ตอนที่ 927 วันนี้ต้องเจอศึกหนัก
ณ โรงพยาบาลหวาเซี่ย
ลั่วหานพยายามทำวันนี้ให้ว่างทั้งวัน หลังจากที่ไปถึงโรงพยาบาลเธอก็แค่เช็กดูผู้ป่วยตามเคย หลังจากที่ตรวจเช็กเสร็จ เธอก็ไปหาแพทย์ประจำของหลงถิงเพื่อถามไถ่ถึงอาการของเขา แพทย์ส่วนตัวของหลงถิงตอบคำถามเธอแบบกำกวมไม่ได้บอกอาการของหลงถิงให้เธอฟังอย่างละเอียด
แต่ว่าฟังจากคำให้การของหมอแล้ว ลั่วหานพอเดาออกได้ว่าอาการของหลงถิงไม่ค่อยดีนัก
ทางโรงพยาบาลและแผนกศัลยกรรมทางสมองของอเมริการ่วมกันปรึกษาหารือ ผลสุดท้ายที่ได้คือตอนนี้เพียงแค่ช่วยชีวิตของหลงถิงกลับมาได้เพียงชั่วคราว ส่วนเขาจะฟื้นเมื่อไหร่ และเมื่อฟื้นแล้วสมองของเขาจะยังทำงานปกติอยู่หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่มีผลสรุป
“คุณหมอแอนน่าครับ ตอนนี้อาการของคุณหลงไม่ค่อยคงที่เท่าไหร่เขาไม่ควรได้รับการรบกวนมากเกินไป พวกเราหวังว่าถ้าคุณไม่มีกิจสำคัญอะไรก็อย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องการรักษาของเขาดีกว่านะครับ”
หลังจากที่ลั่วหานสอบถามเรียบร้อยแล้วเตรียมเดินจากไป หมอประจำของหลงถิงที่เป็นต่างชาติเตือนเธอด้วยน้ำเสียงตักเตือน
ลั่วหานยิ้มและพยักหน้าตอบกลับ “ศาสตราจารย์peterคะ คุณอย่าลืมนะคะว่าเขามีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันด้วยนะ ถ้าเกินว่ามันกำเริบอีกครั้งแล้วไม่สามารถช่วยไว้ทัน แล้วเกินปัญหาขึ้นมาฉันไม่รับผิดชอบนะคะ”
สีหน้าของศาสตราจารย์peterสะท้านไปเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าของเขาส่งยิ้มให้เธออย่างเกรงใจ “คุณหมอแอนน่าครับ ผมหมายถึงเรื่องอื่นๆ นอกจากการรักษานะครับ”
หื้ม? ที่แท้ก็กลัวว่าเธอจะมาสืบหาความลับทางธุรกิจจากเขางั้นเหรอ?
“ท่านศาสตราจารย์คะท่านคิดมากไปค่ะ นอกจากการรักษาโดยพื้นฐานแล้ว ดิฉันไม่สนใจในเรื่องอื่นๆ ของคุณหลงถิงเลยค่ะ”
ลั่วหานกล่าวอย่างเฉยชา แล้วก็หันกลับไปทิ้งเพียงเงาร่างสีขาวที่หล่อเท่สดใสไว้ให้เขา
Peterจัดแว่นให้ตรงอย่างเก้อกระดาก
หลังจากนั้นลั่วหานก็ทนความหงุดหงิดไว้แล้วเดินไปที่ห้องคนไข้ของเจิ้งเฉิงหลิน ลั่วหานยืนอยู่หน้าเตียงคนไข้พร้อมเสื้อกาวน์สีขาวที่ดูมีศักดิ์ ด้านหลังเธอตามมาด้วยหมอฝึกงานสองสามคนและพยาบาลส่วนตัวของเจิ้งเฉิงหลิน ผู้คนที่สวมเสื้อกาวน์ยืนกันเป็นกลุ่มเป็นแถว
เธอเปิดดูประวัติของเจิ้งเฉิงหลิน แล้วทำการตรวจเช็กโดยพื้นฐานให้เขา พร้อมถามถึงเรื่องอาหารการกินแล้วการนอนหลับ
ดวงตาของเจิ้งซินมองไปที่ลั่วหานอย่างปริ่มๆ สายตาที่เธอมองลั่วหานราวกับว่าเธอจะฉีกเธอออกเป็นชิ้นๆ
“คุณเจิ้งคะ การฟื้นตัวของคุณดีมาก ไม่ได้มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการอื่นๆ ที่ไม่ดี ทางโรงพยาบาลจะทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้กับคุณ พรุ่งนี้เลยละกันโอเคไหมคะ?”
ลั่วหานเซ็นชื่อตัวเองลงบนประวัติคนไข้อย่างรวดเร็ว ดวงตาที่สดใสของเธอมองไปที่เจิ้งเฉิงหลินโดยไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่หางตาของเธอมองไปที่เจิ้งซิน
“พรุ่งนี้เหรอครับ? คุณหมอฉู่ครับผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมครับ? ผมออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอครับ?” สีหน้าของเจิ้งเฉิงหลินดูไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่ค่ะ ตัวบ่งชี้ของคุณเป็นปกติทั้งหมด ความรู้สึกเจ็บปวดก็หายไปหมดแล้ว เรื่องอาหารการกินและการนอนหลับของคุณอยู่ในจุดที่ดี ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โรงพยาบาลต่อก็ได้”
เจิ้งซินออกมาพูดตอบกลับ “คุณหมอฉู่คะ เราพักดูอาการอีกสักสองสามวันดีกว่าค่ะ ถ้าพวกเรากลับไปที่เจียงเฉิงแล้วเกิดอะไรขึ้นอีก คุณเองก็ไม่สามารถมาช่วยเหลือเขาได้ทันเวลา”
อ๊ายย๊า นี่ติดใจกับการนอนโรงพยาบาลแล้วเหรอ?
“ฉันพูดอย่างชัดเจนแล้วว่า คุณพ่อของคุณไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล แต่แน่นอนถ้าพวกคุณรู้สึกว่าบรรยากาศที่โรงพยาบาลหวาเซี่ยมันดี แล้วจะอยู่ที่นี่เหมือนกับพักโรงแรมก็ได้นะ”
ลั่วหานส่งรอยยิ้มที่ทางการออกมา
หมอที่ตามลั่วหานมาต่างก็อยู่เงียบๆ ไม่กล้าพูดตอบโต้ คนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือคนใหญ่คนโตของเมืองเจียงเฉิงเลยนะ คุณหมอฉู่ช่างกล้าจริงๆ
เจ้าหน้าที่เทคนิคระดับสูงต่างจากเราจริงๆ อ๋อ ไม่สิท่านภรรยาของท่านเซียวต่างจากคนทั่วไปจริงๆ
เจิ้งเฉิงหลินครุ่นคิด “ถ้าอย่างงั้นผลัดไปอีกสองวันก็ได้ครับ รอดูก่อนว่าจะมีอาการอื่นๆ ไหม ถ้าไม่มีจริงๆ ผมก็จะออกจากโรงพยาบาล”
ลั่วหานไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร “ได้ค่ะ”
เจิ้งซินวิ่งตามลั่วหานออกนอกห้องคนไข้ไปแล้วเรียกเธอไว้ “คุณหมอฉู่เดี๋ยวก่อน”
ลั่วหานหันกลับมามอง แขนข้างซ้ายของเธอหนีบประวัติคนไข้ไว้แล้วเอก็ม้วนเอาเครื่องฟังเสียเข้ากระเป๋าข้างขวา “มีอะไรเหรอ? มีคำถามอะไรอีกไหม?”
“มีค่ะ”
“หื้ม? มีคำถามอะไรคะ?”
“คุณนอกใจสามีใช่ไหม?”
นอกใจ? คำใส่ร้ายนี้มันร้ายแรงเกินไป ลั่วหานรู้สึกตลกกับคำกล่าวหามั่วๆ ของเธอ “นอกใจ? หึหึ ทำไมตัวฉันเองถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ? คุณเจิ้งเอาคำกล่าวหานี้มาจากไหนคะ?”
เจิ้งซินอมยิ้มอย่างมีเลศนัยเธอคิดว่าเธอดูลึกลับ “ฟังจากมากคนอื่นๆ นั่นแหละ”
หลังจากพูดจบ เจิ้งซินก็หันหลังแล้วกลับเข้าห้องแล้ว “เปี้ยง” ปิดประตูห้องคนไข้
ฟังมาจากคนอื่นๆ? เธอได้ยินอะไรมา?
ลั่วหานเคาะไปที่เอกสารประวัติคนไข้เบาๆ เจิ้งซินกำลังจะเล่นเล่ห์กลอะไร!
วันนี้ลั่วหานไม่มีอารมณ์มาเล่นทายคำถามกับแบรนด์ซิน
——
ณ ตึกMBK
พิธีกร นักข่าว ตากล้อง ช่างแต่งหน้า ช่างจัดแต่งทรงผมของบริษัทเทียนเซี่ยรออยู่ที่ห้องประชุมจนถึงเวลา11โมง ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้ไปที่ห้องทำงานท่านประธาน
พิธีกรของบริษัทเทียนเซี่ยเป็นเสาหลักของบริษัท เคยเป็นดาวเด่นของสถานีโทรทัศน์เมืองหลวงในช่องเศรษฐกิจ
ภายหลังจึงถูกบริษัทเทียนเซี่ยรับตัวไปโดยเงื่อนไขเงินตอบแทนที่สูงกว่า
เธอเป็นเสาหลักมาโดยตลอด คนที่เธอสัมภาษณ์ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของวงการเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ พูดได้ว่าอนาคตก้าวไกลมาก
แต่เมื่อมาถึงตึกของMBK แม้ว่าเธอจะท่องบทพูดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่เธอก็ยังคงตื่นเต้นมากจนมีเหงื่อออกเต็มมือ
“พี่ปิง คุณโอเคใช่ไหม?”
เฉินปิงปิงคายลูกอมรสมิ้นที่ช่วยให้ปากสดชื่นออก แล้วหายใจเข้าออกลึกๆ “หูว……ตื่นเต้นเล็กน้อย สัมภาษณ์หลงเซียวมันยากมาก”
ตากล้องเองก็เอามือทาบไว้ที่หัวใจแล้วพยักหน้า “ใช่…..แต่การสัมภาษณ์ของวันนี้มันสำคัญมาก ยอดการรับชมของเทปนี้ และต่อไปบริษัทเทียนเซี่ยจะได้พึ่งพาMBKต่อหรือไม่นั้น ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับสีหน้าของหลงเซียว พี่ปิงคุณเองก็ไม่ต้องตื่นเต้นมากเกินไป คุณสัมภาษณ์นักธุรกิจมาเยอะแล้ว”
เฉินปิงปิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เธออ่านดูบทพูดอีกรอบแล้วก้าวส้นสูงออกไปตรงไปที่ห้องทำงานของหลงเซียว
เปิดประตูออกมา เฉินปิงปิงเห็นผู้ชายที่หล่อเหลาเอาการคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้แสงพระอาทิตย์ อาจจะเป็นเพราะแสงกำลังดีมันทำให้ดูเหมือนว่าคนคนนั้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างจ้า
ดูบริสุทธิ์จนไม่เหมือนมนุษย์โลก
เธอเจอกับดาราคนดังมานับไม่ถ้วน แต่คนที่มีออร่าเด่นขนาดนี้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น!
หลงเซียวนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานของตน เขาก้มหน้าเล็กน้อยกำลังดูเอกสารงาน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักข่าวมาถึงแล้ว
ชุดอุปกรณ์กระดานบังแสง กล้องและไมโครโฟนถูกจัดวางไว้อย่างดี ช่างแต่งหน้าและช่างจัดแต่งทรงผมมองไปที่จี้ตงหมิงด้วยความกลัวๆ เล็กน้อย
“ผู้ช่วยจี้คะ คุณช่วยถามคุณหลงหน่อยได้ไหมคะว่าเริ่มแต่งหน้าจัดทรงได้หรือยังคะ?”
หลงเซียววางเอกสารลง เสียงที่ทุ้มต่ำของเขาไพเราะแต่ไม่มีความรู้สึกใดๆ ดังขึ้น “ไม่ต้องครับ เริ่มเลยครับ”
ในมือของช่างแต่งหน้านั้นถือครีมบำรุงและเครื่องแต่งหน้ามาเป็นชุด เขาอ้าปากค้างอย่างสงสัย แต่เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าที่อยู่หลังโต๊ะนั้นเงยขึ้นมา เขาทั้งสองต่างก็สะท้านอย่างมาก
นั่นเป็นใบหน้าที่ดูดีอย่างเป็นธรรมชาติ มันตื่นตาและดูดียิ่งกว่าตอนอยู่บนจอภาพ 4K HD เสียอีก ดูดีโดยไม่ต้องผ่ายเอฟเฟกต์และการจัดแต่งแสง เพราะตัวเขาเองก็ดูดีอย่างไม่มีที่ติอยู่แล้ว
ช่างจัดแต่งทรงผมก็อึ้งไปสักพักเช่นกัน เขารู้สึกว่าแบรนด์ชั้นนำที่ทางบริษัทจัดเตรียมให้ดับลงทันทีเมื่อเห็นชุดสูทอิตาลีของท่านเซียวที่ดูธรรมดาแต่อันที่จริงแล้วราคามหาศาล ชุดที่เขาจัดเตรียมมามันไม่สมควรถูกใส่ไว้บนตัวของท่านเซียวด้วยซ้ำ
หลังจากที่จี้ตงหมิงเห็นปฏิกิริยาทั้งคู่แล้ว เขาก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา “ทำตามที่บอสสั่ง ไม่จำเป็นครับพวกคุณออกไปได้เลย”
“นี่มัน……ให้พวกเราอยู่ที่นี่ต่อเถอะคะ…ถ้าระหว่างการสัมภาษณ์ต้องการแต่งหน้าเพิ่มละก็….” ช่างแต่งหน้าอ้อนวอนอย่างอื้อๆ อ้าๆ ไม่ว่าจะต้องแต่งหน้าเพิ่มหรือไม่ เขาขอแค่ได้อยู่ดูท่านเซียวตัวจริงก็พอแล้ว
สายตาอ้อนวอนของช่างแต่งหน้าทำให้จี้ตงหมิงที่ใจอ่อนอยู่แล้วรู้สึกซึ้งใจ
เฉินปิงปิงพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกไปทักทายเขาก่อน “คุณหลงคะ สวัสดีค่ะ ฉันเป็นพิธีกรจากบริษัทเทียนเซี่ยค่ะ วันนี้……..”
หลงเซียวมองดูเธออย่างเฉยชา แล้วยื่นบทสัมภาษณ์ที่อยู่บนโต๊ะไปให้เธอ “ผมแก้คำถามไปสองสามคำถาม”
เฉินปิงปิงเปิดบทสัมภาษณ์ออกอย่างกังวลใจ สิ่งที่มาสะดุดตาเธอก็คือลายมือที่สวยดั่งมังกรที่แหวกว่ายอยู่บนนั้น ลายมือที่สวยงามอยู่ตรงระหว่างตัวหนังสือพิมพ์
เขาติ้กเอาคำถามบางข้อออกไป แล้วแก้ไขจุดสำคัญของบางคำถามไป
สุดท้ายก็แก้จนบทสัมภาษณ์กลายเป็นบทสัมภาษณ์ที่ดูทางการ และหลีกเลี่ยงการถามถึงเรื่องส่วนตัวของเขาออกไปอย่างชาญฉลาด เขาลบคำถามที่เกี่ยวข้องภรรยา ลูกสาวของเขา รวมถึงคำถามที่เกี่ยวกับการแต่งงานของเขาและลั่วหานไปจนหมด
เฉินปิงปิงถามด้วยความเก้อเขิน คุณหลงคะ คำถามเบื้องต้นนี้มิได้เป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวของคุณนะคะ แต่แค่อยากจะใช้ในการทำให้บรรยากาศการสัมภาษณ์ของเรามันดีขึ้นเพียงเท่านั้นเอง”
ถึงยังไงข่าวแบบนี้ได้รับการสนใจจากผู้ชมเป็นอย่างดีเลย ลำพังแค่ข่าวสารด้านเศรษฐกิจคนทั่วไปเขาไม่สนใจกันหรอก!
สายตาของหลงเซียวเป็นเหมือนแสงที่เยือกเย็น “เวลาของผมมีจำกัด จะเริ่มหรือจะยกเลิกการสัมภาษณ์ คุณตัดสินใจเอาเอง”
มือของเฉินปิงปิงสั่นเล็กน้อย เธอกำบทสัมภาษณ์ไว้แน่นโดนสัญชาตญาณ แล้วยิ้มตอบรับทันที
“ได้ค่ะได้ค่ะ เอาตามที่คุณว่าเลยค่ะ คุณหลงคะเชิญนั่งค่ะ เราเริ่มกันเลยนะคะ?”
หลงเซียวจัดชุดสูทให้เรียบร้อย แล้วปลดกระดุมชุดสูทออกด้วยมือข้างเดียว แล้วนั่งไขว้ขาบนโซฟาด้วยความเกียจคร้านและดูสง่างาม บนโต๊ะน้ำชามีหนังสือด้านการเงินที่เขียนโดยภาษาอังกฤษทั้งหมดวางอยู่สองสามเล่ม มีกาแฟบลูเมาเท่นร้อนๆ วางอยู่ พื้นหลังเป็นหน้าต่างพาโนราม่า ข้างนอกเป็นตึกสูงใหญ่ของเมืองหลวง
จี้ตงหมิงและคนอื่นๆ นั่งอยู่มุมหนึ่งของห้องอย่างเงียบๆ
เฉินปิงปิงส่งรอยยิ้มกว้างๆ ออกมา “ท่านผู้ชมทุกท่านคะ สวัสดีค่ะ นี่คือรายการ “ข่าวแนวหน้าทางการเงิน” วันนี้ห้องโสดของเราได้มีโอกากเข้ามาที่ตึกMBK….”
หลังจากที่เปิดรายการแล้ว ฝ่ามือของเฉินปิงปิงก็ผายมือไปที่หลงเซียว “คุณหลงคะ ทักทายท่านผู้ชมของเราหน่อยได้ไหมคะ?”
กล้องส่องไปที่หลงเซียว แล้วจับภาพหน้าหลงเซียวในระยะใกล้ได้อย่างชัดเจน หน้าคมชัด ดวงตาที่ลึกลับราวกับใต้ท้องทะเล
เขากล่าวคำที่สั้นๆ และแข็งแกร่งออกมาว่า “ผมคือหลงเซียวครับ”
จี้ตงหมิง : “…….”
บอสครับ เขาทักทายกันแบบนี้เหรอ?
แต่ว่าเท่จริงๆ เลยครับ
เฉินปิงปิง : “…….”
เป็นไปอย่างที่คิดจริง…จริงด้วย วันนี้ต้องเจอศึกหนัก
——
ตอนบ่ายโมงกว่า ลั่วหานส่งข้อความให้กับคนที่คอมเม้นท์มาครั้งที่แล้ว “เวลาและสถานที่นัดเจอกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ฉันจะไปตามนัดอย่างตรงเวลา”
รอไปสักพักไม่มีคนตอบกลับ
ตอนนี้ห่างจากเวลานัด2ชั่วโมง ลั่วหานเตรียมเช็ค โทรศัพท์ และมอบหมายงานให้หวาเทียนเธอเตรียมพร้อมทุกอย่าง แล้วเธอก็ขับรถไปที่ร้านกาแฟหลันเจี๋ยโดยลำพัง
ลั่วหานไปที่โต๊ะที่จองไว้ก่อน ภายในร้านกาแฟมีลูกค้านั่งอยู่สองสามคน มีคนกำลังดื่มกาแฟ มีคนกำลังพูดคุยสนทนากัน บางคนก็นั่งสูบบุหรี่อยู่ลานด้านนอกร้าน
มีคนอยู่ร้านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ลั่วหานถือแก้วกาแฟไว้แล้วเป่าเบาๆ พร้อมมองไปที่ประตูว่ามีคนเข้ามารึเปล่า
10นาทีผ่านไป 20นาทีผ่านไป ความอดทนขอลั่วหานก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน เธอเริ่มรู้สึกกังวลใจ เขาเปลี่ยนใจกะทันหันแล้วผิดนัดรึเปล่า?
ลั่วหานหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึกๆ ให้ตัวเองสงบลง เธอคิดหาเหตุผลที่อีกฝ่ายจะผิดนัดไม่ออก เธอต้องการของพวกนั้น ส่วนเขาต้องการเงิน เป็นการค้าขายที่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก
รถติดเหรอ? หรือว่ารถเสีย? จำเวลานัดผิดไป?
ไม่หรอกมั้ง? ถ้าเป็นเช่นนั้นไอคิวเขาต้องต่ำแค่ไหนกันนะ?
ขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด ประตูร้านกาแฟก็เปิดออก มีผู้ชายที่ใส่หมวกแก๊ปแล้วกดปิดลงมาต่ำมาก เดินเข้ามาในร้าน ชายคนนี้สวมใส่เสื้อกันลมฤดูหนาวไว้ หมวกแก๊ปปิดหน้าของเขาไปครึ่งหน้า เขาก้มหน้าไว้เธอมองไม่เห็นแม้กระทั่งคางของเขา
สายตาของลั่วหานมองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระแวง จนไปเห็นกระเป๋ารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เขาถืออยู่
คงเป็นเขานั่นแหละ!