เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่อยากเปิดเผยสถานะของตนเอง จึงพาจี้หยู๋ชิงค่อยๆ ก้าวจากข้างหลังไปข้างหน้า
ชิงช้าสวรรค์นี้เป็นสัญลักษณ์แทนความรู้สึกของเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชิน จำนวนมากที่มานั่งก็มีความหวังในใจที่เหมือนกัน นั่นก็คือหวังว่าตัวเอาจะสามารถหาคนแบบเวินเที๋ยนเที๋ยนหรือจี้จิ่งเชินมาเป็นคู่ชีวิตของพวกเขาได้
ชิงช้าสวรรค์นี้ กลายเป็นเครื่องขอพรไปแล้ว ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาเยี่ยมชม
เวินเที๋ยนเที๋ยนแนะนำแนวคิดตอนสร้างชิงช้าสวรรค์นี้แก่จี้หยู๋ชิง
“ที่แท้ก็เป็นประภาคารนี่เอง”
ขณะที่กำลังพูด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนหันกลับไปมอง ก็คู่รักคู่หนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
หญิงสาวมองเธอด้วยสีหน้าคาดหวัง แววตาเป็นประกายเล็กน้อย
ทั้งคู่เหมือนพึ่งคบกันได้ไม่นาน สีหน้ายังคงมีความเหนียมอาย แต่กลับมองออกว่าสวีตหวานกันเป็นอย่างมาก
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มบาง
“ความจริงแล้วเป็นแบบนี้ หวังว่าคนรักของตัวเองจะมองเห็นตัวเองผ่านประภาคารนี้ได้ อย่าทำให้คนรักต้องรอนาน”
“ที่แท้แล้วก็เป็นแบบนี้นี่เอง”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักเวินเที๋ยนเที๋ยน เมื่อได้ฟังเรื่องนี้จึงมองไปที่เด็กผู้ชายที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
“ดังนั้น ฉันเลยอยากมาที่ชิงช้าสวรรค์นี่สักครั้ง”
ชายหนุ่มข้างๆ มีสีหน้าเขินอาย เมื่อเห็นสายตาของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็หลบไปมองรอบๆ ทันที
หญิงสาวมองจี้หยู๋ชิงข้างตัวเวินเที๋ยนเที๋ยน เอ่ยอย่างสนใจ “พี่สาว พี่มากับลูกคนเดียวเหรอ? สามีพี่ล่ะ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเอ่ยยิ้มๆ “เขามีธุระเลยยังไม่มา เลยไม่รอเขาแล้ว”
จี้หยู๋ชิงพยักหน้า หันกลับไปกอดคอเวินเที๋ยนเที๋ยน เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ารัก “ต้องการแค่คุณแม่!”
เขากัดฟันพูดพลางคิดอยากสลัดผู้ชายคนนัน้ออกไปโดยเร็ว
แต่ประโยคนี้ในมุมของหญิงสาวอารมณ์อ่อนไหวตรงหน้าแล้ว กลับกลายเป็นอีกมุมหนึ่ง คิดว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเวินเที๋ยนเที๋ยนกับสามี ถึงได้มาคนเดียว พาลูกมานั่งชิงช้าสวรรค์อย่างอ้างว้าง
หลังจากนั้นไม่นาน ในหัวก็ปรากฏภาพความรักความเกลียดชัง สายตาที่มองเวินเที๋ยนเที๋ยนก็เปลี่ยนเป็นสงสาร
เธอเอ่ยให้กำลังใจ “ไม่เป็นไร ตัวคนเดียวก็ใช้ชีวิตให้ดีได้!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป
“ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ความจริงแล้วเขามีธุระเลยมาไม่ได้”
ขณะที่กำลังอธิบาย ชิงช้าสวรรค์ถึงตาตัวเองพอดี จึงได้แต่พยักหน้าให้พวกเขาเล็กน้อย แล้วหมุนตัวขึ้นชิงช้าสวรรค์ไป
ทันทีที่ขึ้นไปนั่ง จี้หยู๋ชิงก็มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ แววตาที่เงียบสงบมาแต่ไหนแต่ไรปรากฏความแปลกใจและคาดหวัง
“สองท่านใช่ไหม?” พนักงานที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
“ใช่แล้ว” เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า
“รอเดี๋ยว!”
เมื่อประตูกระเช้าชิงช้าสวรรค์กำลังจะปิดลง มือข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามา
ปัง!
ประตูกระเช้าชิงช้าสวรรค์ถูกขวางไว้
“เพิ่มอีกหนึ่งคน”
น้ำเสียงทุ้มลึกที่ดังลอยมานั้นคุ้นหูเป็นอย่างมาก
เวินเที๋ยนเที๋ยนหันกลับไปมอง ก็เห็นจี้จิ่งเชินยืนอยู่ตรงประตู
เขาสวมสูทสีดำพอดีตัว ดูท่าแล้วน่าจะรีบมาจากบริษัท
แต่นั่งชิงช้าสวรรค์ต้องซื้อตั๋วก่อน ถึงสามารถเข้าไปนั่งได้ อยู่ๆ จะพูดว่าเพิ่มที่นั่งได้เลยที่ไหน?
พนักงานกำลังจะแย้ง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือจี้จิ่งเชิน ก็ตกใจจนชะงักไป รีบโค้งตัวให้
“ไม่มีปัญหา! ไม่มีปัญหา! ประธานจี้…….”
เขากำลังจะพูดขึ้น จี้จิ่งเชินก็ยกมือห้ามด้วยความรวดเร็ว
“ผมจะนั่งกับพวกเขา”
พนักงานรีบพยักหน้า “ไม่เป็นไร คุณเข้าไปเถอะ เดี๋ยวจะเริ่มแล้ว”
จี้จิ่งเชินจึงเข้าไปนั่ง
เมื่อเวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นเขา ก็เอ่ยประหลาดใจ “คุณมาได้อย่างไร?”
“พ่อบ้านบอกผม หลังจากเสร็จงานแล้วก็ตรงมาที่นี่เลย”
เทียบกับเวินเที๋ยนเที๋ยนที่ประหลาดใจแล้ว จี้หยู๋ชิงกลับดูไม่ดีใจ
เดิมทีเป็นเดทของตัวเองกับคุณแม่สองคน ก็เพราะตั้งใจหลีกเลี่ยงคุณพ่อโดยเฉพาะ
คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาทันตอนสุดท้ายของช่วงเวลาสำคัญ
ไม่ดีใจเลยจริงๆ!
จี้จิ่งเชินกวาดตามอง จะมองสีหน้าของจี้หยู๋ชิงในเวลานี้ไม่ออกได้อย่างไร?
แต่กลับจงใจบิดเบือน
“ทำไม? เห็นพ่อแล้วดีใจมาก จนพูดไม่ออกเลยใช่ไหม?”
“ฮึ!”
จี้หยู๋ชิงแค่นหัวเราะในลำคอ ยื่นหน้าไปมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง
คู่รักที่ยืนต่อข้างหลังเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้หยู๋ชิง เห็นฉากที่จี้จิ่งเชินก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เห็นทั้งสามคนพูดคุยยิ้มแย้มกันในกระเช้า ก็วางใจลงโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมองอย่าละเอียดแล้ว ก็รู้สึกว่าคุ้นตา เอ่ยถามชายหนุ่มข้างกายอย่างสงสัย
“พี่สาวเมื่อสักครู่ เคยเจอที่ไหนมาก่อนใช่ไหม? รู้สึกคุ้นๆ”
ชายหนุ่มมองอีกครั้งก็ยังจำไม่ได้ หรือบางทีความสนใจของเขา ล้วนอยู่บนที่ตัวของหญิงสาว
ทั้งสองคนขึ้นกระเช้าชิงช้าสวรรค์ และประตูกำลังจะปิดลง
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ยื่นมือออกไปจับมือของหญิงสาวไว้
หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นช้าๆ
ชายหนุ่มยืดลำคอ สามารถเห็นได้ว่าใบหูของเขาแดงเล็กน้อย เอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ผมแค่กลัวว่าคุณจะเป็นอันตราย รู้ว่าตัวเองกลัวความสูงแท้ๆ ยังอยากนั่งชิงช้าสวรรค์ นี่คุณไม่ได้ทารุณตัวเองอยู่เหรอ?”
หญิงสาวตอบเสียงเบา “ชิงช้าสวรรค์นี้ มีความพิเศษ”
ตราบใดที่คู่รักจูบกันบนชิงช้าสวรรค์แห่งนี้ จะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปอย่างแน่นอน เธอเองก็อยากลองดูสักครั้ง
แน่นอนว่าชายหนุ่มรู้ถึงความคิดในใจของหญิงสาว ใบหูก็แดงยิ่งขึ้น
เขายื่นศีรษะมองไปด้านนอกหน้าต่าง แต่กลับไม่ได้ปล่อยมือของหญิงสาว
เอ่ยเสียงเบา “ตรงนี้อันตรายเกินไป ต่อไปถ้าอยากมา ให้มากับผม”
“อืม!”
ชิงช้าสวรรค์เคลื่อนที่ช้าๆ ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนี้นั่งชิงช้าสวรรค์ไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็เพียงพอที่จะเก็บทิวทัศน์ของเมืองหลวงทั้งหมดไว้ในสายตา มือก็แทบจะเด็ดถึงดวงดาว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดพลางหันไปมองจี้หยู๋ชิงที่อยู่ข้างๆ
เอ่ย “ตอนถึงยอด ยังสามารถเห็นบ้านของพวกเราได้ด้วย”
แต่เมื่อหันไปกลับเห็นจี้หยู๋ชิงนั่งตัวตรง ขมวดคิ้วแน่น ร่างกายเล็กๆ ตึงเป็นเชือกตรง ไม่กล้าขยับ
เวินเที๋ยนเที๋ยนตกใจ รีบเอ่ยขึ้น “หยู๋ชิง หนูเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
จี้หยู๋ชิงส่ายหน้า เม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไร
เที๋ยนเที๋ยนยังคงไม่วางใจเล็กน้อย
จี้จิ่งเชินเข้าไปดู โน้มตัวเล็กน้อยแล้วสบตากับจี้หยู๋ชิง
“จี้หยู๋ชิง หนูคงไม่ได้…….กลัวความสูงหรอกใช่ไหม?”
จี้หยู๋ชิงเพียงแค่รู้สึกว่ายิ่งตัวเองอยู่ห่างจากพื้นเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งแข็งกระด้าง จะขยับก็ขยับไม่ได้
ทำไม…..กลัวความสูงได้อย่างไร?
คุณพ่อก็ไม่กลัว คุณแม่ก็ไม่กลัว แน่นอนว่าเขาจะอ่อนแอกลัวความสูงแบบนี้ไม่ได้!
เข้าส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น
แต่สีหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อยยังคงเคร่งขรึม ก็แสดงออกถึงทุกอย่างแล้ว
จี้จิ่งเชินเห็นเขาโต้แย้งอย่างยอมตายไม่ยอมเสียหน้า ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เอาเถอะ ถ้าตัวหนูเองไม่กลัวความสูง ก็ไม่คงต้องดึงเสื้อพ่ออยู่ตลอดเวลาใช่ไหม?”
เขายกมือขึ้น ตั้งแต่ชิงช้าสวรรค์เริ่มเคลื่อนที่ จี้หยู๋ชิงก็จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น
เพราะความกลัว มุมหนึ่งของเสื้อสูทที่รีดอย่างเรียบร้อยก็ถูกขยำจนเป็นรอบยับจำนวนไม่น้อย