ใจแห่งเต๋าของเขาพลันสั่นไหวขึ้นมาเบาๆ
เมื่อทอดมองออกไปไกล ไกลจนถึงที่ที่เขามองไม่เห็น ภายในใจเขาได้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา แต่เขากลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
สำหรับเขาแล้ว ความวิตกกังวลเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นน้อยมาก
มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา ไป๋เจ่าปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา ระฆังมหาบรรพตทิศใต้แผ่ไอพลังจางๆ ออกมา สกัดกั้นอากาศอันหนาวเย็นเอาไว้
“ทำไมหรือ?”
ในดวงตาของนาง ขุนเขาที่หนาวเย็นมิได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อวานเลย
คำตอบของจิ๋งจิ่วเรียบง่าย “เกิดเรื่องแล้ว”
ครั้นพูดจบ ลมพลันกระโชกขึ้นมา
อากาศที่หนาวเหน็บไหลผ่านยอดเขาด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการได้ ทำให้เกิดเสียงหวีดหวิวที่แสบแก้วหูจำนวนนับไม่ถ้วน
หิมะที่ทับถมอยู่บนยอดเขามาเป็นเวลาหลายหมื่นปีถูกลมอันรุนแรงพัดจนปลิวกระจาย เผยให้เห็นก้อนหินสีดำที่อยู่ด้านล่าง อุณหภูมิในอากาศลดลงอย่างรวดเร็ว
ภายใต้ความหนาวเย็นอันรุนแรงเช่นนี้ คนธรรมดาสามารถแข็งตายได้ในพริบตา ผู้บำเพ็ญพรตต่อให้โคจรปราณก่อกำเนิด ก็ไม่อาจทนได้นานนัก
ไป๋เจ่ารับรู้ได้ถึงอากาศอันหนาวเย็นที่ผ่านม่านพลังของระฆังมหาบรรพตทิศใต้เข้ามา จึงมิกล้ารอช้า รีบหยิบเอาเสื้อคลุมที่ถักขึ้นมาจากขนนกกระจอกทองไฟขึ้นมาห่มไปบนร่างกาย เมื่อรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นจากเสื้อคลุม สีหน้าจึงดีขึ้นเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วมองนาง หลังมั่นใจว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร ก็มิได้สนใจอีก
ไป๋เจ่ามองดูเสื้อผ้าสีขาวอันบางเบาที่อยู่บนร่างกายของเขาชุดนั้น อดรู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ ในใจครุ่นคิด หรือว่าวิชาของสำนักชิงซานจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้?
หิมะบนปลายยอดเขายังคงหลุดร่วงลงไป ทันใดนั้นได้มีแรงสั่นสะเทือนสายหนึ่งแผ่ขึ้นมาจากส่วนลึกของภูเขา
ไป๋เจ่าก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะเห็นภาพที่ยากจะลืมได้ภาพหนึ่ง
หนอนหิมะตัวหนึ่งกำลังโผล่หัวออกมาจากหน้าผา
ผิวหนังของหนอนหิมะมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง แม้จะโตเต็มที่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันมีความเหนียวเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นกระบี่ของผู้บำเพ็ญพรตก็ยากที่จะฟันเข้าได้
ร่างกายของหนอนหิมะตัวนี้มีขนาดใหญ่ สามารถใส่เข้าไปในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งได้ เมื่อมันคลานออกมา แสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนผิวหนังของมัน ทำให้พอจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ลางๆ — ด้านในมีหิน มีกิ่งไม้ มีขาของอสูรขาหิมะ แล้วก็มีกระดูกสีขาว ไม่รู้ว่าเป็นของสัตว์ชนิดไหน
ในฐานะที่เป็นสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเสียงของแคว้นเสวี่ย หนอนหิมะสามารถเคลื่อนที่อยู่ในถ้ำที่มันใช้ของเหลวกัดกร่อนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว แต่เคลื่อนที่อยู่ในที่อื่นได้ค่อนข้างเชื่องช้า ทว่ามันกลับมีความอันตรายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหน้าตาและวิธีการกินอาหารของมันที่ทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้ได้ง่าย
ในเวลานี้ไป๋เจ่ารู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก แต่ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
หนอนหิมะตัวนั้นมุดออกมาจากหน้าผาโดยไม่มีอะไรให้มันยึด มันส่ายหัวไปมาท่ามกลางสายลมอันเย็นยะเยือก ดูไปแล้วคล้ายกับหนอนที่โผล่ออกมาจากเนื้อเน่า เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่าเท่านั้น
ไป๋เจ่าขมวดคิ้วขึ้นมา
ทันใดนั้น ร่างกายของหนอนหิมะหยุดค้างอยู่กลางอากาศอันหนาวเย็น
นางรับรู้ได้ถึงจิตสำนึกที่ตกลงมาบนร่างกายของตัวเอง จึงรู้ว่าตัวเองได้ถูกหนอนตัวนั้นพบเข้าแล้ว พลันรีบเดินปราณก่อกำเนิดอย่างเงียบๆ เตรียมใช้ระฆังมหาบรรพตทิศใต้รับมือศัตรู
ไม่รู้เพราะเหตุใด หนอนตัวนั้นมิได้สนใจนาง หากแต่ยืดตัวไปในอากาศที่อยู่ด้านหน้าหน้าผา
กระทั่งสุดท้ายร่างกายของมันสัมผัสกับหน้าผาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะมุดเข้าไปอีกครั้ง
กระทั่งหางของหนอนหิมะหายไปในหน้าผาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไป๋เจ่าจึงถอนใจออกมา
นี่คือหนอนหิมะระดับสูง ต่อให้ในมือนางมีระฆังมหาบรรพตทิศใต้ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของมันอยู่ดี
นอกจากในตอนที่มีคลื่นอสูรแล้ว น้อยครั้งนักที่มนุษย์จะได้พบหนอนหิมะระดับสูงขนาดนี้ เหตุใดมันจึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้?
จากนั้น ในภูเขาก็มีเสียงแตกเล็กๆ ดังขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แม้แต่ลมหนาวที่ส่งเสียงหวีดหวิวก็ไม่อาจกลบเสียงแตกนี้ได้
ไป๋เจ่าใช้วิชาวารีกระจ่างมองออกไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าภายในพายุหิมะมีจุดสีดำจำนวนมากกำลังวิ่งขึ้นไปทางเหนือด้วยความเร็วสูง ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังเรียกพวกมันไป
นางคล้ายจะแยกแยะออกว่าในจุดดำเหล่านั้นมีอสูรขาหิมะ มีด้วงหิมะ แล้วก็ยังมีสัตว์ประหลาดอีกสองชนิดที่เคยเห็นแต่ในหนังสือ
………………………………………………..