บทที่ 472 ผมบอกให้คุณไสหัวออกไป
แสงไฟตรงทางเดินมืดสลัว มีเพียงเสียงฝีเท้ากับเสียงของเฟิงหมิงที่กำลังดังสะท้อนไปมา
“ คุณวางใจได้ หลังจากที่คุณได้ทดลองแล้วครั้งนึง คุณก็จะหลงรักความรู้สึกแบบนั้น ”
“ ถึงตอนนั้น คุณก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในแผนการของผม และผมเชื่อว่าคุณจะยอม ผมรู้ว่าแท้จริงแล้ว ส่วนลึกในใจของคุณก็เป็นเหมือนผม ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนวิ่งมาตั้งนาน กลับไม่เจอคนเลยสักคนเดียว
เสียงของเฟิงหมิงดังมาจากทางด้านหลังอยู่ตลอด เขาใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์
ไม่ว่าเธอจะวิ่งไปทางไหน ก็ล้วนได้ยินเสียงเย็นยะเยือกของคนคนนั้น
กว่าจะมาถึงตรงประตูไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบวิ่งเข้าไป แต่เธอกลับพบว่าไม่รู้ด้านบนถูกคนใส่กุญแจไว้ตอนไหน
กุญแจที่ล็อคถูกแขวนไว้ด้านบน ทำให้เปิดไม่ออก
เธอมองไปรอบๆอย่างหวาดกลัว เสียงด้านหลังก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เธอจึงทำได้เพียงวิ่งไปทางอื่น และพยายามหาทางออกไปจากที่นี่
แต่คล้ายกับว่าเฟิงหมิงที่อยู่ด้านหลังยังไม่อยากจับเธอง่ายๆแบบนี้ เหมือนกับแมวที่ไล่จับหนู เขาค่อยๆตามหลังเวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างช้าๆ
ยิ่งเป็นแบบนี้ ในใจของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว
ยิ่งหาทางออกไม่เจอ เวลาผ่านไปนาน ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกกลัว
จนกระทั่งตอนนี้ เธอถึงเพิ่งนึกออก
คดีฆาตกรรมสองครั้งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งก่อน เธอคิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหยียนเจิ้งมาตลอด
แต่ตอนนี้ เห็นทีว่าตอนที่ทั้งสองคดีเกิดขึ้น นอกจากเหยียนเจิ้งแล้ว เฟิงหมิงก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยเช่นกัน
อีกทั้ง เหยียนเจิ้งยังเคยเตือนเธอเมื่อครั้งก่อน
ว่าให้ระวังตัว!
ที่แท้ก็ให้ระวังเฟิงหมิงนี่เอง!
นึกถึงภาพวาดที่อยู่ในห้องรับแขกภาพนั้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็รู้สึกสั่นไปทั้งตัว
ต่อให้มีคนเห็นภาพวาดนั้นจริงๆ แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าชายที่โลกภายนอกเขาลือกัน จะแขวนภาพวาดนี้ไว้ในห้องรับแขกอย่างไม่เกรงกลัว?
ใครจะไปคิดว่าตระกูลเฟิงที่เกิดมาจากวงการการเมืองจะซ่อนการกระทำที่เลวร้ายและผิดกฎหมายแบบนี้ไว้!
ในขณะเดียวกัน ที่โรงพยาบาล
แผนทำการฟื้นฟูสมรรถภาพของจี้จิ่งเชินก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เขาใช้อำนาจบีบบังคับให้ลดเวลาลง การฝึกแบกรับน้ำหนักของทุกวันทำให้เขาใช้กำลังใกล้จะเกินขีดจำกัดแล้ว
แต่มีเพียงแค่ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ถึงจะสามารถกลับมาแข็งแรงเป็นปกติเร็วยิ่งขึ้น
ฝึกจนกระทั่งสองขาไม่สามารถรับน้ำหนักได้แล้ว และเริ่มมีอาการสั่นนิดหน่อย จี้จิ่งเชินถึงจะยอมหยุด และนั่งพักบนเก้าอี้
เหยื่อไหลลงมาตามขากรรไกร จี้จิ่งเชินหายใจหอบนิดหน่อย
สองขามีอาการปวดระบม ทำให้เหงื่อไหลท่วมตัวเขา เวลาผ่านไปนาน แม้แต่หัวก็เริ่มมีอาการปวดบ้างแล้ว
เขายกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก อยู่ๆก็มีผ้าขนหนูมาปรากฏตรงหน้าเขา
จี้จิ่งเชินกำลังจะยื่นมือไปรับ ต่อมา เขากลับเห็นนิ้วมือสองข้างที่อยู่บนผ้าขนหนูสีขาว ถูกทาด้วยสีทาเล็บสีแดงสด
นี่ไม่ใช่พยาบาล?
การกระทำของเขาหยุดชะงักทันที หลังจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว และเงยหน้าขึ้นมามอง
หลีเจียเวยปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ คุณเองหรอ? คุณมาทำอะไรที่นี่? ”
จี้จิ่งเชินมีสีหน้าเย็นชา แต่หลีเจียเวยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับไม่รับรู้ถึงอารมณ์หงุดหงิดใดๆ เธอยังคงยิ้มอย่างเอาใจ
“ ฉันได้ยินว่าประธานจี้ฝึกอยู่ที่นี่ ไม่มีใครดูแล ฉันจึงมาดูคุณค่ะ ”
“ ประธานจี้ วันนี้ฝึกเป็นยังไงบ้างคะ? ”
เธอพูดไปด้วย และกำลังจะยื่นมือไปเช็ดเหงื่อที่ติดอยู่บนหน้าให้จี้จิ่งเชินไปด้วย
จี้จิ่งเชินทำหน้าขรึม ไม่สนใจคำพูดของเธอ เขาถอยหลังไปนิดหน่อย เพื่อหลบหลีกการกระทำของเธอ
“ ออกไป! ” เขาพูดขึ้นเสียงเย็น
สีหน้าบนใบหน้าของหลีเจียเวยแข็งทื่อไปนิดหน่อย เธอกัดฟัน และยื่นหน้าเข้ามาใกล้
เธออาศัยจังหวะตอนที่จี้จิ่งเชินเคลื่อนที่ไม่ได้ ยื่นมือออกไปอย่างบีบบังคับ และทำการเช็ดเหงื่อให้เขา
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วแน่น และทำการหลบหลีกไปทางด้านหลัง
เขาพูดตำหนิเสียงดัง: “ ผมบอกให้คุณไสหัวออกไป! ”
เขากำลังพูด อยู่ๆที่ประตูกลับมีพวกบอดี้การ์ดเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พอพวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ในห้องตอนนี้ ก็หยุดฝีเท้าลง รู้ว่าไม่ควรเข้าไป จึงทำการถอยออกไป
จี้จิ่งเชินเห็นพวกเขา เขายกมือผลักหลีเจียเวยออกไปอย่างหงุดหงิด และหันกลับมา
สีหน้าของเขายังคงไม่สู้ดีนัก: “ มีเรื่องอะไร? ”
พวกบอดี้การ์ดมองหลีเจียเวยที่มีสีหน้าจนตรอกนิดหน่อย หลังจากนั้นก็เดินเข้ามา
“ ประธานจี้ หลังจากที่คุณเวินออกไปจากปราสาทเมื่อตอนกลางวัน เธอก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยครับ ”
จี้จิ่งเชินได้ฟัง เขาก็หันกลับมาถาม: “ ติดต่อเธอไปหรือยัง? ”
พวกบอดี้การ์ดพยักหน้า
“ ครึ่งชั่วโมงก่อน พวกเราทำการติดต่อเธอแล้ว แต่โทรยังไงก็โทรไม่ติดครับ ”
ได้ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของจี้จิ่งเชินยังคงไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ สั่งให้พวกนายคุ้มครองเธอให้ดีไม่ใช่หรอ? แล้วคนหายไปไหนล่ะ? ”
พวกบอดี้การ์ดมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ มันเป็นแบบนั้นครับ แต่วันนี้ตอนกลางวัน คุณเวินไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเฟิง นอกคฤหาสน์มีบอดี้การ์ดเฝ้าดูแล พวกเราเข้าไปไม่ได้ คุณเวินอยู่ในนั้นตลอดทั้งบ่าย แต่เธอยังไม่ได้ออกมา ตอนที่พวกเราติดต่อเธอ แม้แต่โทรก็ยังโทรไม่ติด พวกเราพยายามเจรจากับคนของตระกูลเฟิง แต่ถูกปฏิเสธครับ ”
สีหน้าของจี้จิ่งเชินเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม
“ เรื่องเมื่อสองสามชั่วโมงก่อน พวกนายเพิ่งมาแจ้งฉันตอนนี้! ”
เขาตบมือลงไปบนราวจับ หลังจากนั้นก็ควบคุมรถเข็นออกไปด้านนอก
“ อยู่ที่ตระกูลเฟิงใช่ไหม? แน่ใจนะว่าเธอไม่ได้ออกมาแล้ว? ”
พวกบอดี้การ์ดเดินตามหลังเขาอย่างหวาดกลัว
“ ใช่ครับ พวกเราคุ้มครองอยู่รอบๆตลอด ”
จี้จิ่งเชินหน้าเครียด แต่เขากลับกำลังคิดไตร่ตรอง
ตระกูลเฟิง ถ่อมตนมาตลอด หลังจากที่ออกมาจากวงการการเมือง ถึงแม้ว่าในโลกธุรกิจจะไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมาย แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกอาณาเขตที่เป็นของตัวเองเช่นกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อสองสามปีก่อน คุณปู่กับคุณยายของตระกูลเฟิงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ กิจการทั้งหมดของตระกูลจึงตกอยู่ในกำมือของเฟิงหมิง
ร่องรอยการกระทำของเฟิงหมิงยิ่งน่าแปลกประหลาด น้อยครั้งมากที่เขาจะโผล่ออกมาต่อหน้าผู้คน
แต่อาศัยรูปลักษณ์ภายนอกกับบุคลิกที่ไม่ธรรมดา เขาจึงถูกเรียกว่าเจ้าชายในวงศ์ตระกูล
ที่งานเลี้ยงเมื่อวันก่อน เขาก็พาตัวเวินเที๋ยนเที๋ยนออกไป ฝ่าฝืนศักดิ์ศรีของตระกูลเฟิง กับตระกูลเวินอย่างไม่ต้องสงสัย
เฟิงหมิงจะเลิกราเพียงแค่นี้จริงๆหรอ?
คิดมาถึงตรงนี้ ในใจของจี้จิ่งเชินก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรง
“ พาฉันไปที่ตระกูลเฟิงเดี๋ยวนี้ ”
จี้จิ่งเชินควบคุมรถเข็น และรีบออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
หลีเจียเวยถึงกับต่อคำกับจี้จิ่งเชินไม่ได้ และถูกเขาทิ้งไว้ด้านหลัง
พวกเขายังเดินไม่ทันออกจากเขตห้องผู้ป่วยVIP ก็พบกับพวกพยาบาลกับหมอจางสะก่อน
เห็นจี้จิ่งเชินจะออกไปข้างนอกอีกแล้ว ก็ทำให้หมอจางตกใจ เขาจึงรีบเดินเข้ามาห้าม
“ ประธานจี้ คุณจะไปไหนอีกครับ? ”
บนชุดผู้ป่วยของจี้จิ่งเชินยังมีคราบเหงื่อติดอยู่ บนหน้าผากก็ยังมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเพิ่งฝึกฝนขั้นตอนแรกเสร็จ และจี้จิ่งเชินก็ใช้กำลังเกินขีดจำกัด
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งก่อนที่เขาออกไปข้างนอก ก็เกือบทำให้ความพยายามเมื่อครั้งก่อนเสียแรงเปล่า ตอนนี้กว่าจะเริ่มทำการฟื้นฟูสมรรถภาพได้อีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงห้ามเกิดความผิดพลาดใดๆอย่างเด็ดขาด
สิ่งที่ยิ่งทำให้หมอจางไม่เข้าใจคือ ตามหลัก ตอนนี้ขาของจี้จิ่งเชินคงจะปวดมาก ไม่ต้องพูดถึงออกไปข้างนอกหรอก
เป็นผู้ป่วย หรือว่าเขาไม่มีจิตสำนึกสักนิดเลยหรอ?
ตกลงว่าเขายังอยากทำการฟื้นฟูสมรรถภาพต่ออีกหรือเปล่า?
หมอจางรีบเดินเข้ามาหาเขาอย่างโมโห
สายตาของจี้จิ่งเชินกลับแน่วแน่ เขาเดินอ้อมหมอจางไปทางด้านนอก และพูดทิ้งท้ายไว้
“ หยุดการฟื้นฟูสมรรถภาพของวันนี้ก่อน ผมมีเรื่องบางอย่างต้องไปจัดการ ”
“ ประธานจี้! สภาพร่างกายของคุณตอนนี้ ออกไปจากโรงพยาบาลไม่ได้! ตอนนี้สองขาของคุณต้องพึ่งยาแก้ปวดกับยาชาถึงสามารถต้านไว้ได้ ถ้าคุณไป แล้วยาชาหมดฤทธิ์ คุณคงเข้าใจความเจ็บปวดนั้นดี ”
แต่จี้จิ่งเชินกลับไม่มีความลังเล
เขาสลัดคนพวกนั้นออก และพาพวกบอดี้การ์ดขึ้นรถไปอย่างไม่สนใจใคร