บทที่ 650 วิกฤตกาลเมืองแห่งภาพยนตร์
ทางทีมงานคนอื่นๆไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็คาดเดาไม่ได้กับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของบุคคลนี้ได้เลย จึงสบตายักไหล่ให้กันแล้วถึงได้หันกลับออกไปในที่สุด
และเวลานี้ทางอีกด้านหนึ่งนั้น คนที่ถูกโยนออกมาจากกองถ่ายนั้นก็กลับมาถึงบ้านด้วยความโมโหเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ
“เวินเที๋ยนเที๋ยน!”
“ฉันจะต้องทำให้เธอชดใช้คืนมาให้ได้!”
เธอยกมือแล้วกวาดสิ่งของบนโต๊ะลงพื้น ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมา
แต่ทำเช่นนี้แล้วก็ยังคงไม่สามารถทำให้อารมณ์โกรธที่อยู่ในใจเธอนั้นสงบลงมาได้ ด่าออกมาพลางทำลายข้าวของในห้องรับแขกไปพลางอีกด้วย
และไม่นาน ห้องรับแขกที่ตกแต่งขึ้นมาอย่างหรูหรานั้นก็ถูกเธอทำลายเสียจนระเกะระกะไปหมด
หลิวเหม่ยหลันที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเหล่านี้แล้วเดินลงมาจากทางด้านบน เห็นสภาพของห้องรับแขกแล้วนั้น จึงบ่นออกมาเบาๆ
“เจียนี ลูกทำอะไรน่ะ?”
“พ่อกำลังทำงานอยู่ อย่าเสียงดังรบกวนเขาสิ”
ได้ยินเสียงแล้ว หล่อนเจียนีจึงหันมามองเธอแวบหนึ่ง
แล้วเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมพลางเอ่ยขึ้น : “แม่ นี่มันตอนไหนแล้ว! มีคนแกล้งหนูอยู่ข้างนอก แม่ก็ไม่ยอมมาช่วยหนูบ้างเลย!”
“มีคนแกล้งลูกอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินแล้ว หลิวเหม่ยหลันจึงรีบเดินลงมา แล้วมองพิจารณาเธอด้วยความกังวล
“สรุปแล้วใครแกล้งลูกกันแน่? ใครมันกล้าขนาดนี้! บอกแม่มา แม่จะไปช่วยจัดการให้”
เดิมทีหลิวเหม่ยหลันก็รักและทะนุถนอมหล่อนเจียนีราวกับไข่ในหินมากอยู่แล้ว
ตั้งแต่เด็กจนโต เพียงแค่เป็นสิ่งที่หล่อนเจียนีต้องการ เธอก็จะได้มาด้วยความพอใจทั้งหมด
ตอนนี้เมื่อได้ยินว่ามีคนกลั่นแกล้งเธอ ก็ยิ่งรู้สึกโมโหเช่นกัน
ตะโกนเสียงดังขึ้นมา : “ใครหน้าไหนที่มันกล้าขนาดนี้?”
“ยังจะมีใครอีกล่ะคะ? ถ้าไม่ใช่เวินเที๋ยนเที๋ยนนั่น?”
หล่อนเจียนีลนลานขึ้นมา
“น่ารังเกียจจริงๆ! วันนี้ที่กองถ่าย ไม่คิดเลยว่าจะถูกพวกเขาจับโยนออกมาแบบนั้น! ทุกๆคนก็รู้ว่าพ่อเป็นถึงกรรมการบริษัทของตระกูลหล่อน ตอนนี้ยังจะถูกจับโยนออกมาต่อหน้าทุกคนอีก ต่อไปหนูจะมีหน้าไปเจอใครที่ไหนได้อีกกัน?”
“เวินเที๋ยนเที๋ยนนั่นอีกแล้วหรือ?”
ได้ยินชื่อนี้แล้ว หลิวเหม่ยหลันก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
“ก็ไม่ใช่เธอหรอกหรือคะแม่? ไม่เพียงมีแค่เธอนะ ยังมีจี้จิ่งเชินนั่นอีก!”
เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ในหัวของหล่อนเจียนีนั้นก็นึกถึงเขาขึ้นมาอีก น้ำเสียงเบาลงมาในทันใด ไม่ได้เอ่ยต่อ
หลิวเหม่ยหลันกลับรู้สึกโมโห
“เขาก็หาเรื่องลูกเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?”
“เขาเปล่าหรอกค่ะ” หล่อนเจียนีเอ่ยพูดออกมาอย่างหวานหยาดเยิ้ม
กังวลว่าหลิวเหม่ยหลันจะมองเห็นปัญหาอะไรเข้า จึงรีบดึงมือเธอเอาไว้เสียก่อน
“แม่ แม่ต้องช่วยหนูนะ! แล้วก็พ่ออีก ตอนนี้พ่อเอาแต่ทำงานทั้งวัน ไม่สนใจหนูเลย หนูถูกกลั่นแกล้ง ก็ไม่มาช่วยออกหน้าแทนหนูเลย”
หลิวเหม่ยหลันตีลงบนมือเธอเบาๆ พลางเอ่ยขึ้น : “ลูกวางใจเถอะนะ เราไปบอกพ่อกัน เวินเที๋ยนเที๋ยนนั่นจะต้องชดใช้ในไม่ช้าก็เร็วนี่แหละ!”
ว่าแล้ว ทั้งสองคนก็เดินขึ้นไปยังด้านบน
หล่อนเจี้ยนกั๋วกำลังยุ่งกับการเผาทำลายหลักฐานที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง สถานการณ์ทางทีมตรวจสอบทางนั้นก็ค่อยๆสงบลงแล้วเช่นกัน
สองสามวันนี้เขารับมือกับมันอย่างต่อเนื่อง จากเรื่องใหญ่ถึงได้กลายเป็นเรื่องเล็กลงมาได้ในที่สุด
ยังไม่ทันได้หายใจทั่วท้อง หลิวเหม่ยหลันและหล่อนเจียนีก็พากันเข้าในห้องหนังสือของเขาเพื่อฟ้องเขานั่นเอง
หลิวเหม่ยหลันและหล่อนเจียนีพากันร้องไห้ฟูมฟายแล้วเอ่ยพูดกันอย่างโอเวอร์เกินจริง
หล่อนเจี้ยนกั๋วเห็นว่าหล่อนเจียนีได้รับความไม่เป็นธรรมมาขนาดนี้แล้ว สีหน้าท่าทางดูผิดไปจากปกติเป็นอย่างมาก เขาตบลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
“อย่าเพิ่งรีบร้อนกันไป ฉันจะรอดูว่ามันจะมีความสามารถขนาดไหนกันแน่!”
เขาหันมามองหล่อนเจียนี พลางเอ่ยพูดปลอบใจ : “วางใจกันเถอะนะ ภาพยนตร์ของเวินเที๋ยนเที๋ยนเรื่องนี้ ฉันจะทำให้ชาตินี้ทั้งชาติมันก็ไม่มีทางถ่ายทำได้เสร็จหรอก!”
ได้ยินการรับประกันออกมาแบบนี้แล้ว หล่อนเจียนีกับหลิวเหม่ยหลันก็มองสบตากัน ในใจจึงรู้สึกพอใจขึ้นมาในที่สุด
พูดคุยกันอยู่อีกสักพักหนึ่ง พูดถึงเรื่องที่ตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรมด้วยความเกินจริง ทำให้หล่อนเจี้ยนกั๋วยิ่งรู้สึกโมโหจนแทบระเบิด แล้วถึงได้กลับออกมาในที่สุด
ไม่คิดว่า หล่อนเจียนีที่เพิ่งจะออกมานั้น ก็พบกับเหลียงจี้อานที่กำลังจะขึ้นมาหาหล่อนเจี้ยนกั๋วเข้าพอดี
เมื่อเห็นหล่อนเจียนีเดินออกมานั้น เขาจึงรีบเข้าไปดึงมือเธอเอาไว้
“เป็นอย่างไรบ้าง? พ่อบอกหรือเปล่าว่าผมจะได้ไปทำงานเมื่อไหร่?”
เมื่อก่อนหล่อนเจียนีชอบเหลียงจี้อานมาก ถ้าหากเหลียงจี้อานเข้าใกล้ตัวเองขึ้นมาเล็กน้อยเธอก็จะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ตั้งแต่หลังจากที่ได้เจอกับจี้จิ่งเชินแล้วนั้น ก็พยายามจับผิดทุกอย่างกับคนตรงหน้า จะมองอย่างไรก็ไม่เข้าตาไปเสียหมด
รูปร่างหน้าตาก็เทียบกับจี้จิ่งเชินไม่ได้ แม้แต่ความสามารถก็ยังเทียบไม่ได้อีก จะหางานทำก็ยังจะต้องอาศัยคนอื่นอีกด้วย
เหลียงจี้อานคนนี้มีอะไรที่โดดเด่นอย่างนั้นหรือ? ทำไมเธอถึงได้ชอบเขากัน?
และในทางตรงกันข้าม สีหน้าของหล่อนเจียนีก็ยิ่งดูแย่มากไปกว่าเดิม น้ำเสียงเย็นชาด้วยเช่นกัน
“งานของคุณก็จัดการเองไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ยังจะต้องให้พ่อฉันมาช่วยคุณอีก อยู่บริษัทมาหลายปีขนาดนี้แล้วจะไม่รู้จักใครแม้แต่คนเดียวเลยหรือ?”
“ตอนนี้พวกเรายุ่งกันขนาดนี้ มีเวลาไปสนใจเรื่องคุณที่ไหนกัน?”
เหลียงจี้อานถูกเธอพูดใส่แบบนี้แล้วถึงกับอึ้งไป
ตั้งแต่ที่รู้จักหล่อนเจียนีมานั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดแบบนี้จากปากของเธอ
เมื่อก่อนไม่ว่าตัวเองจะพูดอะไร หล่อนเจียนีก็ล้วนแต่จะคล้อยตามเขา ทำไมเวลาเพียงแค่ไม่ถึงวันถึงได้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้กัน?
เหลียงจี้อานมองเธออย่างงงๆ
แต่หล่อนเจียนีกลับรู้สึกว่าแม้แต่จะมองเขาก็ยังรู้สึกรำคาญเสียด้วยซ้ำ ถึงได้สะบัดออก
“ถ้าหากหางานไม่ได้จริงๆ ก็ไปล้างรถสิ เพราะถึงอย่างไรเงินแค่นั้นของคุณก็ไม่ได้เข้าตาฉันอยู่แล้ว”
พูดจบแล้ว หล่อนเจียนีก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
เหลียงจี้อานยืนอยู่ตรงที่เดิม มองดูเบื้องหลังของเธอ สองมือค่อยๆกำหมัดขึ้นมาแน่น
ตอนแรกเขายอมที่จะแต่งงานกับหล่อนเจียนีที่ทั้งขี้เหร่และทั้งโง่คนนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะหล่อนเจี้ยนกั๋วที่เป็นถึงกรรมการบริษัทและทรัพย์สินของตระกูลเธอหรอกอย่างนั้นหรือ?
มิเช่นนั้นแล้วเขาจะมาทรมานตัวเองให้เป็นทุกข์ทำไมกัน?
แต่คิดไม่ถึงว่าแต่งงานมาแล้วสองสามปีมานี้ หล่อนเจียนีไม่เบื่อหน่ายเขาเลย
ส่วนเขานั้นก็ไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่นิดเดียวจากตระกูลหล่อนของพวกเขาเลยเสียด้วยซ้ำ
ถ้าหากเขามีความสามารถ ยังจะมาชอบเธออย่างนั้นหรือ?
ส่วนอีกทางด้านหนึ่งนั้นหล่อนเจียนีนับวันก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตากับสามีของตัวเองอย่างเหลียงจี้อานมากขึ้นไปเสียอีก ในสมองและในใจของเธอนั้นเหลือเพียงแต่ท่าทางของจี้จิ่งเชินเพียงเท่านั้น คิดเพียงแต่ว่าถ้าหากตัวเองได้คบกับจี้จิ่งเชิน คงจะดีกว่าตอนนี้เป็นอย่างมาก
คิดเช่นนี้แล้ว เธอก็จะเคลื่อนไหวเพื่อก่อเรื่องขึ้นมา ต้องการจะหย่ากับเหลียงจี้อาน แล้วแย่งจี้จิ่งเชินมา
เนื่องจากว่าครั้งที่แล้วหล่อนเจียนีถูกจับโยนออกมา หรือบางทีอาจจะได้รับบทเรียนแล้ว ต่อมาอีกเป็นระยะเวลานาน เธอก็ไม่ได้มาปรากฏตัวที่กองถ่ายอีกเลย
ทางทีมงานกองถ่ายเร่งเวลาในการดำเนินการถ่ายทำ กว่าจะเสร็จสิ้นกับการถ่ายทำในสตูดิโอนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จนในที่สุดก็สามารถย้ายออกมายังเมืองแห่งภาพยนตร์เพื่อเริ่มการถ่ายทำกลางแจ้งได้แล้ว
ระยะเวลาครึ่งเดือนนี้ กรรมการหล่อนของบริษัทก็ไม่ได้มาหาเรื่องอีกเลยเช่นกัน ทางทีมกองถ่ายนี้ก็ไม่มีใครมาก่อเรื่องวุ่นวาย ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนนั้นกลับรู้สึกไม่สบายใจ กรรมการหล่อนจะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้จริงๆหรือ?
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่วางใจ ตามทางกองถ่ายมาถ่ายทำที่เมืองแห่งภาพยนตร์ด้วยกันกับพวกเขา
นี่คือฉากเกี่ยวกับกำแพงเมือง ทุกคนต่างก็มาประจำตำแหน่งกันเรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวเริ่มถ่ายทำกันอย่างตรงเวลา
พวกเขาเพิ่งจะขนของลงมานั้น จู่ๆทางทีมงานของเมืองแห่งภาพยนตร์กลับมีข่าวคราวส่งออกมา ว่าขอให้พวกเขารีบออกไปจากที่นี่
มองสองสามคนตรงหน้านั้น ทางทีมงานก็รู้สึกงงงวย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทั้งๆที่พวกเราเซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้ว ว่าหนึ่งเดือนต่อจากนี้ พื้นแห่งนี้จะถูกพวกเราเหมาเอาไว้”
“ผู้กำกับของพวกคุณไม่ได้บอกพวกคุณหรอกหรือ