ตอนที่ 972 อย่าไร้เดียงสานัก
หลงจื่อปล่อยมือด้วยความโศกเศร้า ทิ้งปากกาบันทึกเสียงไว้ในมือของพี่ใหญ่
เขาจะส่งตัวพ่อของเขาไปขึ้นศาล ให้ทุกคนรู้ความผิดที่เขาซ่อนเอาไว้ และฐานะเจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์จีนที่เขาลำบากสร้างขึ้นจะต้องสูญเสียไม่เหลือ ต่อไปชื่อของหลงถิงก็จะถูกตีตราว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย ต้องพบกับความตำหนิ ด่าทอ ทับถมจากผู้คน
ตัวเขาต้องพังพินาศ เป็นนักโทษให้ใครต่อใครด่าสาดเสียเทเสีย
พอนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ก็เหมือนมีลูกไฟพุ่งเข้ามาในใจ เปลวเพลิงที่ร้อนแรงได้เผาผลาญหัวใจจนเป็นผุยผง
ปากกาบันทึกเสียงถูกหลงจื๋อกำไว้ในมือจนร้อน วางอยู่ในมือของหลงเซียว มันไม่ใช่หลักฐานอีกต่อไป แต่มันเป็นท่าทีของลูกที่มีต่อพ่อ บางทีหลังจากนี้ หลงจื๋อกับหลงถิงอาจจะตัดขาดความเป็นพ่อลูก ยืนกันคนละฝั่ง
จากนิสัยของหลงถิง ไม่แน่อาจใช้วิธีขั้นสูงสุดให้หลงจื๋อจ่ายค่าตอบแทน
หลงเซียวเหลือบตาลง ดวงตาสีดำกลิ้งมองดู
“เสี่ยวจื๋อ หลักฐานชิ้นนี้ ฉันไม่เอา”
หลงจื๋อเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่แดงก่ำเบิกกว้างแทบไม่อยากเชื่อ “พี่ พี่พูดอะไรน่ะ? ทำไมไม่เอา? ถ้าไม่มีหลักฐานใหม่ พี่จะเอาอะไรไปอุทธรณ์?”
หลงเซียวใช้มือกดหัวไหล่ที่ผอมกะหร่องของหลงจื๋อ เขาผอมลงไปมาก รู้สึกถึงกระดูกหัวไหล่ที่โปนออกมาจากเสื้อที่คั่นอยู่ “ถ้าต้องสังเวยด้วยความรู้สึกของพ่อลูกมาเป็นค่าตอบแทน การฟ้องร้องครั้งนี้ ต่อให้ชนะ ก็เท่ากับแพ้อยู่ดี”
การชนะคดี เพื่อคืนความถูกต้องให้กับพ่อของเขา ให้ฆาตกรตัวจริงสู่กระบวนการยุติธรรม คืนความเป็นธรรมให้กับผู้ตาย
แต่หลังจากนั้นล่ะ?
เขาช่วงชิงทุกอย่างเพื่อพ่อของเขา แต่เสี่ยวจื๋อกลับต้องเสียพ่อเพราะเหตุนี้ และกลายเป็นคนผิดที่หักหลังพ่อแท้ๆ ตัวเอง
เป็นชัยชนะที่น่าอวดตรงไหน? แล้วต่อไปพวกเขาพี่น้องจะเข้าหน้ากันอย่างไร? แล้วเขาจะทำให้หลงจื๋อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ไหน?
หลงจื๋อปาดน้ำตา “พี่ใหญ่ พี่กำลังคิดเพื่อผมเหรอ? พ่อกลัวว่าผมจะเสียพ่อเพราะเรื่องนี้
เหรอ?”
ในใจของหลงเซียวคิดเช่นนี้จริงๆ แต่เขาไม่ได้พูดออกมา มองใบหน้าเยาว์วัยที่ฮึกเหิมของหลงจื๋ออย่างเงียบๆ เข้าใจพลังเด็กหนุ่มของเขา เข้าใจความเกลียดชังที่เขามีต่อความชั่วร้าย ความตรงไปตรงมาของเขา แต่เขาไม่สามารถยอมรับความปรารถนาเพียงฝ่ายเดียวได้
“พี่ใหญ่ ผมยินดี ผมก็คิดไม่ออกนอกจากการได้คำสารภาพจากเขาแล้วยังมีวิธีไหนอีก พี่ไม่ต้องนึกถึงความรู้สึกของผม เอาไปเถอะ คนผิดก็คือคนผิด ไม่เกี่ยวกับความเป็นพ่อลูก พี่ก็ถือซะว่าผมเป็นพวกถือคุณธรรมตัดญาติก็แล้วกัน”
หลงจื๋อลูบจมูก ปลายจมูกถูกเขาเช็ดจนแดง “ผมไม่ได้เก่งเหมือนพี่ และก็ไม่ได้ร้ายกาจเหมือนพี่ เลยคิดได้แต่วิธีโง่ๆ”
การที่พี่ใหญ่ห่วงใยจุดยืนและความรู้สึกของเขา ยิ่งทำให้เขารู้สึกซาบซึ้ง
ถ้าเกิดเป็นเขา ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเป็นพ่อของศัตรูที่ฆ่าพ่อตัวเอง บางทีเขาคงบุกเข้าไปต่อยหน้าแล้ว
แต่พี่ใหญ่เปล่า พี่ใหญ่เมตตาเขามากที่สุดแล้ว เขาควรจะรู้จักพอ หลงเซียวตบไหล่เขาเบาๆ อย่างมีความหมาย “ปากกาบันทึกเสียงเก็บไว้ที่พี่ก่อน ยังไม่ถึงเวลาเปิดศาล ทุกอย่างจะยังไม่ถูกกำหนด แล้วก็ สิ่งที่นายได้ยินมาอาจจะไม่ใช่ความจริง บางครั้งสิ่งที่ได้ยินได้เห็น จะอาศัยแค่หูกับดวงตาไม่ได้ ให้ใช้ตรงนี้คิด ใช้ตรงนี้สัมผัส”
หลงเซียวชี้ไปที่สมอง แล้วก็หัวใจของเขา
“ผมจะเรียนรู้ให้ได้ ขอบคุณพี่ใหญ่”
“คืนนี้นายไม่ต้องไปงานเลี้ยงตระกูลหลินเหรอ? ดูท่าทางนายอย่างนี้คงไม่ไหวแล้วกระมัง?” หลงเซียวเอาปากกาบันทึกเสียงใส่ลงในกล่องดินสอ พลางถามยิ้มๆ
หลงจื๋อเกาศีรษะ “ไม่ไป ไว้เดี๋ยวผมค่อยไปอธิบายก็ได้”
เดิมทีเขาอยากไป แต่ดึกมากแล้ว อีกใจเขามีเรื่องใหญ่ในใจขนาดนั้น จะมีอารมณ์ไปงานเลี้ยงที่ไหนกัน แล้วยิ่งแข่งไหวชิงพริบกับพวกหลินเหว่ยเย่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังจัดการเรื่องพี่ใหญ่ไม่เสร็จ เขาก็ทำอย่างอื่นไม่ลง
หลงเซียวคิ้วขมวด “ต่อไปอย่าให้ผิดซ้ำในเรื่องเดียวกันอีก เรื่องราวมีหนักมีเบามีช้ามีเร็ว ปากกาอัดเสียงอยู่ที่นาย จะให้ฉันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมียนายยังอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอ ถ้านายช้าไปก้าว อยู่ๆ สองผัวเมียหลินเหว่ยเย่กลับลำมาทำนายลำบากใจ นายจะทำอย่างไร?”
ใจของหลงจื๋อพูดด้วยความคลุมเครือ “ผมไม่ได้คิดถึงขนาดนั้น”
“นายต้องคิดให้มาก ไม่ใช่แค่เรื่องแต่งงาน หน้าที่การงานของนาย ชีวิตของนาย นายต้องเดินหนึ่งก้าวมองไปข้างหน้าสองก้าว”
หลงจื๋อสูดจมูกเข้า ฝืนยิ้มแหยๆ “ผมรู้ทฤษฎี แต่ปฏิบัติมันยาก ผมจะไปทีละขั้นทีละตอนก็แล้วกัน”
เขาอาจไม่เหมาะอยู่ในสนามธุรกิจที่ซับซ้อนก็ได้ สู้มอบที่นาให้เขาสักแปลง ให้เขาแบกจอบไปปลูกข้าวโพดเสียดีกว่า เขาเชี่ยวชาญการปฏิบัติ แต่ถ้าให้เขาใช้ความคิด เขาคงจะหัวฟู
หลงเซียวก็เห็นนิสัยข้อนี้ของเขา จึงผุดความคิดอย่างนี้ขึ้นมา
……
“ที่รัก เสี่ยวจื๋อพูดอะไรกับคุณเหรอ? ฉันเห็นตาเขาแดงก่ำเหมือนร้องไห้ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ส่งหลงจื๋อที่หน้าบ้านเสร็จ ชูชูหลับไปแล้ว ลั่วหานกลับมาที่ห้องนอนกับหลงเซียว จึงดึงหลงเซียวมาไต่ถาม
“เสี่ยวจื๋อเอาปากกาบันทึกเสียงด้ามหนึ่งให้ผม ในนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับคดี” หลงเซียวพูดเพียงเท่านี้
ดวงตาดำขลับของลั่วหานเป็นประกายขึ้นมาทันที “หรือว่าเป็นคำสารภาพของหลงถิง?”
หลงเซียวหลับตาลงทั้งคู่ “อืม”
“งั้น……” ลั่วหานเข้าใจแล้วว่าทำไมอารมณ์ของหลงเซียวถึงดูหนักอึ้ง
“ผมจะตั้งใจฟัง ว่าใช้ได้เหรอเปล่า จะใช้ยังไง ผมจะคิดให้ดี แต่ถ้าไม่ถึงท้ายที่สุด ผมจะไม่มอบเสียงบันทึกนี้ให้กับศาล ถ้าเสียงบันทึกกลายเป็นคำให้การ เกรงว่าความเป็นพ่อลูกของหลงถิงกับหลงจื๋อคงจะสิ้นสุดลง” หลงเซียวโอบเอวของลั่วหานไว้ สูดกลิ่นหอมจากเส้นผมของเธอ
ลั่วหานออกแรงกอดเขากลับ ใบหน้าด้านข้างแนบลงที่ทรวงอก “ฉันเข้าใจความคิดของเสี่ยวจื๋อ แต่เขาจะสูญเสียหลายอย่าง ซึ่งไม่ยุติธรรมกับเขา เราจะเห็นแก่ตัวเกินไปไม่ได้”
“ขอบใจนะ ที่รัก” หลงเซียวซาบซึ้งในความรู้ความของเธอ การที่เธอเข้าใจความวิตกของเขาได้สำคัญมากกว่าสิ่งใด
“แต่ไม่มีหลักฐานใหม่ที่มีน้ำหนัก จะเปิดศาลอย่างไร?” ลั่วหานยังตกอยู่ในวังวนไม่รู้ว่าทางออกอยู่ไหน
“หลักฐานเตรียมไว้อยู่นานแล้ว ในเมื่อผมจะสู้คดีครั้งนี้ ก็ต้องคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด นึกว่าไม่มีหลักฐานของหลงถิงในที่เกิดเหตุสักชิ้นเดียวก็จะล้มล้างทุกอย่างได้เหรอ? เขาจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อยแล้ว”
หลงเซียวยกมุมปากปกปิดเรื่องราวอย่างมิดชิด
“หลักฐานของคุณคืออะไร? คุณมีหลักฐานใหม่ที่ไหนกัน? ขึ้นศาลครั้งแรกก็ใช้ไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?” ลั่วหานฟังแล้วก็งง
“อยากเอาชนะหลงถิง จะเปิดไพ่ตายทั้งหมดไม่ได้ ยิ่งเขารู้สึกว่าชัยชนะอยู่ในมือก็จะยิ่งคลายความระวัง คุณฉลาดขนาดนี้ ทายความหมายตรงนี้ไม่ออกเหรอ?”
แต่เครื่องบันทึกเสียงล่ะ? เขาต้องฟังแน่
ลั่วหันพินิจพิเคราะห์ “กลยุทธ์น่ะถูกต้อง……แล้วก็ การฟื้นขึ้นมาของถังจงรุ่ย ก็มีโอกาสทำให้คดีพลิกสูง! หรือไพ่ตายของคุณก็คือถังจงรุ่ย?!”
ลั่วหานผละตัวออกจากหลงเซียว ดวงตาสดใสที่ได้พบช่องทางใหม่รีบถามขึ้นมา
“ผมจะเอาไพ่ตายไว้ที่คนที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือจะตายอย่างนั้นเหรอคุณหมอฉู่? ทางการแพทย์ยังไม่สามารถรับประกันได้เลย ผมยิ่งไม่สามารถลงเดิมพัน อย่าเดาเลย ผมจะจับตาความคืบหน้าของคดีเอง”
ลั่วหานยักไหล่ “ก็ดี พรุ่งนี้ฉันมีการผ่าตัด ขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อน คุณยังจะทำงานต่อไหม?”
“อืม เพิ่งประชุมไปแค่ครึ่งเดียว ต้องประชุมต่อ”
หลงเซียวกลับมายังห้องหนังสือ แต่ไม่ได้ประชุมต่อจากที่เหลือ แต่กลับเปิดปากกาบันทึกเสียง จากด้านหลังสุด——
“นี่แกใช่ลูกแท้ๆ ของฉันเหรอเปล่า! ทั้งที่เป็นลูกชายฉันสุดท้ายก็คิดจะส่งฉันเข้าคุก!”
“พ่อ พ่อทำผิดไปแล้ว อย่าทำผิดอีกเลย ถึงเวลาจบเรื่องทุกอย่างแล้ว วางใจได้ ไม่ว่าพ่ออยู่ในฐานะอะไร ผมจะกตัญญูต่อพ่อจนแก่”
“ฉันอยากยิงแกทิ้งจริงๆ!”
“……พ่อไม่ได้เพิ่งลั่นไปเป็นครั้งแรก……”
“มู่เส้าเอินมันสมควรตาย! แกจะไปรู้อะไร!”
พอฟังถึงตรงนี้ หลงเซียวก็กดปุ่มหยุด แล้วก็ฟังย้อนกลับไป “มู่เส้าเอินมันสมควรตาย! แกจะไปรู้อะไร……มู่เส้าเอินมันสมควรตาย!”
สมควรตาย?
ในสายตาของหลงถิง คนของตระกูลมู่สมควรตาย?!
โทสะบันดาลขึ้นมาในทันที หลงเซียวกำหมัดด้วยจิตใต้สำนึก!
แต่โทสะบันดาลแค่ไม่กี่วินาที เขาก็คลายหมัดลง ใบหน้าทะมึนตึงสุดที่จะพรรณนา ย้อนเปิดเทปบันทึกเสียงอีกครั้ง……
โทสะของหลงถิงทำให้เขาขาดสติสัมปชัญญะ การเผชิญหน้าการไล่ต้อนของหลงจื๋อ หลงถิง จึงบอกความจริงที่ฆ่าคน
แต่สิ่งที่โพล่งออกมา เป็นความจริงหรือด้วยอารมณ์?
ที่เขาบอกว่าตระกูลมู่สมควรตาย หมายความว่าอะไร?
แล้วที่เขาพูดกับหลงจื๋อว่า “ลูกจะไปรู้อะไร?”
ราวกับว่ากำลังถอนใจ และก็โมโหจนขีดสุดแทบจะหมดแรง
หรือว่า……มีอย่างอื่นแอบแฝง?
หลงเซียวปิดเครื่องบันทึกเสียง ตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน
ผนวกกับภาพหลงถิงในห้องหนังสือ นึกถึงตำแหน่งและศักยภาพสมัยที่เขาอยู่อเมริกาในตอนนั้น เรื่องราวหลายอย่างถูกหมอกควันหนาทึบอำพรางไว้ ยิ่งอยากจะให้ชัดเจน ก็ยิ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน
เขามองข้ามอะไรไปนะ?
มองข้าม……อะไรไปกันแน่?