บุปผาเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 298 ป่าสุขสราญ / ตอนที่ 299 ฟังพิณ
ตอนที่ 298 ป่าสุขสราญ
เซียงฉือชะงักแล้วรีบหันกายกลับ ลมด้านนอกพัดขึ้นแล้ว ที่ตรงนี้มีสภาพต่ำ ลมจากรอบทิศพัดผ่านชายคาบ้างภูเขาจำลองโชยมา เซียงฉือรู้สึกถึงลมที่โชยมาปะทะใบหน้า ตามด้วยกลีบดอกไม้มากมายพรั่งพรูร่วงลงมาจึงลืมตาขึ้น
เห็นกลีบดอกท้อลอยละลิ่วร่วงพรูลงมาราวหิมะ ยามลมจากด้านล่างพัดขึ้นไป พาให้กลีบดอกไม้ม้วนตัวเป็นวงพลิ้วลอยสูงและห่างออกไปยิ่งขึ้น
เซียงฉือมองดูภาพนั้นจนตกตะลึงลาน นี่คือสิ่งใดกัน
นางมองต้นท้อที่ด้านหลัง ตรงนั้นมีต้นท้อที่สะพรั่งอยู่ต้นหนึ่งออกดอกเต็มไปทั่ว เมื่อลมพัดมันสั่นไหวขึ้นเบาๆ มีเพียงกลีบดอกร่วงลงมาไม่มาก แต่เหตุการณ์เมื่อครู่เห็นชัดเจนว่าเป็นดั่งม่านฝนดอกท้อ
แล้วกลีบดอกท้อเต็มท้องฟ้าเช่นนั้นมาจากที่ไหน
เซียงฉือคิดถึงสายตาลึกล้ำของหรงจิงที่มองไปเบื้องหน้าเมื่อครู่ได้ นางจึงหมุนกายแล้วว่ายไปที่ข้างๆ จากนั้นมองขึ้นเบื้องบนจึงได้เห็นอีกมุมหนึ่งของต้นท้อนั้น
ที่แท้ด้านหลังภูเขาจำลองเป็นป่าต้นท้อผืนหนึ่ง เมื่อลมพัดผ่านจะมีกลีบดอกท้อร่วงจากด้านบนลงมา
หอทิงเฟิง ความหมายของการฟังเสียงลม คือฟังเสียงลมผ่านดอกท้อ พวกนางได้เห็นลักษณะของลมตามการขึ้นๆ ลงๆ ลอยไปลอยมาของดอกท้อ
เซียงฉือคิดเช่นนี้ นางมองหรงจิงด้วยสายตาแวววาวยิ่งขึ้น หรงจิงจึงรู้ว่าเซียงฉือล่วงรู้ความหมายที่แท้จริงของหอทิงเฟิงนี้แล้วก็หัวเราะเบาๆ
เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดทีเดียว สติปัญญาไม่ใช่ย่อย
หรงจิงยิ้มแล้วดื่มสุราไปอีกจอกหนึ่ง วันนี้เขารู้สึกสบายใจกว่าวันเวลาอื่นๆ
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของเซียงฉือดังไม่หยุด เขารู้สึกเสียงนี้คล้ายดั่งเสียงเพลงจากพิณล้ำค่า อีกทั้งเสียงจากธรรมชาติ พาให้เพลิดเพลิน
หรงจิงแช่น้ำจนรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างยิ่ง แล้วสวมเสื้อตัวนอกอีกครั้ง ยกป้านสุราเดินไปทางด้านหลังภูเขา
เซียงฉือคิดและมองดูเสื้อผ้าแห้งที่ด้านข้างจึงนำขึ้นคลุมตัวแล้วตามเขาไป
เมื่อเดินไปถึงหลังเขาเป็นความใกล้ชิดอีกแบบหนึ่ง มีต้นท้อดาษดื่นขึ้นไปทั่ว ท่ามกลางกลีบดอกที่ร่วงกราวดูราวกับผืนพรมอ่อนนุ่มทอดยาว หากล้มตัวลงบนนั้นคงจะสบายเป็นอย่างยิ่ง
เซียงฉือก้าวเดินเร็วจนตามหรงจิงทัน หรงจิงไปถึงใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง ตรงนั้นมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตั้งไว้แล้ว ท่าทางเขาสบายๆ ไม่เหมือนหรงจิงยามปกติที่นิยมความสะอาดเรียบร้อยเป็นสง่า
นางรู้สึกว่าวันนี้ได้เห็นฮ่องเต้ที่ไม่เหมือนเดิม หรงจิงที่แตกต่างไป เช่นบนเก้าอี้นั่งเล่นเวลานี้ หรงจิงถือป้านสุราทิ้งกายเอกเขนกอยู่บนนั้นอย่างปล่อยตัวปล่อยใจ
เส้นผมปล่อยสยายลงมา ปลิวละลิ่วเบาๆ ตามสายลมเอื่อย
เซียงฉือมองดูจนเหม่อลอยอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเขาถอดชุดฮ่องเต้ออกก็กลายสภาพมาเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนคุณชายมีตระกูลรูปงาม ใช้ชีวิตอย่างสมถะราวไม่ต้องการไม่ปรารถนาสิ่งใด สุขสบายเฉกเช่นเทพยดา
“ที่นี่ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้มันเลย ใต้เท้าอวิ๋นจะไม่ลองช่วยข้าคิดสักหน่อยหรือ”
หรงจิงหรี่ตากำมือแล้ววางไว้บนหน้าผาก ส่วนมืออีกข้างลูบกลีบดอกท้อดอกหนึ่งที่ร่วงลงบนตัวเขาเบาๆ ถามขึ้นราวกับไม่ใส่ใจ
เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป แต่เมื่อคิดได้จึงดีใจหนักหนา
ถึงจะบอกว่าเป็นการช่วยฮ่องเต้คิด แต่เจตนานี้ทำให้เซียงฉือประหลาดใจที่ได้รับการโปรดปรานอย่างไม่คาดฝัน
นางจึงไม่กล้าชักช้า ใช้มือข้างหนึ่งแตะหัวคิ้วใช้ความคิดหนัก ผ่านไปครู่หนึ่งดวงตาทั้งคู่จึงสว่างวาบ ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี
“เรียกมันว่าป่าสุขสราญ เป็นอย่างไรเพคะ”
หรงจิงเผยอเปลือกตาขึ้นเมื่อได้ยิน แล้วทบทวนชื่อนี้ขึ้นมาด้วยความสนใจ
“ป่าสุขสราญ ไม่เลวเหมือนกัน เข้ากับสภาพได้ดี ตอนนี้ข้าก็สุขสราญราวกับเทพยดาจริงๆ”
“ใครๆ ก็บอกว่าเป็นฮ่องเต้เป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในโลก แต่ข้ารู้สึกว่าการเป็นฮ่องเต้นั้นเป็นงานที่ยากลำบากจริงๆ”
“เจ้าเด็กต๊อง ข้าชอบชื่อที่เจ้าตั้ง ดีล่ะ งั้นก็เรียกมันว่าป่าสุขสราญก็แล้วกัน”
ตอนที่ 299 ฟังพิณ
ยามนี้อวิ๋นเซียงฉือเต็มตื้นไปด้วยความดีใจ หรงจิงเห็นแล้วก็ยินดีปรีดาไปด้วย เวลานี้ทั้งคู่จมอยู่ในโลกเล็กๆ ของกันและกันอย่างมีความสุข
นั่งอยู่ในที่นั้นสักครู่ หรงจิงรู้สึกว่าความร้อนจากการแช่น้ำแร่เมื่อครู่ถูกลมโชยพัด ทำให้สดชื่นสบายไปทั้งตัว
ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่ตอนนี้ย่างเข้าปลายเดือนแปดแล้ว เมืองหลวงที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือนี้นับเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด หากไม่ใช่เพราะต้นท้อที่ตระหง่านบังแดดอยู่เหนือศีรษะแล้ว ทั้งสองคงจะถูกแสงแดดแผดเผาจนสุดจะทนทานไหว
เพียงครู่เดียวเสื้อผ้าบนกายก็แห้งลง ที่ตรงนั้นเริ่มร้อนระอุขึ้น หรงจิงทนความร้อนไม่ได้จึงสะบัดมือพูดว่า
“ไปหาที่ร่มเย็นหน่อยดีกว่า ที่นี่ยิ่งร้อนขึ้นทุกทีแล้ว”
พูดจบก็ลุกขึ้น เซียงฉือจึงติดตามไป
ทั้งคู่เดินตามกันเข้าไปในห้อง หรงจิงเดินไปแล้วหยุดลงกะทันหัน เซียงฉือที่ก้มหน้าเดินตามเขาจึงชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาจังๆ
กล้ามเนื้อบนร่างของหรงจิงแน่นอย่างยิ่ง เมื่อเซียงฉือชนเข้าไปไม่ต่างอะไรกับชนภูเขาทั้งลูก นางชะงักแล้วถอยหลังคลึงจมูกตนเอง ทำปากจู๋แต่ไม่ส่งเสียงร้อง
หรงจิงยิ้มแล้วยืนนิ่ง เพียงหันกลับไปมองเซียงฉือ ลูบเส้นผมนุ่มสลวยของนางพูดเสียงเบาว่า
“ได้เวลานอนกลางวันแล้ว เจ้าเด็กต๊องง่วงแล้วกระมัง”
ระยะนี้เซียงฉือกับหรงจิงมีเวลาพักตรงกัน พอถึงเวลาก็จะนอนกลางวัน ดังนั้นเมื่อแช่น้ำแร่แล้วในตอนนี้จึงสะลึมสะลือง่วงนอน มิเช่นนั้นคงไม่ชนเข้ากับแผ่นหลังของหรงจิงเข้า
เซียงฉือไม่พูดอะไร เพียงผงกศีรษะที่อยู่ใต้ฝ่ามือหรงจิงอย่างว่าง่าย
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกก่อน ตรงนั้นมีเสื้อผ้าแห้งอยู่ เปลี่ยนเสร็จแล้วค่อยกลับมานี่”
เซียงฉือฝืนความง่วง เป่าลมออกจากปากหลายครั้งขณะเดินไปยังห้องด้านข้าง ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป หรงจิงเห็นนางไปแล้วก็ถอดเสื้อตัวนอกออก เปลี่ยนเป็นชุดแห้งเรียบง่ายแล้วเดินไปข้างพิณปี้หวง นั่งลงเบาๆ
เขาวางเบาะกำมะหยี่ไว้ข้างกายแล้วนั่งถัดลงไปข้างๆ กระทั่งเสียงประตูที่เซียงฉือเปิดออกดังขึ้น หรงจิงจึงหันไปตามเสียง
เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“รีบมานี่”
เซียงฉือได้ยินเสียงก็รีบเข้าไป หรงจิงตบเบาะที่ข้างกายเบาๆ เซียงฉือจึงนั่งลงอย่างเชื่อฟัง
หรงจิงยิ้ม
“ข้าจะเล่นพิณให้เจ้าฟัง”
เซียงฉือตกใจ ถึงจะเข้าใจความหมายของหรงจิง แต่เพราะเขาพูดออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมสักนิด หรงจิงได้ยินแล้วหัวเราะเสียงดัง
“เจ้าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่ นั่นไม่ใช่หมอนหรอกหรือ”
หรงจิงชี้นิ้วไป เซียงฉือจึงเห็นหมอนใบเล็กที่ถูกชุดของเขาคลุมไว้ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นทันที ไม่กล้าพูดอะไรที่จะทำให้เขาขำอีก รีบล้มกายลงนอนข้างกายหรงจิงทันที
แต่ใบหน้านั้นแดงเรื่อขึ้นมา
หรงจิงเห็นนางเช่นนั้นจึงหุบยิ้ม เขายื่นแขนทาบบนสายพิณ นานมากแล้วที่ไม่ได้ดีดพิณรู้สึกห่างเหินอยู่บ้าง แต่เมื่อมือสัมผัสกับความเย็นเยียบบนนั้น ความคุ้นเคยจึงกลับมาอีกครั้ง
“อยากฟังอะไร”
เซียงฉือปิดหน้านอนอยู่ข้างกายหรงจิง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ดังขึ้นที่เหนือศีรษะจึงวางแขนลง หันหน้าไปมองฝ่ายตรงข้าม ดวงตาสั่นไหวน้อยๆ