ตอนที่ 616 ยาเซียงตี่[1]
หงซีกูกูพาเซียงฉือเข้าพักในตำหนักหลัก ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นคำสั่งของหรงจิง
การเที่ยวเตร่จะไม่มีแล้ว และเซียงฉือก็จะไม่ได้ว่างอีกเลยแม้สักครู่เดียว เพราะหงซีกูกูยืนอยู่เบื้องหน้านางและพูดว่า
“อวิ๋นผินเป็นราชทินนามสำหรับบุคคลภายนอก ฝ่าบาทรับสั่งกับบ่าวว่าให้ปฏิบัติต่อนายหญิงน้อยอย่างสาวงามที่ได้รับสถาปนา ให้บ่าวเป็นหมัวหมัวที่ให้คำแนะนำแก่นายหญิงน้อย”
“ดังนั้นตามที่ทรงมีพระกระแสรับสั่ง ก่อนที่นายหญิงน้อยจะเข้าพิธีเสกสมรสกับฝ่าบาทในวันที่สิบแปดนี้ ให้เรียกอวิ๋นผินว่านายหญิงน้อยเจ้าค่ะ”
เซียงฉือได้ยินว่าวันที่สิบแปดใบหน้าก็แดงซ่าน เขาไม่ได้ลืมจริงๆ พอคิดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกขวยอายขึ้นมา
หงซีกูกูเข้าใจความรู้สึกของนางในยามนี้ดี จึงตบมือนาง
“หลายวันนี้คงต้องลำบากหมัวหมัวแล้ว เซียงฉือขอขอบคุณล่วงหน้า”
หงซีกูกูพยักหน้าแล้วสั่งนางกำนัลขันทีที่ด้านหลังให้ไปเตรียมการห้องอาบน้ำ นางนำเซียงฉือเข้าไปในห้องแล้วถอดเสื้อผ้านาง เส้นผมดำสลวยถูกบิดเป็นมวยอยู่บนศีรษะ งดงามอย่างเป็นธรรมชาติ
หัวใจของเซียงฉือเต้นตุบตับ หงซีกูกูนำนางลงไปในน้ำแร่อุ่นแล้วเทน้ำนมลงไปอีกทั้งกลีบดอกไม้มากมาย ให้นางปล่อยกายปล่อยใจทั้งหมดลงในนั้น
“นี่คืออะไรหรือ”
เซียงฉือมองดูขวดใบเล็กในมือหงซีกูกูด้วยความสนใจ แล้วถามขึ้นอย่างสงสัยยิ่ง
“สิ่งนี้ได้มาจากทางฝั่งตะวันตก เห็นว่าเป็นของเหลวที่นำออกมาจากดอกไม้สด ใช้เพียงไม่กี่หยดก็จะหอมไปทั่วห้องฝ่าบาททรงประทานมาให้นายหญิงน้อยใช้เป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
เซียงฉือรับขวดนั้นมาถือพลิกดูไปมาในมือครู่หนึ่ง แล้วยิ้มพูดว่า
“ฝ่าบาททรงเปี่ยมน้ำพระทัย เป็นฮ่องเต้นี่ดีจริง ของประหลาดแปลกใหม่อะไรก็ได้ใช้”
หงซีกูกูเพียงแต่ยิ้มไม่พูดอะไร นางบอกเซียงฉือให้แช่ให้สบายอยู่ในสระ แล้วใช้ผ้าสะอาดบิดเช็ดทำความสะอาดตามจุดต่างๆ ให้นาง
หลังจากอาบน้ำแล้วก็ผ่อนคลายกายใจ หงซีกูกูนำเสื้อคลุมมงคลสีแดงมาให้เซียงฉือลองดูว่าพอดีหรือไม่ เซียงฉือสวมแล้วใบหน้างดงามก็แดงสดใส
หงซีกูกูนำสาวปักเย็บหลายคนช่วยกันดูว่าตรงไหนหลวมหรือคับ เมื่อถอดออกแล้วก็ให้เซียงฉือเลือกปิ่นมุกเครื่องประดับศีรษะที่ชอบ
เซียงฉือเลือกไปขณะเดียวกันก็ต้องทำเล็บเป็นสีแดง ทั้งยังต้องอบควันหอม สระผม วนเวียนตระเตรียมเช่นนี้อยู่สองวันในที่สุดก็ถึงวันที่สิบแปด
เซียงชือจึงได้มีเวลาว่างสักครู่หนึ่ง หงซีกูกูดูลึกลับ นางดึงเซียงฉือพร้อมกับถือสมุดภาพ
รอยยิ้มอาบเต็มใบหน้าพูดขึ้นว่า
“วันนี้เป็นวันออกเรือนครั้งแรกของนายหญิงน้อย ท่านไม่มีแม่ ดังนั้นหมัวหมัวก็จะสอนในเรื่องที่ควรสอนก็แล้วกัน และตอนนี้ของในก้นหีบก็ควรนำออกมาดูได้แล้ว”
เซียงฉือได้ยินแล้วเกิดความสนใจขึ้นมา หงซีกูกูจึงหยิบสมุดภาพออกมาสองเล่มวางลงบนมืออวิ๋นเซียงฉือแล้วเปิดออกเบาๆ
อวิ๋นเซียงฉือที่รอคอยพลันเขินอายขึ้นในทันที
หงซีกูกูไม่ได้โวยนาง เพียงพูดอย่างอดทนว่า
“นายหญิงน้อยศึกษาให้ดี ตำรานี้เรียกว่าศิลปะในห้อง บ่าวนำมาให้นายหญิงน้อยเป็นพิเศษ ท่านค่อยๆ ดูไป บ่าวจะไปตระเตรียมงานอื่นก่อน
ฝ่าบาทจะเสด็จมาถึงตอนค่ำ นายหญิงน้อยอย่าได้ร้อนใจนะเจ้าคะ”
หงซีกูกูเกรงว่าเซียงฉือจะขวยเขินจึงออกนอกห้องไป ทั้งยังหับประตูห้องเบาๆ ให้นางอีกด้วย
เซียงฉืออายหน้าแดงแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น จึงแอบพลิกดูผ่านซอกนิ้ว
พอนางสนใจขึ้นมาก็ลืมเวลา กระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืด ถึงได้วางสมุดลง
แล้วหงซีกูกูก็กระวีกระวาดเดินเข้ามาพูดว่า
“นายหญิงน้อย ควรจะเปลี่ยนสวมชุดมงคลแล้วเจ้าค่ะ”
[1] ยาเซียงตี่ (压箱底) แปลตรงตัวว่าของที่กดซุกอยู่ก้นหีบ เป็นเครื่องปั้นดินเผาขนาดเล็กลักษณะเป็นตลับหรือกล่อง ข้างในจะมีภาพวาดหรือรูปปั้นการมีสัมพันธ์กันระหว่างชาย-หญิงเป็นของที่ผู้เป็นแม่จะนำออกมาสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน
ตอนที่ 617 เตรียมออกเรือน
หงซีกูกูจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ ทำทุกอย่างๆ มีระเบียบแบบแผน ส่วนใจของเซียงฉือยินดีปรีดาจนแทบจะกระโดดออกมาอย่างห้ามไม่ได้ อีกทั้งตั้งหน้ารอคอยอย่างประหลาด
เซียงฉือเป็นคนเลือกชุดวิวาห์เองซึ่งย่อมเลือกแบบที่ชื่นชอบที่สุด บนชุดปักภาพหงส์ร่อนมังกรรำที่สวยงามอย่างวิจิตรหญิงสาวสามัญทั่วไปจะเริ่มปักชุดวิวาห์ของตนอย่างตั้งใจตั้งแต่เริ่มรู้ประสา ปักความใฝ่ฝันและชีวิตใหม่ที่มุ่งจะไปให้ถึงลงบนผ้าแพรไหม ดอกไม้แต่ละดอกแย้มบาน
เซียงฉือลูบไล้ดอกท้อบนนั้นและยิ้มอย่างนุ่มนวล
“สีหน้านายหญิงน้อยหลายวันนี้ดูดีขึ้นมากทีเดียว ฝ่าบาททรงเห็นแล้วจะต้องโปรดปรานเป็นแน่เจ้าค่ะ”
เซียงฉือฟังคำชมหงซีกูกูแล้วมองดูตนเองที่ยิ้มราวกับดอกไม้ดอกหนึ่งในกระจก หงซีกูกูเรียกนางกำนัลคนหนึ่งมาแต่งตัวให้เซียงฉือซึ่งนางให้ความร่วมมืออย่างดี ด้านหลังมีนางกำนัลอีกสองคนเกล้าผมให้ แต่ละแบบดูซับซ้อน ปิ่นมงคลวางอยู่เบื้องหน้าเซียงฉือ หงซีกูกูรับหวีมาจากมือหญิงสาวคนนั้นแล้วปัดมือพูดว่า
“พวกเจ้าออกไปกันได้แล้ว”
เซียงฉือส่องตัวเองในกระจก มวยผมเกล้าเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งตอนที่หงซีกูกูมารับมือต่อ นางวางปอยผมช่อหนึ่งลงบนมือ เมื่อเห็นท่าทางสงสัยของเซียงฉือจึงยิ้มพูดขึ้นว่า
“ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าจะทรงจัดพิธีสมรสให้นายหญิงน้อยอย่างอบอุ่นสมบูรณ์แบบเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป บ่าวจำได้ว่าตอนที่ตนเองออกเรือน ท่านแม่จะหวีผมให้อยู่ทางด้านหลัง ดังนั้นบ่าวจึงขอบังอาจมาหวีผมให้นายหญิงน้อยเจ้าค่ะ”
เซียงฉือน้ำตารื้นแล้วพยักหน้า
“ขอบคุณหงซีกูกู”
หงซีกูกูพยักหน้าเช่นกันแล้วค่อยๆ จรดหวีๆ ลงไปในเรือนผมลื่นสลวย
“หวีแรกจรดถึงปลาย ต่างรักใคร่ให้เกียรติกัน หวีสองจรดถึงปลาย ครองคู่ไปจนแก่เฒ่า…”
คำพูดอันเป็นมงคลแต่ละคำของหงซีกูกู ทำให้เซียงฉือยิ่งเศร้าใจ รู้สึกเหมือนวันนี้ตนเองกำลังจะออกเรือนโดยมีท่านแม่คอยส่งตนเองออกจากประตูด้วยน้ำตา
ใจของเซียงฉือรู้สึกอบอุ่น หากออกนอกประตูไปในตอนนี้คงจะสามารถหลอมละลายหิมะที่ทับถมมานับร้อยปีได้
หงซีกูกูหวีผมปอยสุดท้ายให้เซียงฉือเสร็จแล้วจึงนำผ้าแพรคลุมหน้าสีแดงสดคลุมลงบนศีรษะนาง สำรวจซ้ายขวาแล้วผงกศีรษะ ประคองเซียงฉือออกไปยังตำหนักหน้า
หรงจิงเพิ่งมาถึงตำหนักฉุนหวา เข้าไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักด้านข้าง สวมชุดวิวาห์สีแดงสดซึ่งเขาเองเพิ่งเคยใส่เป็นครั้งแรก เขาขึ้นครองราชย์ตอนอายุสิบหกปี ตำแหน่งฮองเฮายังคงว่างอยู่เรื่อยมา ฮองเฮาที่จะมีต้องมีอันพับไปเพราะหรงจิงเปิดศึกกับหรงเสวี่ยกั๋ว หลังจากนั้นจึงมีจินกุ้ยเฟย ซูเฟยและจิ้งเฟย ส่วนคนที่จะได้เลื่อนขึ้นเป็นฮองเฮานั้นจะต้องให้กำเนิดองค์ชาย ซึ่งเขาไม่มีมาโดยตลอด ตำแหน่งฮองเอาจึงยังคงว่างอยู่
พอมาถึงเซียงฉือ เขาไม่ต้องการปฏิบัติต่อนางแบบเดียวกับสตรีฝ่ายในทั่วไป แต่ต้องการจะทำให้นางในแบบที่นางปรารถนา
เป็นแบบเดียวกับหญิงสาวทั่วไปที่ได้ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตา เขาคิดเพียงจะเป็นที่พึ่งพิงของนางไปตลอดชีวิต
เมื่อหรงจิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ยามเผชิญหน้ากับทหารและม้านับพันนับหมื่นยังไม่เคยตื่นเต้นเท่านี้มาก่อน แต่กลับมาตื่นเต้นเอาที่นี่
หงซีกูกูเปิดประตูหน้าของตำหนักหน้าออกก่อนแล้วจึงประคองเซียงฉือเข้ามาจากด้านนอก ยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตู
หรงจิงสะบัดมือ หงซีกูกูจึงนำนางกำนัลอื่นๆ ถอยออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงเซียงฉือกับเขา
เซียงฉือเชื่อฟังหงซีนางจะไม่พูดตามอารมณ์ แต่จู่ๆ ข้างกายไม่มีคนอยู่เลย นางรู้สึกระวนกระวายขึ้นมา
จึงยื่นมือเปะป่ายซ้ายขวา เมื่อหรงจิงเห็นเช่นนั้นก็เดินอย่างแผ่วเบาไปยังข้างกายนาง เขาเองก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง มองดูเซียงฉือในชุดวิวาห์สีแดงสดทั้งร่าง มีเพียงมือนุ่มนวลผุดผาดคู่หนึ่งที่ยื่นออกมา เขามองอย่างปรารถนาจะกุมมือนั้นไว้ในอุ้งมืออย่างยิ่ง