บทที่ 393 กลายเป็นคนโลภอย่างนั้นเหรอ
จงหลีมองไปที่จี้จิ่งเชิน จนสุดท้ายก็รวบรวมความกล้าได้
“ประธานจี้ครับ ท่านอย่ามองคุณเวินเป็นคนใช้ได้ไหมครับ……”
“หมายความว่ายังไง?”
จี้จิ่งเชินยกคิ้วสูงขึ้น “ฉันพูดเมื่อไหร่…..”
เขาเพิ่งจะพูดได้ครึ่งประโยค อยู่ๆก็นึกคำพูดของตัวเองที่ใช้พูดกับเวินเที๋ยนเที๋ยนเมื่อสักครู่ขึ้นมา
แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ จงหลีหมายความว่ายังไง?
ปกป้องเวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างนั้นเหรอ?
จี้จิ่งเชินจึงพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ: “ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แล้วคุณจะทำไม?”
จงหลีกำหมัดไว้แน่น “ในเมื่อท่านไม่ได้ชอบเธอแล้ว……งั้น……”
“ถึงแม้ฉันจะไม่ชอบแล้ว แต่เธอก็เป็นของฉัน!”
เพียงแค่เขาคิดว่าเธออาจจะไปยืนอยู่กับคนอื่น ในใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที
และมือของเขาที่วางไว้บนที่วางมือนั้นกำหมัดไว้แน่น
ถึงแม้จะไม่ชอบ……
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จี้จิ่งเชินก็อึ้งไปสักพัก
ไม่ชอบเหรอ?
เขา……ไม่ได้ชอบเวินเที๋ยนเที๋ยนจริงๆเหรอ?
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วแน่นขึ้น ด้วยสีหน้าก็ดีแย่ลง
เขาให้เธอเข้ามาในความคิดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เขาก้มหน้าเล็กน้อย ด้วยดวงตาที่หม่นหมอง
จงหลีที่ยืนอยู่ข้างหน้า กำลังกำหมัดแน่นจนเริ่มสั่นขึ้นมา
“ขอโทษครับ”
เขาก้มหน้า และกำลังสู้อยู่กับตัวเองในใจ
ผ่านไปสักพัก จึงได้เปิดปากพูดขึ้นมา: “ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
พูดเสร็จ เขาก็โค้งหัวเล็กน้อย ถอยหลังไปสองก้าว และหมุนตัวออกไป
แต่ข้างนอกยังคงมีเสียงดังโครมคราม เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องและฟ้าผ่า
เม็ดฝนขนาดใหญ่ตกลงมา ไม่นานพื้นก็เปียกชุ่มไปหมด
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นเงาของจงหลี เธอก็รีบวิ่งตามออกไปจากห้องครัว
“จงหลี? คุณจะกลับแล้วเหรอ? ตอนนี้ฝนตกอยู่นะ!”
เธอเพิ่งจะเดินออกมา ก็ต้องรีบถอยกลับมาเพราะฝนที่กระหน่ำลงมารุนแรง
สายฝนบดบังสายตาของเธอไปหมด เธอจึงสามารถมองเห็นจงหลีจ้องมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาได้เพียงรางๆ เงาของร่างที่รีบเดินออกไปนั้น เดินด้วยท่าทางที่ไม่ลังเล
“จงหลี?”
ถึงแม้จะมีเสียงของเวินเที๋ยนเที๋ยนดังมาจากข้างหลัง แต่เขาก็ไม่ได้หันหน้ากลับไป แต่กลับเพิ่มความเร็วในการก้าวเท้าเดินมากขึ้น
เขากำหมัดไว้แน่น ก้มหน้าและรีบเดินไปข้างหน้า ทิ้งปราสาทและทุกคนไว้ข้างหลัง
จี้จิ่งเชินพูดถูก ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเวินเที๋ยนเที๋ยนมันไม่เหมือนเดิมแล้ว
อาจจะด้วยเพราะได้เจอกับเวินเที๋ยนเที๋ยนเป็นคนแรก ตอนที่เขาเมาค้างและตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล
หรืออาจจะด้วยในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พวกเขาสองคนได้อยู่ด้วยกันและผ่านอะไรมาด้วยกัน จึงได้ทำให้ความรู้สึกของเขาค่อยๆเปลี่ยนไป
เมื่อวิ่งออกมาจากปราสาทแล้ว เขาจึงค่อยๆหยุดเท้าลง และก้มหน้ายืนอยู่กลางสายฝน
จงหลีจึงแบมือออก และสายฝนก็ตกลงมาตรงฝ่ามือของเขา เขาจึงรองน้ำฝนขึ้นมา
เพราะเวลาผ่านมานาน เขาก็เลยเริ่มกลายเป็นคนโลภอย่างนั้นเหรอ
แต่ว่า……
เขาก็แค่หวังว่า คุณเวินจะสามารถมีความสุขได้ก็เท่านั้น
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนยืนมองจงหลีที่เดินออกไป เธอจึงเดินกลับไปที่ห้องหนังสือด้วยความสงสัย
“จี้จิ่งเชิน”
เธอผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นว่าจี้จิ่งเชินยังคงนั่งอยู่ข้างหน้าหน้าต่าง จึงพูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจ: “คุณรู้หรือเปล่าว่าจงหลีเขาเป็นอะไร? ทำไม่ถึงวิ่งออกไปแบบนั้นละ? ตอนนี้ฝนยังตกอยู่เลยนะ”
แต่จี้จิ่งเชินกลับไม่สนใจ
“มีเวลาเป็นห่วงเขา แล้วอาหารเย็นนะเสร็จหรือยัง?”
เพิ่งจะพูดเสร็จ เขาก็อึ้งไปสักพัก อยู่ๆก็นึกถึงคำพูดที่จงหลีพูดกับเขาเมื่อสักครู่ขึ้นมา
เขาปฏิบัติต่อเวินเที๋ยนเที๋ยนราวกับคนใช้อย่างนั้นเหรอ?
จะเป็นไปได้ยังไง?
เมื่อเห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าของเขา เขาก็เพิ่งจะเข้าใจว่า คำพูดของตัวเองนั้นทำให้คนอื่นไม่พอใจมากแค่ไหน
แต่ทำไมท่าทีของเธอราวกับว่าไม่ได้สนใจเลยละ?
หรือว่าเธอไม่ได้โกรธแล้วงั้นเหรอ?
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่รู้ว่าทำไม ในใจถึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนทำราวกับไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย
“น่าจะเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะ และสามารถลงไปทานได้แล้วใช่ไหม”
ในขณะที่พูด เธอก็เดินเข้าไปหาเขา เพื่อช่วยพาจี้จิ่งเชินลงไปที่ห้องอาหาร
“ทำไม?”จี้จิ่งเชินเปิดปากพูดขึ้นมา
“ทำไม่คืออะไรคะ?”
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“ผมสั่งให้คุณไปทำกับข้าว และปฏิบัติต่อคุณตามอำเภอใจ คุณไม่โกรธผมเลยเหรอ? ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอึ้งไปสักพัก ไม่คิดว่าจี้จิ่งเชินจะถามขึ้นมาแบบนี้
เธอยิ้มและพูดขึ้นมาเบาๆ: “เพราะว่าฉันเคยผ่านจุดๆนั้นมาแล้วฉันเลยรู้ว่า ไม่มีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าการไม่ได้ยินเสียงของคุณและการไม่ได้เห็นหน้าคุณอีก”
“หลังจากที่ฉันเคยได้สัมผัสความโดดเดี่ยวนั้น ทุกวินาทีจึงมีค่าขึ้นมาสำหรับฉัน”
เธอเดินมาอยู่ข้างหลังของจี้จิ่งเชิน อยู่ในที่ที่เขามองไม่เห็น และจ้องมองจากข้างหลังของจี้จิ่งเชิน
มีเพียงตอนที่ดวงตาคู่นั้นของเขามองไม่เห็นเธอเท่านั้น เธอถึงจะแสดงความรู้สึกที่ซ่อนไว้ข้างในออกมา
เหมือนราวกับน้ำที่มันค่อยๆไหล แต่ก็ยังเหมือนราวกับคลื่นในแม่น้ำฮวงโหที่กำลังโหมซัดสาดเช่นกัน
ถ้าหากว่าตอนนี้จี้จิ่งเชินหันหน้ากลับมามองเธอสักนิด เขาก็ต้องตกใจอย่างแน่นอน
และก็มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่เธอจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่ดูแปลกไปของจี้จิ่งเชินคู่นั้น
“และฉันก็รู้ว่า จี้จิ่งเชินคุณเป็นคนที่ปากแข็ง แต่ใจอ่อนก็เท่านั้น”
หน้าของจี้จิ่งเชินร้อนขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่!”
พูดเสร็จ เขาก็บังคับเก้าอี้รถเข็นด้วยตัวเอง แล้วทิ้งเวินเที๋ยนเที๋ยนไว้ข้างหลัง
พอเดินไปข้างหน้าได้สักพัก กลับไม่เห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนจะเดินตามเขามา
เขาเลยอดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองเธอด้วยความไม่พอใจ
และพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความอึดอัดอยู่ข้างใน
“ยังไม่ไปอีก?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอึ้งไปสักพัก เพราะสายตาที่หันกลับมาเมื่อสักครู่ของจี้จิ่งเชิน เป็นสายตาเดียวกันกับสายตาที่เคยอยู่ในความทรงจำของเธอ มันให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ
วินาทีต่อมา เธอจึงค่อยตอบสนองกลับมา
ท่าทางของจี้จิ่งเชินที่อยู่ข้างหน้านี้ เป็นท่าทางในตอนแรกๆของเขาตอนที่พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วัน ไม่ใช่เหรอ?
มันก็……เป็นแบบนี้ทุกอย่าง
เวินเที๋ยนเที๋ยนถูกสิ่งที่ตัวเองได้มองเห็น ทำให้ตกใจจนต้องเบิกตากว้าง
ที่แท้แล้ว ตั้งแต่ตอนนั้น จี้จิ่งเชินก็……
“เดินมาเร็วๆหน่อย”
เมื่อเห็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนยังไม่ยอมเดินมาอีก จี้จิ่งเชินจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย และยื่นมือออกไปทางเวินเที๋ยนเที๋ยน
สายตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนมองอยู่ที่มือของเขา แล้วเดินหน้าไปสองก้าว นำมือของเธอวางบนมือของเขา
จี้จิ่งเชินจับมือเธอไว้ ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยเต็มในเท่าไหร่ แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือออก และยังดึงมือเธอเดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน
ฝนตกตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงอีกเช้าของวันถัดไป
เมื่อม่านฝนค่อยๆสลายไปฤดูร้อนได้เริ่มขึ้น
อากาศร้อนอบอ้าวขึ้นมาทันที แม้แต่กำแพงดอกไม้ที่อยู่ในลานบ้านก็เริ่มมีใบงอกออกมาแล้ว หากมองไปจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นเป็นกำแพงที่เต็มสีเขียว
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่จี้จิ่งเชินไม่พูดเรื่องเก้าอี้รถเข็นกับพ่อบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขายอมแพ้แล้ว หรือว่าเป็นเพราะหาวิธีอื่นเจอแล้วกันแน่
หลังจากอาศัยอยู่ในปราสาทได้สักระยะหนึ่งแล้ว และเนื่องจากการนั่งเก้าอี้รถเข็นมันไม่สะดวก เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงได้ติดต่อหาหมินอันเกอและหลวนจื่อไป
เพราะว่าเมื่อก่อนพวกเขาเคยรู้จักกับจี้จิ่งเชิน และก่อนหน้านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนตั้งใจปิดจะไว้ นอกจากคนในปราสาทและจงหลีที่รู้ คนอื่นก็จะไม่มีใครรู้ว่าจี้จิ่งเชินนั้นได้กลับมาแล้ว
หมินอันเกอถือดอกไม้ไว้ในมือ เมื่อถึงปราสาท และเพิ่งจะได้เดินเข้ามา ก็เจอเข้ากับจี้จิ่งเชินที่นั่งอยู่ข้างใน
ก่อนหน้านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดแค่ว่ามีธุระ อยากให้พวกเขามาหาหน่อย ไม่ได้มีการพูดถึงจี้จิ่งเชินนิ
แต่ตอนนี้กลับเจอกับคนที่ “ตายแล้ว”มาปรากฏอยู่ข้างหน้าของพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกตกใจจนไม่สามารถหยุดการสั่นของมือได้
“จี้……จี้จิ่งเชิน?”
หมินอันเกอมองคนที่อยู่ข้างหน้าด้วยความตกใจ ไม่ว่าจะมองยังไง อีกฝ่ายก็คือคนที่ตัวเองรู้จัก ไม่ผิดคนแน่นอน
เมื่อจี้จิ่งเชินได้ยินเสียงก็หันกลับมามอง
ลักษณะของสองคนนี้ ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นในข่าวอยู่สองสามครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากัน
และเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาตรงๆ ทั้งสองคนก็ยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีก
“คุณยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”