ตอนที่ 939 จดหมายลา
ศพของจ้าวฟางฟางถูกวางไว้อยู่ที่ห้องเก็บศพ ผ้าสีขาวบริสุทธิ์ปิดคลุมร่างที่ไร้ซึ่งอุณหภูมิไว้อยู่
ยังไม่ทันเดินเข้าไป สีหน้าของหวังเค่ยก็ซีดขาวมาก เขามองไปยังร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณอยู่ครู่หนึ่ง แทบจะไม่เชื่อว่าจ้าวฟางฟางจะมาถึงจุดนี้ได้
เขาพยายามนึกให้ตนเป็นคนที่ปล่อยวางทุกอย่างได้ เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะเปิดผ้าขาวออกทอดมองไปยังหญิงที่ตนเคยรัก
แต่เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิเย็นเฉียบของร่าง เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
เกาหยิ่งจือดึงมือเขาไว้ มืออุ่นนั้นกุมมือที่เย็นเฉียบของเขาไว้อยู่ “เข้าไปเถอะ ถือว่าเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย อย่างน้อยก็เคยเป็นภรรยากัน ควรจะบอกลาบ้าง”
หวังเค่ยก้มหน้าลง “ขอโทษ……”
“ขอโทษฉันทำไม? ไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย”เกาหยิ่งจือยิ้มอ่อนๆ และปลอบใจเขา
ด้านล่างผ้าขาว ใบหน้าของจ้าวฟางฟางไร้ซึ่งสีเลือดแล้ว เลือดแข็งตัวลงใบหน้าออกเธอก็มีสีเทาคล้ำ
เธอผอมลงไปมาก กระดูกโหนกแก้มปูดออกมา ถุงใต้ตาโตมาก ถ้าหากมีชีวิตอยู่ คงจะมีสภาพที่ทรุดโทรมพอควร หรือว่า……ตอนที่มีชีวิตอยู่อาจจะมีชีวิตอย่างตายทั้งเป็น
หวังเค่ยมองไปยังจ้าวฟางฟาง ก่อนจะกลืนน้ำลาย คำพูดติดขัดอยู่ในลำคอเอ่ยออกมาไม่ได้ ใบหน้ากลัดกลั้นบางอย่างเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา
เขากดความรู้สึกตัวเองลง ไม่ให้ตนเองเปล่งเสียงออกมา
แต่เมื่อเขายิ่งทำแบบนี้ เกาหยิ่งจือยิ่งปวดใจ จนอยากจะรับความรู้สึกนี้แทนเขาไว้ เกลียดที่ตนไม่สามารถรับความทรงจำมาไว้ได้แทน
เกาหยิ่งจือไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับจ้าวฟางฟางมากนัก ต่อมาไปหารูปของจ้าวฟางฟาง รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงสวยตามมาตรฐานคนหนึ่ง หลังจากคลอดลูกแล้วก็ยังรักษาตัวได้ดี ดูเหมือนผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานมีลูกมาก่อน
ได้รับความรักจากเสิ่นคั่วนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“คุณทำแบบนี้ทำไม?”
ผ่านไปเนิ่นนาน หวังเค่ยสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะเอ่ยออกมาหนึ่งคำ แต่คนนั้นไม่ได้รับรู้และมีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
เกาหยิ่งจือรีบปลอบ “บางทีการจากไปอาจจะเป็นวิธีปลดปล่อยตัวเองของเธอก็ได้ คุณก็พยายามจนสุดความสามารถแล้ว หลังจากนี้ก็เลี้ยงลูกทั้งสองคนดีๆ เติมเต็มความหวังของเธอ”
หวังเค่ยปัดน้ำตาออก ก่อนจะปิดผ้าขาวลง “ไปกันเถอะ”
ของที่เหลือทิ้งไว้ของจ้าวฟางฟางช่างเรียบง่ายนัก จดหมายหนึ่งฉบับ และเครื่องประดับติดตัว เป็นของที่ถูกยึดไว้ก่อนติดคุก
ตระกูลเสิ่นถูกตรวจสอบ ทรัพย์สินที่มีมูลค่าทุกอย่างล้วนทุกลิดรอน สุดท้ายสิ่งที่หลงเหลืออยู่ ก็คงจะเป็นสิ่งที่เธอพกเข้าไปก่อนเข้าตระกูลเสิ่น
หวังเค่ยหยิบสร้อยเส้นบางมาวางไว้บนมือตน ก่อนจะมองเพชรเม็ดเล็กบนสร้อย เขาคุ้นเคยกับมันมาก……สร้อยเส้นนี้เป็นของขวัญวันครบรอบแต่งงานหนึ่งปีที่เขามอบให้เธอ ด้านหลังกะรัตเพชรมีชื่อย่อของจ้าวฟางฟางสลักไว้อยู่
“ไม่นึกว่าเธอจะยังสวมไว้อยู่” หวังเค่ยกำมือแน่น ในใจมีความรู้สึกมากมาย
เกาหยิ่งจือลูบไหล่เขาเบาๆ “บางที ในใจของเธอยังมีคุณอยู่”
หวังเค่ยส่ายหน้า เขาไม่เชื่อว่าจ้าวฟางฟางจะยังชอบเขาอยู่ อย่างน้อยก็ไม่เชื่อว่าจ้าวฟางฟางจะชอบเขาเหมือนแต่ก่อน
หวังเค่ยอ่านจดหมายลา เกาหยิ่งจือเอ่ยขึ้นมาทันที “เดี๋ยวฉันออกไปรอคุณข้างนอกนะ”
จดหมายลาของจ้าวฟางฟางเขียนได้เรียบร้อย เป็นระเบียบ ดูออกว่าทุกตัวอักษรนั้นเขียนอย่างตั้งใจ ทะลุตัวอักษรไปก็ยังมองออกว่าคนเขียนนั้นแนบตัวลงกับโต๊ะตอนเขียน
“หวังเค่ย ฉันเชื่อว่าคุณจะมาดูฉันเป็นครั้งสุดท้าย……
แต่ว่า ตอนที่คุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันก็คงจากไปตลอดการแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นผลของการกระทำ ที่ฉันมีวันนี้ล้วนเป็นเพราะฉันทำตัวเอง ฉันยอมรับ”
หวังเค่ยปล่อยวางลง เรื่องในอดีตผุดขึ้นมามากมาย ความสุขในตอนนั้นก็เหมือนกับแสงเงา ที่เข้ามาฉายซ้ำๆ
“ชีวิตนี้ได้รู้จักคุณ แต่งงานกับคุณ ได้รับการดูแลจากคุณ ได้คลอดลูกให้คุณ ล้วนเป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุด เป็นสิ่งที่ฉันควรพึงพอใจที่สุด มันคุ้มค่าแล้ว……ฉันไม่มีสิ่งที่เสียใจภายหลัง”
ส่วนตรงกลางเธอเขียนเกี่ยวกับความเสียใจที่แต่งงานกับเสิ่นคั่ว เธออยากจะเดินจากไปจากโคลนตมตั้งหลายครั้ง แต่เธอก็ตกอยู่ในหลุมนั้น ควบคุมตัวเองไม่ได้ รอจนถึงเธอมีสติตื่นจากสิ่งที่เป็นดั่งความฝันแล้ว โชคชะตาก็ไม่ได้ให้โอกาสเธอพลิกตัวแล้ว
“ถึงแม้ว่าฉันจะมีสิ่งมากมายที่ปล่อยวางไม่ได้ อยากจะกลับไปเริ่มใหม่กับคุณ แต่……เป็นไปไม่ได้แล้ว
คุณเป็นผู้ชายที่ดีมาก หลังจากนี้คงจะได้พบกับผู้หญิงที่รักคุณจากใจจริง ไม่ได้เห็นแก่เงินของคุณ รักในตัวตนของคุณ แบบนั้นฉันที่อยู่ในที่ๆ มองไม่เห็นก็จะดีใจไปกับคุณด้วย
ให้คุณเลี้ยงดูเถียนเถียน ฉันวางใจมาก คุณต้องเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนมีความสามารถ ถ้าหากเป็นไปได้ ในอนาคตอย่าให้ลูกรู้เรื่องราวเกี่ยวกับฉัน ฉันไม่อยากทำให้ชีวิตของลูกต้องมีมลทิน
ส่วนอานอาน……ที่จริงฉันอยากบอกคุณตั้งนานแล้ว อานอานมีเลือดเนื้อของคุณอยู่ ก่อนที่ฉันจะแต่งงานกับเสิ่นคั่วก็ได้ตั้งครรภ์แล้ว แต่ว่าฉันไม่แน่ใจ……จนเมื่ออานอานป่วยหนัก ฉันถึงรู้ความจริง
หวังเค่ย ลูกสาวทั้งสองคนนี้เป็นลูกของเรา หวังว่าคุณจะทำดีกับพวกเธอและทำดีกับตนเองนะ
ฉันไปก่อนแล้ว ความเสียใจของฉันมากมายล้วนไปแก้ไขอะไรไม่ได้ หวังว่าภายหลังคุณจะไม่หลงเหลือเรื่องที่เสียใจภายหลัง และมีชีวิตต่ออย่างมีความสุข ฉันรักคุณ……แต่ฉันรู้ดีว่าฉันไม่เหมาะสม แต่เมื่อนึกย้อนกลับไป คนที่ฉันรักคนเดียวในชีวิตนี้ มีแค่คุณ รับปากฉันว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดี
จ้าวฟางฟาง จดหมายอำลา”
หลังจากอ่านจดหมายลาจบ น้ำตาของหวังเค่ยก็ไหลรินกระดาษไปไม่รู้กี่ครั้ง ทำให้ตัวอักษรเลอะไปหมด กระดาษบางสองแผ่นแต่กลับรู้สึกหนักเหมือนพันกรัม
ที่แท้อานอานเป็นลูกของเขา ที่จริงแล้วเขาเข้าใจเธอผิด เมื่อมองย้อนกลับไป ทั้งสองล้วนเข้าใจผิดกันไปมาก
คนตายไม่สามารถย้อนกลับมาได้ มีแค่คนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะสานต่อความหวังและตั้งใจในการใช้ชีวิตต่อไป
“ผมรับปากคุณ ผมจะตั้งใจใช้ชีวิต เลี้ยงดูลูกทั้งสองของเรา……ผมจะบอกพวกเขา ว่าพวกเขามีแม่ที่ดี”
——
บาดแผลของโจวจั่นไม่ได้ร้ายแรงแล้ว แค่ดูแลอีกหน่อยก็กลับไปทำงานได้ ความรู้สึกผิดของเจิ้งซิ่วหยาลดลงไปครึ่งหนึ่ง หลังจากพาโจวจั่นออกนอกโรงพยาบาลแล้ว เจิ้งซิ่วหยาก็โทรสายไปหาถังจิ้นเหยียน
ตอนนี้ที่อเมริกาเป็นตอนพลบค่ำ แต่เจิ้งซิ่วหยาไม่สนใจแล้ว เธอคิดถึงเขามาก อยากได้ยินเสียงของเขา หรือแม้แต่เสียงรอสายของเขา
ถังจิ้นเหยียนยังไม่นอน เขาเฝ้าอยู่ที่ห้องป่วยของพ่อ พลิกตำราแพทย์อ่านข้ามคืน และจัดระเบียบรายชื่อหมอผู้รักษาอาการ เผื่อจะค้นพบสิ่งใหม่ๆ
“ซิ่วหยา มีอะไรเหรอ?”
เจิ้งซิ่วหยาหมอบตัวลงไปกับพวงมาลัยรถ รถยังจอดอยู่ที่หนาโรงพยาบาล แต่เธอไม่อยากออกตัว “จิ้นเหยียน เขาฟื้นตัวได้ดีเลย ด้านบนมอบรางวัลให้เขาอย่างงามเลย ถือว่าฟาดเคราะห์และได้ทรัพย์”
ถังจิ้นเหยียนวางประวัติคนไข้ลง ก่อนจะไปริมหน้าต่าง ค่ำคืนที่มืดสนิทและครึกครื้นของนิวยอร์ก “อย่างงั้นก็ดีแล้ว คุณไม่ต้องรู้สึกผิดแล้ว เขาจะดียิ่งกว่าแต่ก่อนมาก รู้ไหม?”
เจิ้งซิ่วหยาพยักหน้าหนักๆ แต่ว่าเขาก็มองไม่เห็นอยู่ดี ก่อนจะใช้น้ำเสียงออดอ้อน “คุณจะกลับมาเมื่อไหร่? ฉันคิดถึงคุณแล้ว”
ใจของถังจิ้นเหยียนอ่อนโยนลง ก่อนจะตอบเสียงนุ่ม “อีกไม่กี่วัน ผมกำลังหาวิธีรักษาคุณพ่ออยู่ อาจจะมีวิธีที่ทำให้เขาฟื้นฟูให้มีสติได้”
“จริงเหรอ?! มีวิธีฟื้นฟูให้มีสติขึ้นมา?!”
เจิ้งซิ่วหยาเลือดพลุ่งพล่านขึ้นมาทันที จากสัตว์ตัวอ่อนปวกเปียกที่ฟุบอยู่ที่พวงมาลัยเปลี่ยนมาเป็นไก่ชนทันที
“ก้อนเลือดในสมองหายไปแล้ว จุดที่ถูกกดทับก็ฟื้นตัวแล้ว ต่อไปก็ต้องดูการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสมองเขา ถ้าเป็นไปได้ดีล่ะก็สามารถทำให้เขาตื่นขึ้นมาได้” ถังจิ้นเหยียนอธิบายอย่างวิชาการ
เจิ้งซิ่วหยาไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบประสาท แต่เธอเชื่อมั่นในตัวถังจิ้นเหยียน ขอแค่เขาบอกว่ามีความหวัง ก็ต้องมีแน่นอน!
“ฉันจะรอข่าวดีจากคุณ! คุณรีบไปพักผ่อนเถอะ ดูแลตัวเองดีๆ ดูแลคุณพ่อคุณแม่ดีๆ และก็ต้องทานอาหารให้ครบสามเวลานะ ให้คุณแม่ทานเยอะหน่อย ท่านผอมไปแล้ว”
เจิ้งซิ่วหยาตื่นเต้นขึ้นมา พูดจาออกมาเป็นชุด
ถังจิ้นเหยียนตอบรับพร้อมรอยยิ้ม “ได้เลย จะเชื่อฟังคุณ กินข้าวให้ตรงเวลา พักผ่อนเยอะๆ”
เจิ้งซิ่วหยาจับกุญแจรถก่อนจะเตรียมตัวเคลื่อนตัว “อย่างนั้น……คุณอย่าลืมคิดถึงฉันล่ะ”
ถังจิ้นเหยียนหัวเราะขึ้นมา “อืม ที่สำคัญที่สุดคือคิดถึงคุณ”
?
ดวงตาของเจิ้งซิ่วหยาปรากฏเป็นรูปหัวใจขึ้น ถือมือไปมา และบิดตุ๊กตาที่แขวนอยู่กับกุญแจรถจนแทบพัง “ถ้าอย่างนั้น……รอคุณพ่อฟื้นมาแล้วพวกเราแต่งงานกันดีไหม?”
นิ้วนางสวมแหวนหมั้นที่เขามอบให้ไว้อยู่ เพชรสิบสี่กะรัตที่ถูกเจียระไนอย่างดี เป็นคำสัญญาว่าชั่วชีวิตนี้จะรักเพียงเธอคนเดียว แต่เกือบจะพังลงที่มุมหนึ่งในร้านอาหาร ยังดีที่พวกเขาให้พนักงานช่วยกันหา ในที่สุดก็ขอแต่งงานได้สำเร็จ
เหอะๆ……ประสบการณ์พิเศษแบบนี้ สามารถโม้ให้ลูกหลานฟังได้อีกนาน
ครั้งนี้ถังจิ้นเหยียนไม่ได้ทำตัวเรียบร้อย “ได้เลย แต่งงาน ให้คุณตำรวจมาแต่งเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ที่ถูกต้องของตระกูลถัง”
ตระกูลถัง……
เจิ้งซิ่วหยารู้สึกถึงความอบอุ่นปลอดภัย ทุกครั้งที่เอ่ยล้วนบอกว่าเธอเป็นสมาชิกของตระกูลถัง
แต่ความรู้สึกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องดีเลย
ในใจของเจิ้งซิ่วหยาสั่นคลอนขึ้น ความยุติธรรมของกฎหมายถูกความผูกพันและความรักมาสั่นคลอนมากยิ่งขึ้นในทุกที
“จิ้นเหยียน คุณพ่อคงจะไม่เป็นอะไรหรอก ใช่ไหม?”
“คุณหมอจะพยายามเต็มที่ ผมก็เหมือนกัน” ถังจิ้นเหยียนไม่รู้ว่าคำว่าไม่เป็นไรของเจิ้งซิ่วหยาไม่ได้หมายถึงแบบนี้
“ฉันก็จะ……พยายามเต็มที่เช่นกัน”