บทที่ 367 โครงการใหญ่
ตระกูลเวิน หลังจากเวินฉี่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในงานประมูลแล้ว ก็รู้สึกโกรธมาก!
“เรื่องง่ายๆแค่นี้แกก็ทำไม่สำเร็จ!แกทำยังไงของแกห๊ะ?”
เวินหงไห่ยังคงยืนบีบคิ้วอยู่ข้างล่าง โดยไม่ยอมพูดสักคำ
สีหน้าของเวินฉี่ดูแย่มาก ไม่เคยคิดเลยว่าจี้จิ่งเชินจะใช้วิธีแบบนี้!
หรือว่าเขารู้ตั้งนานแล้วว่ามีสิ่งผิดปกติ?
เขาขมวดคิ้ว ในใจก็ยิ่งสับสนวุ่นวายเข้าไปอีก
“โอกาสดีขนาดนี้ แกยังปล่อยให้หลุดลอยไปแบบนี้เหรอ ไหนก่อนหน้านี้แกบอกว่า ได้เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้วไม่ใช่หรือไง? ”
เวินหงไห่ถูกด่าจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
“ผมให้คนคอยตามดูเธอตลอด และมันไม่มีเรื่องแปลกๆอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ใครจะไปรู้……”
เวินฉี่จ้องเขาอยู่สักพัก แล้วค่อยๆถอนหายใจออกมา
“ช่างมันเถอะ สองสามเดือนที่ผ่านมา แกก็ได้ตรวจสอบแล้วนี่แต่ก็ไม่พบ แค่เสียดาย ว่าที่เราทำมาทั้งหมด มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ”
เมื่อเวินหงไห่ได้ฟังประโยคนี้ ก็นิ่งและคิดอยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นมา:“จริงๆแล้วสิ่งที่พวกเราทำไปไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปเสียทุกเรื่องนะครับ”
เขาเงยหน้าขึ้นมา
“ตอนนี้จี้จิ่งเชินก็ได้ตายไปแล้ว และบริษัทเอ็มไอกรุ้ปก็วุ่นวายไปหมด เวินเที๋ยนเที๋ยนแค่คนเดียวแบกบริษัทขนาดใหญ่แบบนี้ไม่ไหวหรอกครับ ”
เมื่อเวินฉี่ได้ฟัง ก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเห็นด้วย
“แกมั่นใจว่าจะสามารถแย่งบริษัทจากมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนได้อย่างนั้นเหรอ?”
เวินหงไห่ พยักหน้าอย่างแน่วแน่
“ผมมั่นใจ”
“ดี!” เวินฉี่พูดขึ้นมาด้วยความพอใจ แล้วพูด:“ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นแกก็ไปลงมือทำเอง แล้วจำคำพูดของตัวเองไว้ด้วย”
“ครับพ่อ” เวินหงไห่ตอบกลับไป
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆก็มีคนมาเคาะประตูห้องหนังสือ
เมื่อประตูเปิดออก ก็มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามา
เขาเดินเข้ามาสองก้าว แต่ก็ยังคงยืนอยู่ตรงตำแหน่งหน้าประตู แล้วพูด:“ท่านนายพลครับ มีข่าวส่งมาจากทางปราสาทครับ บอกว่าวันนี้คุณเวินได้เข้าไปอยู่ในปราสาทแล้ว และเกรงว่าจะไม่กลับมาอยู่ที่นี่อีก ท่านจะให้คนไปพาตัวเธอกลับมาไหมครับ?”
เวินฉี่กำลังเล่นวอลนัทในมือ ผ่านไปสักพัก จึงค่อยได้พูดขึ้นมา:“ไม่ต้อง ในเมื่อเธออยากอยู่ที่นั่น ก็ให้เธออยู่ไป”
พูดเสร็จ เขาก็ยกมือขึ้นโบกให้กับบอดี้การ์ดคนนั้น
“ติดตามดูต่อไป มีความเคลื่อนไหวอะไรก็รีบกลับมารายงานฉัน ”
“ครับ ท่านนายพล”
เมื่อรอจนบอดี้การ์ดออกไปแล้ว เวินฉี่ก็หันไปมองเวินหงไห่
“แกก็ลงไปได้แล้ว แล้วเรื่องบริษัท แกก็รับผิดชอบไปแล้วกัน อีกครึ่งปี แกจะต้องเอาบริษัทเอ็มไอกรุ้ปมาเป็นของแกให้ได้”
“ครึ่งปี?”
เวินหงไห่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย
เวินฉี่พยักหน้า ยืนขึ้นแล้วเดินไปข้างๆผนัง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเครื่องอิสริยาภรณ์ที่แขวนไว้บนผนัง
“ฉันเพิ่งได้ข่าวมา ว่าการประชุมธุรกิจเอเชียแปซิฟิกจะถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในครึ่งปีหลัง เมื่อถึงเวลานั้นจะมีโครงการใหญ่โครงการหนึ่งเกิดขึ้น”
ถึงแม้เวินหงไห่ได้ฟังประโยคนี้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
โครงการอะไรกัน ถึงสามารถทำให้เวินฉี่สนใจได้ขนาดนี้?
ราวกับเวินฉี่เดาความคิดของเขาออก แล้วหันหน้ามามองเขา
ในดวงตามีความเปล่งประกายขึ้นมา
“เพื่อการประชุมครั้งนี้ ฉันได้ยื่นขอเลื่อนเกษียณไปอีกสองเดือน แกอย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ ขอแค่ได้โครงการนี้ ผลกำไรที่พวกเราจะได้มันมากกว่ากำไรที่ได้จากยุทธปัจจัเป็นสิบเท่า”
เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ แม้แต่เวินหงไห่ก็ตาลุกวาวขึ้นมาเหมือน
ไม่รู้เลยว่าจะได้ผลกำไรที่น่ากลัวแบบไหน?
ไม่แปลกใจเลยที่เวินฉี่ ไม่ลังเลที่จะเลื่อนเวลาเกษียณออกไป……
เวินหงไห่ รู้สึกดีใจมาก แล้วพยักหน้าขึ้นมา
“ไม่มีปัญหาครับ หลังจากครึ่งปี จะไม่มีบริษัทเอ็มไอกรุ้ปอีกต่อไป!”
หลังจากกลับมาอยู่ที่ปราสาท เวินเที๋ยนเที๋ยนก็ยุ่งอยู่ที่บริษัท
ถึงแม้ใช้หนังสือสัญญาที่จี้จิ่งเชินเก็บไว้ รักษาบริษัทและธุรกิจภายใต้ชื่อของเขาไว้ได้ แต่สถานการณ์ของบริษัทในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถแก้ไขได้เสร็จในชั่วอึดใจ
มีกรณีร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งที่ถูกอีกอีกฝ่ายฉีกสัญญาไปแล้ว เธอต้องคอยจัดการเป็นเรื่องๆไป
มีกรณีร่วมลงทุนอีกมากมายที่ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และเมื่อได้ทำการชดเชยเงินตามสัญญาไปแล้ว บริษัทจึงตกอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้ง เพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่าย
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้ว
เธอกำลังดูเอกสารในมืออยู่ เพราะในสัญญาร่วมลงทุนที่เหลืออยู่ เธอไม่สามารถให้ความผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นได้อีก
คนในบริษัทถูกส่งออกไปเจรจาธุรกิจกันหมด และมีเหลืออยู่ในบริษัทเพียงไม่กี่คน
เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ แม้แต่ตัวเธอก็ต้องลงมือจัดการเอง
แต่ถึงแม้จะรักษาผู้ร่วมลงทุนที่เหลือทั้งหมดไว้ได้ ก็แค่จะสามารถทำให้ไม่ขาดทุนก็เท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้บริษัทกลับมาเหมือนเดิม ก็ต้องหาคนมาร่วมลงทุนเพิ่ม
แต่จากสถานการณ์ของอ็มไอกรุ้ปในตอนนี้ ทุกคนแทบจะซ่อนตัวกันไม่ทัน แล้วจะมีคนเข้ามาร่วมลงทุนได้ยังไง?
เวินเที๋ยนเที๋ยนนวดหน้าผากตัวเอง รู้สึกสับสนไปหมด และหาวิธีแก้ไขปัญหาไม่เจอเลย
เธอลุกขึ้นยืน แล้วเตรียมจะไปชงกาแฟเพื่อเปลี่ยนอารมณ์
พนักงานในบริษัทลดลงไปครึ่งหนึ่ง และเพื่อจะสามารถทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงย้ายห้องทำงานของเธอจากชั้นบนสุดมาอยู่ข้างล่าง
เธอเดินออกมาอย่างใช้ความคิด แล้วเดินไปทางห้องเครื่องดื่ม
เพิ่งจะเดินไปได้ครึ่งทาง กลับได้ยินเสียงพูดคุยกัน
“แปลกจัง ทำไมไม่มีใครสักคน ผมจำได้ว่า น่าจะอยู่ชั้นบนสุดมั้ง?”
“ห้องทำงานของท่านประธาน ก็ต้องอยู่ชั้นบนสุดสิ ระวังหน่อย อย่าทำเอกสารป่นกันล่ะ”
“ผมโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสียงที่จงใจพูดเบาบ่นขึ้นมา
ผ่านไปสักพัก ก็ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาอีก: “บริษัทใหญ่ขนาดนี้ ตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ไปซะแล้ว น่าเสียดายจริงๆเลย”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินสองเสียงที่คุ้นเคย ก็หยุดเดินทันที แล้วมองไปทางต้นเสียง
ทันใดนั้น ก็เห็นร่างของคนสองคนกำลังเดินเข้ามาจากข้างนอก
หนึ่งในนั้นหันซ้ายหันขวา ดูลับๆล่อๆ และขมวดคิ้วด้วยใบหน้าที่กังวล
แต่ท่าทางนั้น กลับทำให้เวินเที๋ยนเที๋ยนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ท่านจาง ท่านเปิง พวกคุณมายังไงคะ?”
เมื่อพวกเขาสองคนได้ยินเสียงของเธอ ก็หันหน้ามาหาเธอพร้อมกัน
และเมื่อมองเห็นเวินเที๋ยนเที๋ยน ท่านจางก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที
“อั้ยหยา สาวตัวน้อย เธอมาอยู่ที่นี่นี่เองเหรอ พวกฉันเกือบจะไปหาหนูชั้นบนอยู่แล้วเชียว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเดินยิ้มเข้าไปหา
“คุณมาได้ยังไงคะ?”
ท่านจางไม่ได้เจอกับเวินเที๋ยนเที๋ยนนานมากแล้ว และเมื่อเห็นเธอรีบเดินเข้ามาหา ก็เลยได้สังเกตเธอ เมื่อยิ่งมองหน้าก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง คิ้วทั้งสองข้างขมวดลง
“หนูดูตัวเองสิ ไม่ได้พักผ่อนมากี่วันแล้วห๊ะ?”
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินประโยคนี้ ก็อึ้งไป แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ: “พอดีช่วงนี้ที่บริษัทจะค่อนข้างยุ่งนะค่ะ ผ่านไปสักพักก็คงจะดีขึ้น”
ท่านจางถอนหายใจออกมา
“ฉันรู้ แล้วบริษัทใหญ่ขนาดนี้ หนูดูแลคนเดียวไหวเหรอ? ระวังจะส่งผลต่อสุขภาพนะ ทั้งๆที่ถนัดเรื่องบูรพาวัตถุโบราณ แต่กลับถูกบังคับ……เฮ้อ……”
เขาถอนหายใจออกมา
ท่านเปิงที่ยืนอยู่ข้างหลังขมวดคิ้วขึ้นมา ดึงแขนเขาไปหนึ่งทีด้วยความไม่พอใจ
“พอแล้ว พอแล้ว”
เขาดึงท่านจางถอยลงมา แล้วหันไปมองเวินเที๋ยนเที๋ยน แล้วกำลังจะเปิดปากพูด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เมื่อท่านจางเห็นแบบนี้ ก็กลอกตาขึ้นข้างบนทันที
คุณยังจะมาว่าผมอีก คุณเองก็เป็นเหมือนผมไม่ใช่หรือไง?