บทที่ 961 คนตายแผ่นดินล่มสลาย
“ฉันไม่ได้เป็นของคุณ ฉันเป็นของคนคนเดียวเท่านั้น เขาชื่อว่ากงชิงวี่ ซึ่งคุณเองก็รู้ดี ครั้งนี้ขอให้คุณพูดอะไรแบบนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ ครั้งหน้าอย่าพูดออกมาอีก ป้องกันไม่ให้คุณโดนเขาฉีกเป็นชิ้น ๆ หรือไม่ ก็อาจตายไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าตายยังไง
นอกจากนี้ คุณสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างของคุณให้กับจุนเมิ่งได้เลย รวมไปถึงความทรงจำเหล่านั้นด้วย
แต่ไม่ต้องบอกเรื่องของฉันให้เธอรู้ ” อันหลิงหยุนเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี ซึ่งนับว่าเป็นการเห็นแก่หน้าของกงชิงวี่มากพอสมควรแล้ว อย่างน้อยในใจของเขาก็อาจรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
อันหลิงหยุนเหลียวมองกงชิงวี่ พบว่าแววตาของเขา ดูอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วนทีเดียว!
ในตอนที่อันหลิงหยุนให้ซูมู่หรงดื่มเลือดนั้น ซูมู่หรงคว้าข้อมือของนางไว้แล้วดูดอย่างแรง ชั่วขณะนั้น เรี่ยวแรงของซูมู่หรงก็กลับคืนมาเรื่อย ๆ ไม่เพียงแค่นั้น ร่างกายของเขาก็กลับฟื้นตัวขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้กลับไปเป็นหนุ่ม แต่เขาก็รู้สึกได้ว่ากำลังวังชาในแบบเมื่อครั้งยังหนุ่มในร่างของเขา มันฟื้นคืนมาอีกครั้งแล้ว
อันหลิงหยุนดึงมือออก หลังจากดื่มไปสักพักก็ส่งผลให้เห็นแล้ว
อันหลิงหยุนลุกขึ้น แล้วหันหลังจากไปทันที
ซูมู่หรงลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า ” หยุนหยุน ฉันต้องการเวลาหนึ่งปีนะ เลือดของเธอนิดเดียวแค่นี้ น่ากลัวว่าจะอยู่ไม่ถึงหนึ่งปีหรอก”
กงชิงวี่เลิกคิ้วขึ้นสูง: “ถ้าข้าฆ่าเจ้าทิ้งซะตอนนี้ เจ้าก็ไม่ต้องรอหนึ่งปีแล้วค่อยตายแล้วล่ะ”
ไอสังหารจากตัวกงชิงวี่แผ่กระจายคละคลุ้ง ตลอดชีวิตของจุนไทเฮาไม่เคยกลัวใครหน้าไหนมาก่อน แต่กงชิงวี่กลับเป็นสิ่งนอกเหนือเพียงสิ่งเดียวในนั้น
ไทเฮาประทับยืนขึ้น ขวางอยู่ตรงหน้าซูมู่หรง: “อ๋องเสียน อย่าได้ทำตามอำเภอใจนัก”
“… ” กงชิงวี่ปรายตามองจุนไทเฮาครู่สั้นๆ แล้วหันกายจากไปด้วยอาการโกรธกรุ่น
หลังจากนั้น อันหลิงหยุนยังรั้งอยู่ในวังหลวงต่อ โดยไปพักอยู่ที่วังเฉาเฟิ่ง
ในขณะที่อันหลิงหยุนพักอยู่ที่นั่น นางมักจะคิดถึงหวางฮองไทเฮา คิดถึงฮั่วไท่เฟย มาถึงตอนนี้พวกเขาต่างก็จากโลกนี้ไปนานแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผันผ่านไปได้เกือบจะร้อยปีแล้ว
ในเวลาที่อันหลิงหยุนว่าง ๆ นางก็มักจะไปที่หอบูชาบรรพชน หลับตาพักผ่อนปลีกวิเวกที่นั่น ว่ากันว่านางไปพูดคุยสื่อสารกับหวางฮองไทเฮาและฮั่วไท่เฟย ผู้ซึ่งล่วงลับไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
แต่เวลาที่พวกเขาสามีภรรยาอยู่ในวัง มักจะมีคนเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเสมอ โดยเฉพาะกงชิงเห้าเทียนและชิงเห้าเหวินสองคนนี้
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กงชิงเห้าเทียนผู้ต้องคอยไปดูแลทุกข์สุข ก็กลับมาจากการแก้ไขความสับสนวุ่นวายในบ้านเมืองได้ เป็นช่วงที่ถึงจุดสิ้นสุดของเวลาหนึ่งปีพอดี
เช้าวันนั้น ซูมู่หรงจูงมือจุนไทเฮาออกมาจากวังเฉียนคุนด้วยกัน เดินไปยังศาลากลางอุทยานเพื่อชมดอกไม้ นั่งอยู่ตรงนั้นกันตามลำพังสองคน นั่งไป ๆ ทั้งคู่ก็หลับใหลลงอย่างเป็นสุข
ในยามที่ได้รับข่าวนี้ อันหลิงหยุนกับกงชิงวี่ก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
ก่อนออกเดินทาง อันหลิงหยุนไปแวะที่หอชมจันทร์ มองดูคนในวังกำลังจัดเตรียมพระราชพิธีบรมศพ คนทั้งประเทศต่างพากันโศกเศร้าอาดูร เล่าลือกันว่ากงชิงยี่เหรินเป็นกษัตริย์ที่ทรงฉลาดปราดเปรื่อง ซึ่งหายากยิ่งในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีมา
อันหลิงหยุนสวมชุดคลุมสีขาวทั้งชุด จ้องมองไปยังโลงศพของซูมู่หรง
เช่นเดียวกันกับฮ่องเต้ชิงหยิน ซูมู่หรงก็ถูกใส่ในโลงเดียวกันกับไทเฮา เป็นการบรรจุพระศพไท่ซ่างหวางและไทเฮาไว้ในโลงใบเดียวกัน แล้วฝังพระศพไปพร้อมๆกัน
“ท่านอ๋อง ท่านอิจฉาหรือไม่เพคะ?” อันหลิงหยุนหันไปถาม กงชิงวี่ยืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ ท่านอ๋องยังรู้สึกคิดแค้นอยู่หรือ?”
“เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดแค้นอะไรเขานี่ เป็นเขาที่ใจแคบ คิดเล็กคิดน้อยไปเอง คิดเอาว่าข้าเกลียดแค้นชิงชังเขา ตั้งแต่แรกมา ข้าก็เป็นวีรบุรุษผู้ใจคอกว้างขวางอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเวลานั้นข้าอายุยังน้อย บวกกับเป็นกังวลว่าหยุนหยุนจะถูกพาตัวไป ถึงได้วางแผนทำเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายต่อเขา แต่ที่บอกว่าอยากให้เขาตายนั่น ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นจริง ๆ เสียหน่อย
ถ้าอยากให้เขาตายจริง ๆ ล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงป่านนี้หรอก
ถ้าข้าคิดจะฆ่าใครสักคนขึ้นมาจริงๆ ใครจะมาหยุดข้าได้ล่ะ? ”
พูดจบ กงชิงวี่ก็หันหลังเดินออกไป อันหลิงหยุนหันไปมองตามเงาแผ่นหลังของกงชิงวี่ ที่กำลังห่างออกไปทุกที ๆ รีบสาวเท้าเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เขาพูดถูกแล้ว ถ้าเขาอยากให้ใครตายขึ้นมาจริงๆ ไม่มีใครหยุดเขาได้ทั้งนั้น
หลังจากเดินตามไปได้สองสามก้าว อันหลิงหยุนก็มองลงไปด้านล่าง เห็นว่าโลงศพของซูมู่หรงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางได้แต่ยืนดูซูมู่หรงที่ถูกพาออกจากวังไป ก่อนจะหันกลับไปหากงชิงวี่ แต่กลับไม่เห็นว่าเขาไปไหนแล้ว อันหลิงหยุนอึ้งค้างไปครู่ใหญ่จึงค่อยมีปฏิกริยาตอบสนอง นี่เขาหายไปไหนกัน
อันหลิงหยุนออกจากวังมา ก็ตรงไปยังสุสานประจำราชวงศ์เหลียงทันที
เดิมที ที่นี่เป็นสุสานประจำราชวงศ์ของประเทศต้าเหลียง ในเวลาต่อมา ต้าเหลียงได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศเหลียง จึงทำให้ชื่อสุสานก็พลอยถูกเปลี่ยนไปด้วย
เมื่อเทียบกับขบวนฝังพระศพ อันหลิงหยุนมาช้าไปกว่าถึงสามวัน ในสามวันนี้นางเดินจากวังหลวงไปที่สุสานประจำราชวงศ์ รอจนเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ฝุ่นผงที่ฟุ้งจากเศษดินสร่างซาแล้ว นางจึงมาถึงในที่สุด
เมื่อเข้าไปในสุสาน ก็ได้เห็นกงชิงวี่ที่ยืนอยู่บนปากปล่องระบายลม กำลังมองมาที่นางอันหลิงหยุนจึงเงยหน้าขึ้นมองกงชิงวี่ เดินขึ้นไปพลาง เอียงหน้ามองไปพลางตลอดทาง
“ ทำไมยังไม่ลงมาอีก?” อันหลิงหยุนถาม กงชิงวี่ถึงยอมลงมาจากด้านบน
“ท่านมาส่งซู่มู่หรงหรือ?”
“ข้ามาดูว่าเขาจะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกหรือไม่” กงชิงวี่จูงมืออันหลิงหยุน หันหลังพาเดินออกไป
ในช่วงสองร้อยปีมานี้ พวกเขาไม่เคยได้กลับมาอีกเลย สองร้อยปีหายวับไปเพียงชั่วพริบตา เมื่ออันหลิงหยุนกลับมาอีกครั้ง ทุกอย่างก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
จนบัดนี้แทบจะจำไม่ได้แล้วว่า เจ้าผู้ครองเมืองถูกพลัดเปลี่ยนมากี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว กระทั่งผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ในยามนี้ ก็ไม่อาจบอกได้ชัดแล้วว่าเป็นใคร
เมืองหลวงยังคงเจริญรุ่งเรืองอย่างที่เคยเป็น พวกเขาก็ยังคงเยาว์วัยเหมือนเก่า เพียงแต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ล้วนมีแต่คนที่ไม่รู้จักทั้งนั้น ทั้งไม่มีใครจดจำอ๋องซื่อเจิ้น กับพระชายาเสียนได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อมาถึงจวนอ๋องซื่อเจิ้น ที่หน้าจวนมีเด็กสองสามคนกำลังทะเลาะกันอุตลุด ในหมู่พวกเขามีเด็กผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง ผลักเด็กคนหนึ่งออกไป แล้วลงมือต่อยตีกันวุ่นวาย
ทั้งสองชมดูเรื่องสนุกอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินทางออกจากเมืองหลวง
ระหว่างทางกงชิงวี่เอ่ยถามว่า: “อีกนานแค่ไหนประเทศถึงจะล่มสลาย?”
อันหลิงหยุนเหลือบมองเขา: “ไม่รู้เพคะ”
“เจ้าไม่ได้พูดไว้หรือว่า เมื่อไหร่ที่ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปีต้นนั้นล้ม ประเทศก็จะล้มไปด้วยน่ะ?”
“ ดังนั้น ท่านอ๋องเลยไปโค่นต้นไม้ที่เขียวชอุ่มต้นนั้นทิ้ง?”
“ฮึ!”
อันหลิงหยุนนึกขัน: “นั่นเป็นเรื่องข้าที่โกหกท่านราชครูหรอก ท่านยังอุตส่าห์เชื่ออีก ท่านอ๋องฉลาดขนาดนี้ ไม่รู้หรอกหรือว่า ชีวิตของท่านมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันกับประเทศเหลียง?”
“ข้ามีชีวิตอยู่มาพอแล้ว!”
“ เช่นนั้นท่านอ๋องตัดใจได้จริง ๆ น่ะหรือ?”
กงชิงวี่ไม่พูดอะไร
เมื่อพวกเขามาถึงที่สูงแห่งหนึ่ง ทั้งสองมองไปยังภูเขาและแม่น้ำด้านล่าง เขาไม่ชอบแม่น้ำและภูเขาที่ยาวหลายหมื่นลี้นั่น มองย้อนไปถึงเหล่าผู้คนที่ได้ตายจากไป ความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งทั้งหลาย ในวาระสุดท้ายก็กลับกลายเป็นแค่กองดินกองหนึ่ง
กงชิงวี่หันกายจากไป เขาอยากไปเยี่ยมลูกสาวของเขาสักหน่อย
ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว
เมื่อผลักเปิดประตูวิหารลัทธิเต๋าเข้าไป ด้านในปราฏเพียงภาพฉากอันทรุดโทรมเปลี่ยวร้าง เขาเดินไปด้านหลัง มีสุสานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งอยู่ที่นั่น มีอักษรจำนวนหนึ่งเขียนอยู่บนประตูสุสาน คล้ายจะกล่าวว่าที่นี่คือหลุมฝังศพของหลิงหยุนตัวจริง ถัดจากหลุมฝังศพของหลิงหยุนตัวจริง มีหลุมฝังศพขนาดเล็กซึ่งไม่มีชื่อเขียนไว้ มีแค่เพียงอักษรชุดหนึ่งเขียนอยู่ คล้ายจะกล่าวว่าสุสานนี้เป็นที่ดินของหลิงหยุนตัวจริง สุสานหยุนหยิ่น ตรงไปอีกด้านยังมีหลุมฝังศพอีกแห่ง ด้านบนมีการเขียนวันเดือนปีเกิด และวันเวลาที่เสียชีวิตไว้ นับดูก็เป็นเวลากว่าสองร้อยปีมาแล้ว
เฟยยิงจากไปเร็ว เวลาก็ผ่านไปเร็วเช่นกัน
อันหลิงหยุนไล้มือสัมผัสไปตามป้ายหลุมฝังศพของเสี่ยวหยุน: “ตอนที่พวกเรามาที่นี่ พวกเขายังดูสบายดีกันอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าจะผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว”
“…… ”
กงชิงวี่ยืนอยู่อีกครู่หนึ่ง เหม่อมองเนิ่นนาน ค่อยจากไปในที่สุด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดกงชิงวี่ก็เริ่มแก่ ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีหงอกขาว แต่ร่างกายยังคงไม่เลว เขาจะคอยถามเป็นครั้งคราวว่า เมื่อไหร่ประเทศจะล่มสลาย
ทุกครั้งที่อันหลิงหยุนได้ยิน ก็รู้ว่าเขาใช้ชีวิตอยู่มาเกินพอแล้วจริงๆ จึงถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของเฟิงอู๋ฉิง ทุกครั้งที่ถาม เขาก็จะไม่คิดเรื่องอยากตายแล้ว
จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายในชีวิตของเขา กงชิงวี่ก็ยังคงไม่ยอมบอกเรื่องการหายสาบสูญไปของเฟิงอู๋ฉิง แต่อันหลิงหยุนก็รู้มานานแล้วว่า เฟิงอู๋ฉิง ได้ตกตายไปภายใต้คมดาบของเขาเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
ในปีนั้นเขาปรารถนาจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียว เฟิงอู๋ฉิงพยายามจะสกัดขัดขวางเขาให้ได้ เขาจึงจำต้องสังหารเฟิงอู๋ฉิงกับอู๋ซานทิ้ง ทั้งสองตายก่อนวันที่เขาจะออกเดินทาง
นั่นเป็นเพียงเรื่องเดียว ที่เขาไม่เคยยอมรับสารภาพเลย เป็นเพราะเขาไม่อยากให้เสี่ยวเฉียวต้องเสียใจ
อันหลิงหยุนกอดประคองร่างของกงชิงวี่ ลูบไล้ใบหน้าเขาอย่างแผ่วเบา ชีวิตในชาตินี้ของเขานับว่าจบสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะแท้ที่จริง เขาได้ใช้ชีวิตมามากเกินพอแล้ว
การตายของเขา ยังเป็นการประกาศถึงการล่มสลายของประเทศเหลียงอีกด้วย
ประเทศเหลียงคงอยู่ทั้งสิ้นสี่ร้อยห้าสิบหกปี จึงถึงแก่การล่มสลาย นับตั้งแต่นั้น ก็ไม่มีประเทศเหลียงหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
อวสาน