บทที่ 399 ถ้าหากผมจำคุณไม่ได้ตลอดชีวิตล่ะ
น้ำเสียงของหล่อนหลีมีความฮึกเหิมมาก อย่าว่าแต่จี้จิ่งเชินในตอนนี้เลย ถึงแม้จะเป็นบริษัทเอ็มไอกรุ้ปในอดีต หรือแม้แต่ตระกูลจี้ ก็ไม่มีทางที่จะเผชิญหน้ากับตระกูลเวินได้
หล่อนหลีมองว่า การเคลื่อนไหวของเวินเที๋ยนเที๋ยนและจี้จิ่งเชินนั้น เป็นแค่การหาที่ตายเท่านั้น
แต่ว่าจี้จิ่งเชินกลับไม่ไหวติง
“ยังยืนยันคำเดิมครับ ผมกับพวกคุณไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ เพราะฉะนั้นผมไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดของพวกคุณ แต่ถ้าพวกคุณอยากจะปกป้องเวินเที๋ยนเที๋ยนพวกคุณก็ต้องไปคุยกับเธอเอง”
พูดเสร็จ เข้าก็หมุนเก้าอี้รถเข็น และเตรียมตัวจะออกไปจากห้องรับแขก
หล่อนหลีจึงรีบเดินเข้ามาสองก้าว และเรียกให้เขาหยุดไว้
“จี้จิ่งเชิน!”
เมื่อเก้าอี้รถเข็นหยุดลง เธอก็พูดขึ้น: “คุณไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของเวินเที๋ยนเที๋ยนบ้างเลยเหรอ?”
จี้จิ่งเชินไม่ได้ตอบกลับไป แต่กลับเลือกออกไปเลย
หล่อนหลีกำลังโกรธ และยังอยากจะตามเขาไป แต่ถูกเวินหงหยู้ขวางไว้
“พอเถอะ หล่อนหลี”
“แต่ว่า……”
หล่อนหลียังไม่ยอม
เวินหงหยู้จึงพูด: “นิสัยของพวกคุณสองคนนะเหมือนกัน ถ้าคิดจะทำอะไรแล้ว ก็จะไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ”
“แต่ฉันไม่สามารถทนเห็นเที๋ยนเที๋ยนตกอยู่ในความอันตรายแบบนี้ได้นะคะ”
“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะผม อย่าทำให้พวกเขาลำบากอีกเลย”
เขาดึงให้หล่อนหลีหันมาหาเขา“ตอนนี้กลับกันก่อน แล้วค่อยไปคิดหาวิธีทีหลังดีกว่า”
หลังจากออกมาจากห้องรับแขก จี้จิ่งเชินก็ใช้ทางเดินพิเศษของตัวเองกลับมาที่ห้องนอนของเวินเที๋ยนเที๋ยน
เวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง แล้วค่อยๆก้มหน้า ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณคิดว่าอาการของคุณดีขึ้นแล้วจริงๆเหรอ?”จี้จิ่งเชินพูดขึ้นมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงเงยหน้าขึ้นมา
“พวกเขาพูดอะไรกับคุณคะ?”
จี้จิ่งเชินเข้าไปใกล้ แล้วเปิดผ้าห่มออก
“ขึ้นไปนอนซะ”
เมื่อรอจนเวินเที๋ยนเที๋ยนนอนลงไปแล้ว เขาจึงค่อยๆพูดขึ้นมา: “ไม่มีอะไรหรอก พวกเขาแค่มาหาคุณเอง”
“แค่นี้จริงๆเหรอคะ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนสงสัยเล็กน้อย เพราะเมื่อสักครู่ตอนที่คุณนายหล่อนและเวินหงหยู้มานั้น ดูเหมือนจะไม่ได้มาเพราะเรื่องแค่นี้
“คุณสงสัยผมเหรอ?”จี้จิ่งเชินเลิกคิ้วแล้วถามกลับไป และพูดคาดโทษ: “คุณหมอบอกว่าคุณไม่สบายเพราะว่าตากฝนมา ถ้าคุณไม่รักษาอาการดีๆ ทุกคนในปราสาทต้องเอาผมตายแน่”
เขาดึงผ้าห่ม และห่มให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยน ด้วยสีหน้าที่เย็นชา
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับยังคิดเรื่องเมื่อสักครู่ไม่หยุด
“เหรอคะ? ฉันยังกังวลอยู่เลย ว่าพวกเขามาเพื่อจะให้ฉันออกไปจากที่นี่ซะอีก”
จี้จิ่งเชินไม่คิดว่าเธอจะพูดถูกตั้งแต่ประโยคแรก เขาจึงได้มองไปที่ใบหน้าของเธอ
ผ่านไปสักพัก จู่ๆก็พูดขึ้นมา: “เวินเที๋ยนเที๋ยน ถ้าหากผมจำคุณไม่ได้ตลอดชีวิตล่ะ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอึ้งไปสักพัก
“ทำไมอยู่ๆถึงพูดแบบนี้ล่ะคะ?”
“ก็คุณหมอบอกว่า ไม่แน่ใจว่าความทรงจำจะกลับมาเมื่อไหร่ไม่ใช่เหรอ? อาจจะเป็นวันนี้ หรืออาจจะจำไม่ได้ตลอดไป”
เขาหันหน้ามา และมองไปที่เวินเที๋ยนเที๋ยน
“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ จะฝืนใจไปทำไมล่ะคะ? หลังจากอาการป่วยของคุณหายดีแล้ว ฉันก็จะกลับไปค่ะ ”
พูดเสร็จ จี้จิ่งเชินก็หมุนเก้าอี้รถเข็น แล้วออกจากห้องไป
เวินเที๋ยนเที๋ยนนั่งอยู่บนเตียง แล้วมองแผ่นหลังของจี้จิ่งเชินที่ค่อยๆหายไปจากประตู
เธอเม้มปากแน่น และมือก็จับสร้อยที่อยู่ตรงอกไว้
วันถัดไป อาการป่วยของเวินเที๋ยนเที๋ยนได้หายดีแล้ว จี้จิ่งเชินก็พูดขึ้นมาว่าเขาจะออกไปจากปราสาท
เมื่อพ่อบ้านได้ยิน ก็พูดขึ้นมาด้วยความภูมิใจ: “แต่คุณจี้ครับ เก้าอี้รถเข็นของคุณยังซ่อมไม่เสร็จเลยนะครับ”
จี้จิ่งเชินเคลื่อนย้ายเก้าอี้รถเข็นออกไปทางข้างนอก ด้วยการกระทำที่ไม่ได้ดูเร่งรีบ แต่ก็ไม่หยุด
“ฉันให้คนเตรียมคันใหม่ไว้ให้แล้ว”
ก็แค่เก้าอี้รถเข็นคันเดียว แก้ไขได้ง่ายมาก มันไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
ตอนแรกจี้จิ่งเชินเลือกที่จะอยู่ต่อ แต่มันก็เป็นแค่แรงกระตุ้นในตอนแรกเท่านั้น
ใช่ เพียงเพราะเห็นท่าทีที่ดูดีใจของเวินเที๋ยนเที๋ยน เขาจึงไม่ได้เปิดปากพูดปฏิเสธออกไป
เมื่อพ่อบ้านได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าก็ตึงไปทันที แล้วอึ้งอยู่ที่เดิม
“แต่……แต่ว่าคุณจี้ครับ ตอนนี้อาการของคุณยังไม่ดีขึ้นเลยนะครับ”
เขารีบเดินตามไป
แต่จี้จิ่งเชินได้ตัดสินใจไปแล้ว และเมื่อออกมาจากปราสาท ก็เห็นว่าข้างทางมีรถคันหนึ่งจอดรอไว้แล้ว
ข้างๆมีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ และข้างหน้ามีเก้าอี้รถเข็นไฟฟ้าอยู่หนึ่งคัน
ถึงตอนนี้พ่อบ้านจึงได้เข้าใจความมุ่งมั่นของจี้จิ่งเชิน
เขาจึงรีบเดินเข้าไป แล้วตามอยู่ข้างๆของจี้จิ่งเชิน
“แล้วคุณเวินละครับ? คุณเวินเธอยังไม่รู้เหรอครับ ในเมื่อคุณจี้จะไปแล้ว ก็น่าจะคุยกับคุณเวินก่อนนะครับ……”
“ฉันคุยกับเธอเรียบร้อยแล้ว”
จี้จิ่งเชินเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ แล้วใช้สองมือค้ำไว้ แล้วขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้รถเข็นคันใหม่
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ?”
พ่อบ้านมองการกระทำของเขาด้วยความตกใจ
ถ้าหากคุณเวินเธอรู้เรื่องจริงๆ ทำไมเธอถึงไม่ลงมาล่ะ?
ราวกับว่าในใจของจี้จิ่งเชินก็คิดเรื่องเดียวกันกับพ่อบ้านอยู่ เขาจึงเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางปราสาท
แล้วสายตาก็มองตรงไปที่ชั้นสาม ซึ่งเป็นหน้าต่างห้องนอนของเวินเที๋ยนเที๋ยน
ด้วยระยะที่ไม่ได้ไกลมาก จึงทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าข้างหลังของหน้าต่างนั้น มีคนคนหนึ่งยืนอยู่
ซึ่งก็คือเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นเอง
แล้วเธอกำลังมองมาทางที่เขาอยู่
จี้จิ่งเชินก็รู้สึกหนักอึ้งในใจเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าทำไม คนที่ไม่มีแม้แต่ความทรงจำ ไม่เคยจำอะไรเกี่ยวกับปราสาทได้เลย และเพิ่งมาอยู่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น แต่เมื่อเขาเตรียมตัวที่จะออกไปจากปราสาท กลับมีความรู้สึกที่ทำให้เขาไม่สบายใจขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปราสาทหลังหนี้ หรือว่าเป็นเพราะผู้หญิงที่ยืนมองมาจากหน้าต่างชั้นสามกันแน่
จี้จิ่งเชินจึงค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา ยกแขนขึ้นให้คนที่อยู่ข้างในยกเขา แล้วขึ้นไปนั่งบนรถ
พ่อบ้านจึงรีบเดินตามไปถึงที่ข้างๆรถ เพื่ออยากให้จี้จิ่งเชินอยู่ต่อ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้โอกาสเขาเลย ปิดประตู แล้วออกไปทันทีโดยไม่ได้อยู่ต่อแม้แต่นาทีเดียว
เขาก็ทำได้เพียงยืนมองท้ายรถที่ค่อยๆหายไปในจุดที่ไกลที่สุดของถนน
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ……”
พ่อบ้านจึงหันไปทางเวินเที๋ยนเที๋ยน แล้วถอนหายใจยาวๆ
ในปราสาทสุดหรูที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมือง ก็ราวกับว่าเงียบเหงาขึ้นมาทันที
รถคันดังกล่าวขับไปตามทางหลวง มุ่งหน้าสู่ชุมชนเล็กๆ และผ่านบ้านที่มีความทรุดโทรม
ด้วยฝนไม่ได้ตกมาหลายวัน และถ้าพูดตามหลักน้ำในพื้นดินน่าจะแห้งไปหมดแล้ว
แต่ว่าระยะห่างระหว่างตึกของที่นี่น้อยมาก ทำให้บังแสงอาทิตย์และลมไปหมด ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นตอนเที่ยง แต่มันกลับมืดมาก
อากาศก็ชื้น แม้จะผ่านไปสองสามวัน น้ำในพื้นดินก็ไม่มีทางที่จะเหือดแห้ง
เมื่อรถได้ขับผ่านแอ่งน้ำ จึงทำให้น้ำในแอ่งที่มีสีดำสาดไปโดนคนที่นั่งยองๆอยู่ข้างๆ
“ไอ้บ้าเอ๊ย ขับรถยังไงเนี่ย?”
ผู้ชายคนนั้นกระโดดขึ้นมา ชี้ไปที่รถแล้วด่าทอ
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะ ฉันทุบรถแกแตกแน่!”
ในแสงที่สลัวๆ สามารถมองเห็นได้แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีลักษณะผอม ผมยาว ยาวจนปกตาของเขาและยาวไปถึงตรงมุมปาก มองเห็นได้แค่กรามที่ดูเล็กแต่ก็ยังสวยของเขา
เขาตะโกนด่าอยู่หลายคำ ในใจก็ยังโกรธจนระงับอารมณ์ไม่ได้ เขาจึงหยิบก้อนหินก้อนเล็กขึ้นมา แล้วปาไปทางรถที่ขับออกไป!
ผู้ชายคนนี้อายุยังน้อย แม้แต่ก้อนหินเล็กๆก้อนหนึ่งก็โยนไปได้ไม่กี่เมตร และถูกรถสะบัดทิ้งไว้ข้างหลัง
ในขณะที่โยนก้อนหิน ผมที่ปกปิดหน้าของเขาไว้ก็ขยับ จนทำให้เห็นใบหน้าที่ไม่เข้ากับสภาพและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ผู้ชายคนนี้ยังใส่สูทที่ทำด้วยมือ ในมือถือแก้วไวน์ พูดคุยหัวเราะกับลูกเศรษฐีคนอื่นๆ ชื่นชมและมีความสุขกับเงินทองที่เขามี
ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน ว่าคนที่อยู่ข้างหน้านี้จะจะเป็นลูกชายของตระกูลจี้อย่างจี้ยี่หยัน ซึ่งเคยถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่
หลังจากหนีตายออกมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ตระกูลจี้แล้ว เขาและฉวีช่วยฉินก็ไม่กล้าเปิดเผยหน้ากับคนภายนอก จึงได้มาซ่อนตัวอยู่ที่นี่