บทที่ 911 หึงลูก
จี้จิ่งเชินอธิบายเพิ่มอีกสองประโยค “เที๋ยนเที๋ยน คุณหมอบอกแล้วว่า ลูกเราเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด เพราะงั้นการที่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างน้อยมันเป็นเรื่องปกติ เดี๋ยววันหน้ามันจะค่อยๆดีขึ้นเอง”
เขาจำได้ว่าตอนที่คุณหมออุ้มเด็กออกมา ขนาดตัวเด็กยังยาวไม่ถึงครึ่งของแขนเขาเลยด้วยซ้ำ
เขากังวลว่าพอเวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นแล้วจะเครียด เขาเลยจำเป็นต้องอ้างว่าที่เด็กตัวเล็กนั้นก็เป็นเพราะการคลอดก่อนกำหนด
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่สงสัยเขาเลย เธอเพียงแต่ถามด้วยความกังวลออกไป “เด็กที่คลอดก่อนกำหนดจะดีขึ้นเองได้จริงๆหรอ?”
เท่าที่เธอจำได้ เด็กที่คลอดก่อนกำหนดจะมีความบกพร่อง ถ้าไม่อ่อนแอเจ็บไข้ได้ป่วยง่าย ก็สติปัญญาไม่สมประกอบ
ที่จริงเธอเตรียมใจไว้แล้ว ตอนที่ลูกอยู่ในท้องเขาก็ทุกข์ทรมานมามาก พอหลังคลอดเขาก็อาจได้รับอันตรายอีก
รอดมาได้ก็ถือว่าบุญโขแล้ว เพราะฉะนั้นเธอจะเรื่องมากไม่ได้
“ต้องได้สิ ผมจะหาทางช่วยเขาให้……ดีขึ้นได้แน่ ”
จี้จิ่งเชินเกือบจะหลุดปากพูดว่า “รักษาให้ดีขึ้น” แต่ดีที่เขากลับคำได้ทัน
พอพูดถึงตรงนี้ความรู้สึกดีใจที่จะได้เจอลูกก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวล
เธอนั่งอยู่บนรถเข็น สายตาเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจขึ้นมาทันที
จี้จิ่งเชินรู้ได้เลยว่าเธอไม่สบายใจ แต่นอกจากการพาเธอไปเจอลูก เขาก็คิดหาวิธีอื่นมาปลอบใจเธอไม่ออกแล้ว
โชคดีที่เขาได้ยินหมอที่ดูแลบอกแล้วว่าอาการของเด็กไม่แย่นัก เพราะไม่งั้นเขาคงไม่กล้าพาเวินเที๋ยนเที๋ยนไปเจอลูกแน่
ห้องดูแลเด็กอ่อนอยู่ไม่ไกลจากห้องพักฟื้นของเวินเที๋ยนเที๋ยน ไม่นานทั้งสองก็มาถึงห้องที่ลูกอยู่
พยาบาลได้รับคำสั่งจากแพทย์เจ้าของไข้มาว่าต้องยืนยันข้อมูลของจี้จิ่งเชินกับเวินเที๋ยนเที๋ยนก่อน จากนั้นค่อยเปิดประตู และบอกพวกเขาเรื่องข้อควรระวังของตู้อบ
อย่างเช่น ตรงไหนบ้างที่ไม่ควรแตะต้อง
เวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชินตั้งใจฟังมากเป็นพิเศษ
ทันทีที่ประตูเปิดออก ทุกอย่างในห้องก็ปรากฏขึ้นในสายตา
เวินเที๋ยนเที๋ยนถูกเด็กทารกที่นอนอยู่ในตู้อบดึงดูดสายตาทันที
เธอจ้องตาไม่กระพริบ จากตรงนี้สามารถมองเห็นเท้าของเด็กทารกที่ดูขาวและนุ่มนิ่มได้อย่างชัดเจน
ภาพตอนเขาโตเป็นเด็กหนุ่มแวบขึ้นมาในหัวทันที
เวินเที๋ยนเที๋ยนจับที่รถเข็นแน่น ปลายนิ้วมือสั่นระริกเล็กน้อย
นั่นคือลูกของเธอ คนที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ!
ก่อนหน้านี้เธอเคยได้รับแค่ความรักของแม่ แต่ตอนนี้เธอกลับเอาความรักของคนเป็นแม่ของเธอส่งต่อไปยังสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆนี้เพียงคนเดียว
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าการเป็นแม่มันไม่ได้มีแค่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ต้องต่อสู้กับโรคร้าย มันมีมากกว่านั้น ซึ่งก็คือหนูน้อยน่าตาน่ารักน่าชังคนนี้!
ทันทีที่เจอลูก ความเจ็บปวดและความทุกข์ของหลายๆวันที่ผ่านมามันก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ทั้งหมดนี่มันคุ้มค่าจริงๆ
“จี้จิ่งเชิน” ดวงตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนค่อยๆแดงก่ำ“ดูลูกของเราสิ!”
จี้จิ่งเชินพยักหน้ารับทันที
เขาเข็นเวินเที๋ยนเที๋ยนไปที่ด้านหน้าตู้อบ
ถ้าดูจากมุมนี้จะเห็นหน้าตาของลูกได้อย่างชัดเจน
เวินเที๋ยนเที๋ยนจำที่พยาบาลเตือนไว้ได้ขึ้นใจ เธอจึงไม่กล้าแตะต้องตู้อบมากนัก
ทว่าเธอก็ยกมือขึ้นมาแตะไปที่กระจกกั้นระหว่างเธอกับเด็กน้อยที่นอนหลับลึกอย่างอดไม่ได้
ท่านอนเขาน่ารักมากๆเลย ขาน่องอวบๆคู่นั้น ถ้าเขาดิ้นสักหน่อยก็คงดี
เวินเที๋ยนเที๋ยนแอบคิดอยู่ในใจ
“ลูกจ๋า นี่แม่นะ”
เธอยิ้มออกมาหน้าซื่อ “จี้จิ่งเชิน ลูกน่ารักมากๆเลย ดูสิ หน้าเหมือนคุณเปี๊ยบ!”
“……”
จี้จิ่งเชินมองไปที่เวินเที๋ยนเที๋ยนอย่างจนปัญญา “หน้าลูกย่นรวมกันขนาดนั้น คุณดูออกได้ยังไงว่าเหมือนผม?”
เด็กแรกเกิดมักจะหน้าตาไม่ค่อยดี แถมเด็กคนนี้ยังตัวเล็กและผอมมากๆด้วย ดูๆแล้วเหมือนจะเข้าขั้นน่าเกลียดเลยล่ะ แต่มันก็คงพอๆกับโดว์โดว์ลูกของหลวนจื่อตอนพึ่งเกิด
แต่โดว์โดว์ตัวโตกว่านี้เยอะ และดูดีกว่าเด็กนี่นิดหน่อย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ
จี้จิ่งเชินเอามือวางแนบกับกระจก
“ลูกจ๋า รีบโตเร็วๆนะ พ่อกับแม่จะรอลูกอยู่ข้างนอกนี่เอง”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอมยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดกับเขาออกไป “คุณโอ๋เขาอีกสิ บางทีเขาอาจจะลืมตาขึ้นมาก็ได้”
“เขาพึ่งเกิดเอง ยังลืมตาไม่ขึ้นหรอก”
พูดจบจี้จิ่งเชินก็เห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนจ้องเขาอย่างไม่ลดละ
จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
“งั้นเดี๋ยวผมลองดู”
จี้จิ่งเชินส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา
เด็กแรกเกิดอีกหลายๆคนล้วนลืมตาไม่ขึ้นกันทั้งนั้น แล้วนับประสาอะไรกับหนูน้อยที่คลอดก่อนกำหนดคนนี้?
เขาไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่เมื่อเขาตะโกนออกไปสองครั้ง
“ลูกจ๋า?ลูกจ๋า?”
จู่ๆเปลือกตาของหนูน้อยในตู้อบก็ขยับนิดหน่อย เหมือนกับว่ากำลังหรี่ตาอยู่
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ่งดีใจไปอีก “ลูกได้ยินคุณพูดแล้ว พูดต่อสิ เร็วเข้า!”
เธอเร่งให้เขารีบพูดต่อ
จี้จิ่งเชินตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ย่อตัวลง แล้วพูดอย่างอ่อนโยน
“ลูกจ๋า สู้ๆนะ รีบลืมตาขึ้นมามองโลกใบนี้เถอะ”
“ที่นี่มีพ่อกับแม่ที่รักหนูมากๆนะ โดยเฉพาะแม่ของลูกที่แม้กำลังป่วยอยู่แต่ก็รีบมาดูหนู หนูดีใจไหม?”
“ถ้าดีใจล่ะก็ ลืมตาขึ้นมาตอนนี้เลยนะ……”
เสียงของจี้จิ่งเชินดังสะท้อนอยู่ในห้องดูแลเด็กอ่อนราวกับเสียงพิณที่ดังก้องกังวานไม่หยุดหย่อน
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองเด็กในตู้อบอย่างใจจดใจจ่อ แต่น่าเสียดายหนูน้อยไม่ได้ลืมตาขึ้นมาทั้งหมด
นี่จึงทำให้เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากเธอคาดหวังและรอคอยกับมันมาก
“ฉันว่าดวงตาของเขาจะต้องสดใสมากแน่ๆ ” เวินเที๋ยนเที๋ยนจินตนาการไว้ “คงจะเหมือนกับดวงดาวที่สุกสว่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืน หรือไม่มันก็ต้องแวววาวราวกับไข่มุก”
เธอยังคงเฝ้ารอถึงวันที่หนูน้อยจะได้ลืมตาดูโลก
จี้จิ่งเชินยิ้มร่า “ไม่ช้าพวกเราจะได้เห็นมันแน่ อย่ารีบร้อนไปเลย”
“นั่นสิคะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้าเห็นด้วย
ห้องดูแลเด็กอ่อนไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมเป็นเวลานาน บวกกับร่างกายของเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ต้องได้รับการพักผ่อน ไม่นานพยาบาลก็เดินเข้ามาแจ้งให้พวกเขากลับไปที่ห้องพักฟื้นเพื่อพักผ่อน
จี้จิ่งเชินแกล้งทำเป็นเมินสายตาที่อาลัยอาวรณ์อยากอยู่ต่อของเวินเที๋ยนเที๋ยน เขาตัดใจเข็นรถพาเธอกลับไปที่ห้องพักฟื้น
“ฉันรู้สึกว่าเขาต้องเป็นเด็กที่น่ารักสุดๆไปเลย แต่ว่าตัวเขาเล็กเกินไป เล็กจนทำฉันปวดใจเลยทีเดียว”
“ดวงตาของเขาถอดแบบมาจากคุณเหมือนกับแกะสลักออกมาเลย ก็ดี ดวงตาคุณก็สวยมาก”
“……”
เมื่อกลับมาถึงห้องพักฟื้น เวินเที๋ยนเที๋ยนก็พูดถึงลูกไม่หยุด เธอเอาแต่ชื่นชมจนลูกของพวกเขาดีเลิศเกินมนุษย์มนาไปแล้ว
จี้จิ่งเชินยิ้มพูดขึ้น “ผมรู้ว่าคุณอยากอยู่ข้างๆเขา เชื่อใจผมเถอะ ถ้าคุณและลูกร่างกายแข็งแรง คุณก็จะได้ไปดูแลเขาอย่างเต็มที่แน่”
“แล้วเมื่อไหร่ฉันจะหายดีล่ะ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนแทบรอไม่ไหวที่จะได้กอดลูกแล้ว
“ไม่นานหรอก” จี้จิ่งเชินมองไปที่เธอ “คุณเอาแต่เป็นห่วงลูก ในใจก็คิดถึงแต่ลูก ไม่กลัวว่าผมจะหึงบ้างหรอ?”
หึง?ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาเนี่ยนะจะหึงลูก?
เวินเที๋ยนเที๋ยนหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่ไว้หน้า