บทที่ 400 ลูกพี่ลูกน้อง
ด้วยสภาพแวดล้อมที่แย่มาก จึงทำให้จี้ยี่หยันรู้สึกสติแตกอยู่ตลอดเวลา
ถึงแม้จะเห็นว่ารถไปแล้ว แต่จี้ยี่หยันก็ยังคงยืนด่าด้วยความไม่ยอม หมุนตัวแล้วเดินโซซัดโซเซไปตรงที่ตัวเองอาศัยอยู่
ร่างกายของเขาดูเหมือนมีอาการป่วย และดูอ่อนแอ จนแทบจะเทียบไม่ได้กับแรงของผู้หญิง สายตาที่เห็นผ่านจากเส้นผมนั้น เต็มไปด้วยความกลัวและความทุกข์
และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้าซึม
จี้ยี่หยันเดินผ่านกล่องหลายกล่องที่ทั้งดำและทั้งเหม็น จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหัวมุม
ความสูงของประตูที่อยู่ข้างหน้าของเขานั้นมีความสูงไม่เท่าร่างของเขา เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เข้าไปเขาจึงต้องก้มตัวตลอด
เดิมทีประตูเป็นประตูพลาสติกสีขาว และตอนนี้บนประตูก็มีคราบมากมายที่ไม่รู้ว่ามาติดตั้งแต่ตอนไหน จนประตูเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งบาน
และเมื่อเขาได้เห็นบานประตู ในใจก็ยิ่งรู้สึกโกรธขึ้นมาอีก แล้วยกเท้าถีบไปหนึ่งที!
เสียงดังโครมครามขึ้นมา และประตูก็เกิดรอยแตกขึ้นมาตรงตำแหน่งล็อก เมื่อดันออกไป ก็ไปชนเข้ากับประตูที่อยู่ข้างหลัง แล้วติดอยู่ในนั้น
คนที่นั่งอยู่ข้างในอยู่ก่อนแล้วจึงตกใจ เพราะคิดว่าจะมีคนพังประตูเข้ามา จึงได้ไปหยิบเอาท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆมาอย่างระมัดระวัง
จนเมื่อเห็นร่างของคนที่เข้ามา เธอจึงถอนหายใจออกมา
“เป็นยี่หยันเองเหรอลูก”
ฉวีช่วยฉินเดินเข้ามาหา แต่เมื่อเห็นประตูบานนั้นที่ถูกเตะจนเสีย เธอก็อุทาน“ไอ้หยา”ขึ้นมาทันที แล้วรีบเดินไปดู
“ลูกเตะประตูทำไม แล้วต่อไปตอนกลางคืนจะนอนยังไง? แล้วถ้าของอะไรหายจะทำยังไง?”
ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีทุกแบบ ขโมยยิ่งไม่ต้องพูดถึงมีจนนับไม่ถ้วน ตอนประตูบานนี้ยังใช้การได้ มันก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อย
และต่อจากนี้ไปจะต้องเปิดประตูนอน แล้วพวกเขาจะนอนแบบสบายใจได้ยังไง?
เธอเดินเข้าไปและดูว่าประตูได้รับเสียหายแค่ไหน โดยที่ เธอหวังว่าจะสามารถซ่อมและใช้งานต่อได้
“จริงๆเลย มีใครทำให้ลูกโกรธอย่างนั้นเหรอ? แล้วจะมาลงที่ประตูทำไม……”
“จะบ่นอะไรนักหนา! แค่ประตูบานเดียวไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อเสียแล้วก็แค่ซื้อใหม่ก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ในขณะที่บ่นอยู่นั้น จี้ยี่หยันก็ขมวดคิ้วและตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์
ฉวีช่วยฉินอึ้งทันที แต่ก็ยังบ่นเสียงเบาขึ้นมาหนึ่งประโยค
“ตอนนี้มีเงินซะที่ไหนล่ะ……”
“ผมบอกให้แม่เงียบ!”
ไม่รู้ว่าส่วนไหนของประโยคนี้ที่ไปกระทบจิตใจของจี้ยี่หยันเข้า เขาจึงได้รีบพูดเสียงดังขึ้นมาขนาดนี้
“ผมบอกให้แม่เงียบ! บ่นทั้งวัน มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา? แม่ลองดูซิว่าบ้านนี้มีของอะไรที่สามารถขโมยได้บ้าง? ”
เขาก็อ้าแขนออก
“อยากขโมยก็ให้เข้ามาขโมย ผมจะเปิดประตูต้อนรับพวกเขาเลย”
จี้ยี่หยันยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธขึ้นมา แล้วชี้ที่ฉวีช่วยฉินแล้วพูด: “ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดแย่ๆพวกนั้นของแม่ พวกเราจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ไหม?”
เมื่อฉวีช่วยฉินได้ฟังประโยคนี้ ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ
เธอจึงยืนขึ้นมาทันที
“มันเกี่ยวอะไรกับแม่ห๊ะ? แกทำไมไม่ดูตัวแกเองบ้าง? อุตส่าห์หนีออกมาได้แล้ว แต่แกก็ยังทำร้ายตัวเอง วันทั้งวันไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง แม้แต่ของกิน ของใช้ของแกเอง แม่ก็ต้องเป็นคนที่ไปหามาให้! แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมาว่าแม่ห๊ะ?”
สีหน้าของจี้ยี่หยันเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ทันที และเมื่อฉวีช่วยฉินเห็นท่าทีของเขา ก็ดึงสติของตัวเองกลับมาจากความโกรธได้
เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาเขา
“ยี่หยัน แม่ไม่ได้หมายความแบบนี้นะ แม่แค่อยากให้ลูกลุกขึ้นมาสู้บ้าง…… ”
แต่สีหน้าของจี้ยี่หยันยังคงดูไม่ได้เหมือนเดิม
“ตอนนี้เริ่มโทษผมแล้วใช่ไหม? แม่ก็ไปสิ ผมไม่ต้องการให้แม่มาเลี้ยง ผมสามารถเลี้ยงตัวเองได้!”
พอพูดประโยคนี้เสร็จ เขาก็หมุนตัวพังประตู แล้วเดินออกไป
ประตูพลาสติกจากเดิมทีที่มันพังอยู่แล้ว และเมื่อชนเข้ากับกรอบประตูอีกครั้ง ก็มีเศษสิ้นส่วนเล็กๆที่ออกมา แล้วแตกออกเป็นสองชิ้นทันที
ฉวีช่วยฉินจึงตามออกไปด้วยความไม่วางใจ แล้วเดินขอโทษตามหลังของจี้ยี่หยัน
“แม่ขอโทษ เป็นความผิดของแม่เอง”
“อย่าโกรธแม่เลยนะลูก เมื่อกี้แม่แค่กังวลก็เท่านั้นเอง ต่อไปลูกอยากจะทำอะไรก็ตามใจของลูกเลยนะ ไม่ต้องสนใจแม่ ”
เธอจึงรีบอธิบายขึ้นมา
แต่จี้ยี่หยันแทบจะไม่สนใจเธอเลย
เขากลับเดินออกไปข้างนอก
และคนที่เดินตามหลังอย่างฉวีช่วยฉินก็สะดุดเข้ากับก้อนหิน จนเกือบจะล้มลงไปกับพื้น แต่เขาก็แทบจะไม่หันกลับไปมองเธอเลย
ฉวีช่วยฉินจึงรีบตะโกนออกไป: “หยัน ลูกจะไปไหน? ลูกต้องการอะไร แม่ช่วยลูกได้นะ”
เท้าที่ก้าวเดินอยู่ของจี้ยี่หยันก็หยุดลงทันที แล้วหันหน้ามามองคนที่อยู่ข้างหลังอย่างฉวีช่วยฉิน
เขาเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย และสายตาก็มองลงมา แล้วจงใจพูดเล่นแง่: “อะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ? งั้นผมต้องการใช้ชีวิตแบบเมื่อก่อน! ต้องการเงิน แม่ให้ผมได้ไหม? ”
เมื่อฉวีช่วยฉินได้ฟังประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมาทันที
เพราะมันเป็นสิ่งที่เธอทำไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อจี้ยี่หยันเห็นสีหน้าของเธอ ก็หัวเราะออกมาเสียงเย็น
“ทำไม่ได้ล่ะซิ? ถ้าทำไม่ได้แม่ก็หยุดพูดเถอะ!”
พูดเสร็จ เขาก็หมุนตัวไปแบบไม่ปรานี แล้วเดินจากไปเลย
ฉวีช่วยฉินเดินโซซัดโซเซไปสองก้าว แล้วก็นั่งลงไปกับพื้น สายตาดูซึม ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ผ่านไปสักพัก เธอก็ใช้แรงเช็ดน้ำตาที่คลออยู่โดยที่ยังไม่ได้ไหลลงมา แล้วยืนขึ้น ตัดสินใจเดินออกไปข้างนอก
เธอเดินผ่านซอยไป จนมาถึงสลัมแห่งหนึ่ง และเดินมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในใจกลางเมือง
เพราะว่าไม่มีค่ารถจะจ่าย แม้แต่เงินค่านั่งรถสาธารณะเธอแทบไม่กล้านำออกมาใช้
จนเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด เธอถึงจะเดินมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง
เมื่อท้องฟ้ามืดสนิทลงแล้ว ไฟในคฤหาสน์ก็สว่างขึ้น
ถึงแม้จะยืนอยู่ข้างนอก เธอก็สามารถมองเห็นการตกแต่งที่ดูเรียบง่ายและสง่างาม ทำให้ใจของเธอรู้สึกโหยหาขึ้นมา
ฉวีช่วยฉินยืนอยู่หน้าประตู และลังเลอยู่สักพัก จนในสุดท้ายก็เดินเข้าไปข้างหน้า แล้วกดกริ่งที่อยู่หน้าประตู
ผ่านไปสักพัก ก็มีคนเดินมาเปิดประตูให้
อีกฝ่ายก็เห็นว่าเธอใส่เสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ย และมีคราบต่างๆอยู่บนเสื้อผ้า ใบหน้าก็ไม่มีเครื่องสำอาง ผิวพรรณก็ดูหยาบกร้านจนดูมีอายุมากกว่าอายุจริงสิบปี
“ไม่ทราบว่ามาหาใครคะ?”
ฉวีช่วยฉินเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง
“ช่วยไปตามพ่อบ้านฉวีผิงให้หน่อยได้ไหม ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเขานะ”
คนที่มาเปิดประตูสังเกตเธออีกครั้งด้วยความตกใจ
ฉวีช่วยฉินก้มหน้าเล็กน้อย แล้วก็ลูบใบหน้าของตัวเอง ด้วยความกังวลว่าอีกฝ่ายจะดูเธอออกว่าเป็นใคร
แต่ว่า ลักษณะของเธอในตอนนี้กับเมื่อก่อนราวกับคนละคนกัน จึงทำให้อีกฝ่ายดูไม่ออก
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปบอกพ่อบ้านให้ คุณรอสักครู่นะคะ”
พูดเสร็จ คนคนนั้นก็หมุนตัวและเดินเข้าไปข้างใน
เธอมองลอดเข้าไปข้างในจากช่องประตูที่เปิดไว้อย่างระมัดระวัง
เมื่อได้สังเกตการตกแต่งของลานบ้านข้างใน ก็เห็นว่าตรงระเบียงทางเดินนั้นมีวัตถุโบราณที่มีราคาแพงวางไว้ทุกที่ เธอก็รู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้า
ถ้าหากไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ตอนนี้เธอกับยี่หยันก็คงจะอาศัยอยู่ในบ้านลักษณะนี้เหมือนกัน
เธอจึงถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นก็เห็นว่าคนที่มาเปิดประตูให้เมื่อสักครู่กำลังเดินกลับมา และข้างหลังของเขาก็มีฉวีผิงตามมาด้วย
ถ้าพูดตามหลักฉวีผิงน่าจะอายุมากกว่าเธอ แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ ฉวีช่วยฉินกลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นแก่ขึ้นมาก
แค่มองเห็นเขา สายตาของฉวีช่วยฉินก็เปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาทันที เธอจึงได้เดินหน้าเข้าไปอีกหนึ่งก้าว
แต่เมื่อฉวีผิงที่เดินตามหลังคนคนนั้นออกมาแล้วเห็นเธอ กลับขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แล้วโบกมือให้กับคนที่อยู่ข้างหลังของเขา
“เธอกลับไปก่อนเถอะ”
เมื่อรอจนคนออกไป ตรงหน้าประตูจึงเหลือแค่พวกเขาสองคน
ฉวีผิงจึงขมวดคิ้วแล้วพูด: “เธอยังไม่ตายเหรอ?”
เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้สายตาที่ดูมีความหวังของฉวีช่วยฉินลดลงไปไม่น้อย
เธอยิ้มเจื่อนออกมา
“พวกเราไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ ทำไมพี่ต้องพูดเย็นชาแบบนี้ใส่ฉันล่ะ?”
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปทางฉวีผิง แล้วพูด: “พี่พูดขนาดนี้ แต่ฉันก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่นะ”