บทที่820 ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
จี้จิ่งเชินไม่ได้เตือนเธอว่านี่เป็นเพียงแค่แบบเล็กๆเท่านั้น
พีระมิดที่ใหญ่กว่านี้ยังจะต้องอาศัยแบบนี้สร้างต่อถึงจะได้
เขายิ้มแล้วมองเธอ
“เที๋ยนเที๋ยนเก่งจริงๆเลยนะครับ”
หลังจากนั้นก็เอ่ยชมเธอออกมาด้วยความใจกว้าง
ใบหูของเวินเที๋ยนเที๋ยนร้อนผ่าว ไม่ได้เอาผลงานนี้มาเป็นของตัวเอง “ถึงแม้ว่าจะสร้างคฤหาสน์ไม่ได้ แต่พีระมิดนี่ก็ไม่เลวเลยนะคะ”
จี้จิ่งเชินพยักหน้าลงอย่างคล้อยตาม “ใช่ครับ ไม่เลวเลย แต่พีระมิดนี่ดูเหมือนกับว่าจะเป็นฟาโรห์อียิปต์สมัยโบราณ……”
สุสานของกษัตริย์…..
จี้จิ่งเชินยังพูดไม่จบ เวินเที๋ยนเที๋ยนก็รีบปิดปากของเขาเอาไว้แล้ว
“อย่าพูดค่ะอย่าพูด นี่เป็นบ้านของพวกเรานะ”
จี้จิ่งเชินยกมุมปากขึ้น แววตานั้นดูมีท่าทางที่พอใจ ไม่พลาดกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเวินเที๋ยนเที๋ยน
“แค่นี้ก็พอใจแล้วหรือคะ? พี่นี่พอใจง่ายจริงๆ”
สายตาของเขาแสดงความหยอกล้อออกมา
“พอใจง่ายๆแบบนี้ไม่ดีหรือครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเขาแปลกๆ เขาคนนี้จะพอใจในสิ่งที่มีขนาดนี้เชียว
“คุณนายจี้ครับ ตอนนี้คุณเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผมแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไร คุณสามารถขอให้ผมทำเป็นเพื่อนคุณได้”
น้ำเสียงของเขานั้นเน้นย้ำที่คำว่า “ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย” คำนี้
แววตานั้นเต็มไปด้วยความสุข
“……….”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกว่าเหมือนเขาจะมีอะไรที่ยังไม่ได้พูดออกมา จึงอยู่เงียบๆเอาไว้
รอให้เขาพูดให้จบก่อน
และเป็นอย่างที่คิด เขาหยุดไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยพูดต่อ : “ไม่เพียงแค่ปราสาททราย ยังมีอีกหลายๆอย่าง ที่กำลังรอให้เราไปทำมันให้สำเร็จด้วยกัน”
เรื่องราวมากมายที่กำลังรอให้เขาไปทำให้สำเร็จด้วยกัน……
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินคำพูดของจี้จิ่งเชินแล้ว แววตานั้นก็อดที่จะปรากฏถึงการรอคอยออกมาไม่ได้
เธออยากจะออกแบบสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉินซีให้อบอุ่นมากยิ่งขึ้น และยังคิดอยากจะทำให้สถานที่อื่นๆมีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉินซีมากขึ้นด้วย
หวังอยากจะให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกที่นั้นสามารถจัดการได้อย่างเรียบร้อยและได้รับการดูแล
นี่เป็นเป้าหมายที่ยังยาวไกล และเธอกำลังพยายามค่อยๆไปทีละขั้นอยู่
เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยขึ้นมามองจี้จิ่งเชิน ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น : “แต่ว่าพี่เองก็มีเรื่องที่พี่อยากจะทำอีกตั้งเยอะนี่คะ พี่มีกิจการของพี่นะ”
“ทุกอย่างที่ผมทำทั้งหมด ก็เพื่อที่จะเป็นคนสนับสนุนที่แข็งแกร่งให้กับคุณไงครับ” จี้จิ่งเชินพูดขึ้นเบาๆ
เขาทำแบบนี้จริงๆ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เพียงแค่เธอต้องการเขา เขาก็จะให้ความช่วยเหลือโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย
แววตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนปรากฎรอยยิ้มออกมา “เพราะมีพี่ ฉันถึงได้กล้าทำความฝันที่ฉันไม่สามารถที่จะไปถึงได้”
“ความฝันที่ไปไม่ถึง?”
จี้จิ่งเชินมองเธออย่างสงสัย
“ฉันหวังว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉินซี จะสามารถกลายเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก สามารถหาอนาคตแทนเด็กๆที่สูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปได้”
สายตาของเธอนั้นมองออกไปไกล ราวกับว่าเห็นฉากนั้นขึ้นมาแล้ว มุมปากของเธอจึงยกยิ้มขึ้น
“ความฝันนี้อยู่ไกลจนไม่สามารถจะไปถึงได้ แม้แต่ฉันเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันกลางวันอยู่”
“แต่จี้จิ่งเชิน พี่รู้ไหมคะ มีพี่อยู่ด้วยแบบนี้ ต่อให้ฉันฝันกลางวัน ฉันเองก็ยังมีความหวัง”
เธอหันกลับมา นัยน์ตามีความรักอย่างอาลัยอาวรณ์ และความเชื่อใจ
ขอเพียงแค่จี้จิ่งเชินอยู่กับเธอ ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน เป็นความฝันที่อยู่สูงจนเอื้อมไม่ถึง เธอก็กล้าที่จะคิด
จี้จิ่งเชินได้ยินแล้ว ดวงตาคู่ดำนั้นจู่ๆก็จ้องมองเธอ
“นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันของคุณ แต่เป็นของพวกเราทั้งสองคน”
เขาเอ่ยพูดขึ้นอย่างมุ่งมั่น
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า “ฉันไม่อยากจะเพิ่มความกดดันให้พี่ อีกความฝันนี้ก็เป็นแค่ความฝัน เพราะว่ามันยาวไกลเกินไป”
“ก็เหมือนกับพีระมิดนี่แหล่ะค่ะ ถึงแม้ว่าจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่ถ้าคิดจะสร้างพีระมิดจริงๆ ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอีกนานมากเลยค่ะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนกล่าว มืออุ่นๆที่มีเม็ดทรายละเอียดหยาบๆประคองใบหน้าของเธอเอาไว้
จี้จิ่งเชินพยักหน้าลง แล้วมองเธออย่างเงียบๆ
“มีผมอยู่ ติดตามไปตลอดชีวิต แล้วก็ต้องบรรลุตามความปรารถนาของพวกเราด้วย”
เขาเอ่ยพูดขึ้นอย่างจริงจัง ราวกับว่ากำลังให้คำสัญญาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
คำสัญญาตลอดไป
“ฉันไม่อยากให้พี่ต้องมาแบกรับภาระ…..”
“เที๋ยนเที๋ยน พวกเราเป็นสามีภรรยากันนะครับ”
จี้จิ่งเชินเอ่ยขัดคำพูดของเวินเที๋ยนเที๋ยนขึ้นมา พวกเขาทั้งสองคนยืนเคียงข้างกัน ทางด้านหลังเป็นท้องทะเลสีฟ้าอันกว้างใหญ่
“ความปรารถนาของคุณก็คือความปรารถนาของผม เราไม่ต้องแบ่งแยกซึ่งกันและกัน ประคับประคองกันไป หรือคำสัญญาในงานแต่งงานของคุณ เป็นเพียงแค่ขั้นตอนนึงเท่านั้นหรือครับ?”
ได้ยินแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงรีบส่ายหน้า
“เพราะฉะนั้น” จี้จิ่งเชินจ้องมองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า “ไม่ต้องพูดอะไรที่ว่าผมต้องแบกรับภาระแบบนั้นอีก ผมไม่ชอบ”
“ขอโทษนะคะ……”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าลง เธอเข้าใจความตั้งใจนี้ของจี้จิ่งเชิน
และเป็นเพราะเหตุนี้ เธอถึงไม่อยากให้เขาต้องมีภาระ
แต่ถ้าหากเป็นเพราะการที่เธอคิดไปเอง แล้วทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่คุ้มกัน
จี้จิ่งเชินยิ้มพลางเอ่ยพูดกับเธอ : “เปลี่ยนเป็นอีกสามคำทีสิครับ”
“อา?”
เปลี่ยนเป็นอีกสามคำ?
ราวกับรู้ทางและมีความฉลาดขึ้นมาแล้ว เธอจึงพูดขึ้นมาทันที : “ฉันรักพี่”
จี้จิ่งเชินหัวเราะออกมาอย่างพอใจ
เวินเที๋ยนเที๋ยนสบตาเขาอย่างเงียบๆ แต่กลับได้ยินเสียงใบพัดดังขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าเฮลิคอปเตอร์จะมาแล้วนะคะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเงยขึ้นมองไปยังไกลๆ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เธอเห็นเฮลิคอปเตอร์บินมารางๆแล้ว
ทั้งสองคนเดินไปยังข้างๆเรือประมง พวกอาหงทั้งสองคนก็กำลังมองดูเฮลิคอปเตอร์ลงจอดอยู่ด้วยเช่นกัน
แล้วจู่ๆเวินเที๋ยนเที๋ยนก็นึกขึ้นมาได้ ว่าจี้จิ่งเชินไม่ได้บอกเรื่องที่ลูกสาวของอาหงจะมากับเขา
เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน
ถือซะว่าเป็นการเซอร์ไพรส์อาหงก็แล้วกัน
เครื่องบินลงจอดอย่างช้าๆ
เดิมทีอาหงอยากจะถามนักบินว่าจดหมายส่งไปถึงหรือเปล่า
แต่กลับเห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งขึ้น
“พ่อ!”
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากเฮลิคอปเตอร์นั้นรีบวิ่งมาทางอาหงอย่างรวดเร็ว
อาหงยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ถูกลูกสาวกอดเอาไว้อย่างงุนงง
“ลูกมาได้ยังไงน่ะ?”
เขามองลูกสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หนูเป็นห่วงพ่อไงคะ?” ดวงตาคู่นั้นของลูกสาวมีน้ำตาคลอ “ก็พวกพ่อหายไปสามวันแล้ว นับรวมวันนี้ด้วยก็เป็นวันที่สี่ หนูคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพ่อ……”
เธอสะอึกสะอื้น แล้วเอ่ยพูดคำพูดต่อไปไม่ออก
ความหวาดกลัวในช่วงนี้ในที่สุดก็หายไปแล้ว ฝันร้ายที่ตามมาพัวพันกับเธอเองก็หายไปด้วยเช่นกัน
ได้มาเจอพ่อ นับว่าเป็นความเมตตาของพระเจ้าจริงๆ!
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ทุกคนมองอยู่นะ!”
อาหงลูบหลังสาวน้อยคนนั้น พลางพูดปลอบใจเบาๆ
และเธอถึงได้สังเกตเห็นว่านอกจากอาหงที่อายุน้อยกว่าแล้ว ยังมีคนอยู่อีกสองคน
ตอนที่เธอเดินทางมานั้น ได้ยินคนขับเครื่องบินบอกเอาไว้ ว่าทั้งสองคนนี้เป็นคนที่ช่วยพ่อของเธอนั่นเอง
“ขอบคุณพวกคุณมากนะคะที่ช่วยพ่อฉันเอาไว้” เด็กผู้หญิงก้มตัวลงให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยนและจี้จิ่งเชิน “เรียกฉันว่าหงลี่ลี่ได้ค่ะ มีอะไรให้ฉันทำ ก็บอกมาได้เลยนะคะ”
เธอยังเอ่ยพูดไม่เสร็จนั้น ก็ถูกอาหงถึงตัวกลับมาเสียก่อน
“พวกคุณทั้งสองโปรดให้อภัยด้วยนะครับ ลูกสาวของผมถูกผมเลี้ยงดูมาจนเคยชิน พูดจาไม่เป็น ทั้งสองอย่างได้ถือสาเลย”
อาหงมีเหงื่อผุดออกมาทั่วทั้งร่างกาย
ทั้งสองคนนี้ดูก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ร่ำรวยสูงส่ง จำเป็นต้องให้เด็กอย่างลี่ลี่มาช่วยเหลืออะไรที่ไหนกัน?
เขากลัวว่าผู้มีพระคุณทั้งสองคนได้ยินคำพูดของหงลี่ลี่แล้วจะรู้สึกไม่พอใจ
แต่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับยิ้มออกมา “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมองออกนะว่าเธอเป็นห่วงคุณมาก”
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงหวูดแตรดังขึ้นมาอยู่ไกลๆ
สายตาของทุกคนต่างก็มองไปทางนั้น แล้วก็ต้องรู้สึกตกใจกับเรือลำใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า