บทที่ 958 สวามิภักดิ์
“ นี่ไม่ใช่ความฝันใช่หรือไม่?” กงชิงวี่แทบไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตาเห็น
กงชิงเห้าเทียนเดินไปที่ตรงหน้ากงชิงวี่ เผยรอยยิ้มกว้าง : “ไม่ใช่ความฝัน ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้วขอรับ”
กงชิงวี่มองค้างอยู่เป็นนานสองนาน จึงเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้ากงชิงเห้าเทียน รู้สึกถึงอุณหภูมิอุ่น ๆ ร้อน ๆ ก็ปล่อยมือ จากนั้นเลื่อนลงมาหยิกขาของตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าเจ็บ เขาถึงได้เชื่อในที่สุด!
“ท่านปู่ ข้าไม่เป็นไรขอรับ มาเร็ว!” กงชิงเห้าเทียนดึงมู่หมั่นจือเข้ามา: “เรียกท่านปู่สิ!”
มู่หมั่นจือสีหน้าพลันมืดทะมึนดำคล้ำไปทั้งหน้า ปู่อะไรจะหนุ่มขนาดนี้?
มู่หมั่นจื่อไม่เรียก กงชิงวี่มองพินิจเด็กสาวตรงหน้าอย่างละเอียด หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว
“เจ้าอายุเท่าไหร่?”
“ถามเจ้านั่นล่ะ.”
มู่หมั่นจืออ้ำอึ้งอยู่นาน กว่าจะตอบกลับไปว่า: “สิบเจ็ด”
“กำลังพอดีเลย มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?” กงชิงวี่ถาม กงชิงเห้าเทียนจึงบอกเล่าเท้าความ ถึงที่มาที่ไปทั้งหมดให้กงชิงวี่ฟัง กงชิงวี่หันไปจ้องมองมู่หมั่นจือครู่ใหญ่ๆ
“เจ้าชื่อว่ามู่หมั่นจือหรือ?”
“ใช่”
“ พี่ชายคนโตของเจ้า คือมู่หมั่นเฉิง?”
“ใช่.”
“ เช่นนั้นพ่อของเจ้า ก็คือมู่จือซาน?”
“ใช่.”
มู่หมั่นจือชักเริ่มจะหมดความอดทนขึ้นมาแล้ว
กลับกัน ทางกงชิงวี่กลับเป็นฝ่ายยิ้มแย้ม ความสุขสันต์ยินดีเกลื่อนเต็มใบหน้า: “รีบพาไปให้ท่านย่าของเจ้าดูเร็วเข้า”
“ขอรับ”
กงชิงเห้าเทียนตามกงชิงวี่ไปพบอันหลิงหยุนด้วย
ขณะนั้นอันหลิงหยุนกำลังนอนซมอยู่ เป็นเพราะความเศร้าใจ จึงส่งผลกระทบต่อการเยียวยาบาดแผล ในเวลานั้น นางกำลังโศกเศร้าเป็นทุกข์อยู่บนเตียงตามลำพัง
เมื่อมีคนเข้ามา นางยังคิดไปว่าเป็นความฝัน ยิ่งเห็นเป็นหน้ากงชิงเห้าเทียน น้ำตาของนางก็รินไหลทันที หลังเช็ดน้ำตาเสร็จก็ไม่ยอมมองดูอีกต่อไป
“ท่านย่า”
ทันทีที่กงชิงเห้าเทียนเห็นว่า อันหลิงหยุนได้รับบาดเจ็บ เขาก็รีบเข้าไปหานางทันที
อันหลิงหยุนหันไปมองเขา ยังมีอาการมึนงงเล็กน้อย: “เทียนเอ๋อ!”
“ท่านย่า ใครทำร้ายท่าน?” สีหน้าของกงชิงเห้าเทียนย่ำแย่สุดขีด
กงชิงวี่เดินเข้ามาจากด้านนอก: “ตอนที่เจ้าไล่ตามข้าศึกไป ย่าของเจ้ากระโดดตามลงไปหมายจะหยุดเจ้า จึงถูกพวกนั้นระดมยิงธนูเข้าใส่จนกลายเป็นแบบนี้ แล้วเพราะความเศร้าโศกเสียใจ จึงทำให้บาดแผลยังไม่สมาน”
“… ซือถูฟ่าง ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่!” กงชิงเห้าเทียนรีบร้อนเข้าไปกุมมืออันหลิงหยุนแน่น : “ท่านย่า ท่านดูสิ!”
กงชิงเห้าเทียนรีบเรียกมู่หมั่นจือมาข้างหน้า อันหลิงหยุนได้เห็นมู่หมั่นจือ ก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง ถึงกับผุดลุกขึ้นมาเองได้ โดยไม่ต้องมีใครพยุงเลยทีเดียว
“เจ้าคือใคร?”
มู่หมั่นจือรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมาแล้ว จ้องมองคนตระกูลนี้ด้วยความอึดอัดเหลือจะเอ่ย รู้สึกว่าพวกเขาล้วนเป็นสัตว์ประหลาดกันทุกคน
“มู่หมั่นจือ” มู่หมั่นจือตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
อันหลิงหยุนยื่นมือออกไปสัมผัส หยิบเอากระดองเต่าที่วางไว้ด้านหนึ่งขึ้นมาเขย่า มีเหรียญทองแดงตกลงมาสองสามเหรียญ เมื่อเขี่ยออกดู อันหลิงหยุนก็มองไปที่มู่หมั่นจือ: “สิบเจ็ดแล้ว?”
“อื้ม”
“เกิดในฤดูร้อน?”
“ใช่”
“ มีพี่ชายคนหนึ่ง?”
“มี”
“เป็นฝาแฝด?”
“….. ”
มู่หมั่นจือแปลกใจมาก: ” ท่านรู้ได้อย่างไรกัน พ่อข้าไม่เคยบอกใครเลยว่าข้ากับพี่ใหญ่เป็นฝาแฝดกัน”
“ท่านย่าของข้าเป็นเทพพยากรณ์ สามารถคิดคำนวณออกมาได้”
กงชิงเห้าเทียนถามขึ้นว่า: “ท่านย่า พวกเรามีชะตาได้เป็นสามีภรรยากันหรือไม่?”
“มี” อันหลิงหยุนหันไปมองกงชิงวี่: “ท่านอ๋อง วันนี้เป็นวันมงคล ให้พวกเขาแต่งงานกันเถอะเพคะ”
“ได้”
กงชิงวี่ยิ้มแย้มยินดี นับว่าวางใจได้สักที
กงชิงเห้าเทียน หันไปมองมู่หมั่นจือที่มีสีหน้าไม่ค่อยเป็นสุข ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่มีวันปฎิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมเด็ดขาด ข้ากงชิงเห้าเทียน ขอสาบานว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีที่สุด หากชีวิตนี้ทำเรื่องไม่ดีต่อเจ้า ขอให้ตายโดยไร้ที่กลบฝัง”
มู่หมั่นจือกลอกตามองบนใส่เขา : “ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แต่พ่อกับพี่ชายของข้าไม่อยู่ที่นี่ ข้าจะทำอะไรไร้สุ่มสี่สุ่มห้าตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน”
“วางใจเถอะ ทางพ่อกับพี่ชายของเจ้า ข้าจะเป็นคนไปพูดให้เอง การที่พวกเจ้าแต่งงานกันวันนี้ มันก็มีส่วนช่วยให้กองทัพของข้า ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แน่แล้ว เจ้าซือถูฟ่างนั่นไม่ได้มีชะตาขึ้นเป็นฮ่องเต้ตั้งแต่แรก จะอย่างไร เขาก็ไม่สามารถโจมตีเข้ามาได้สำเร็จ” กงชิงวี่เอ่ยชี้แจงอยู่อีกด้าน
มู่หมั่นจือหันไปมองกงชิงเห้าเทียน แล้วพูดขึ้นว่า “แต่งงานก่อนการศึก ต้องถูกตัดหัวนะ”
“ถ้าเจ้าไม่พูดเสียอย่าง ใครจะมารู้ล่ะ กราบไหว้ฟ้าดินทำพิธีแต่งงานกันก่อน เจ้าก็กลายเป็นคนตระกูลกงชิงของข้าแล้ว”
“…. ” มู่หมั่นจือถูกพาตัวไป อันหลิงหยุนรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว บาดแผลจึงหายได้อย่างรวดเร็ว
กงชิงวี่ช่วยพยุงอันหลิงหยุนลุก เอ่ยถามไปว่า: “ดีขึ้นแล้วหรือ?”
“อื้ม ดีขึ้นมากแล้ว ท่านอ๋อง หลานชายท่านคนนี้ ชะตาชีวิตช่างดีมากจริงๆนะเพคะ สิ่งไหนที่ขาดก็ได้สิ่งนั้นมาเติมเต็ม ได้ป่าผืนแรกมา ก็เจอป่าผืนใหม่มามอบให้ถึงที่อีกแล้ว อันหลิงหยุนพูดไป ปากนางก็แย้มยิ้มเสียจนแทบจะหุบไม่ลงอยู่แล้ว
กงชิงวี่แปลกใจ: ” เป็นเพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นไม้น่ะหรือ? ”
“ไม่นับว่าทั้งหมด คนที่ชื่อมู่จือซานคนนั้นข้าไม่รู้ อีกทั้งไม่เคยได้เห็นมาก่อน แต่มั่นใจได้ว่าต้องเป็นคนที่มีชะตาเป็นธาตุไม้ คาดว่าภรรยาของเขาน่าจะมีชะตาเป็นธาตุน้ำ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว
อีกทั้งลูกสองคนชายหญิงของเขาก็ล้วนเป็นไม้ทั้งคู่ ต้นไม้รวมกันกลายเป็นป่าใหญ่ ปิดฟ้าบังสวรรค์ อันที่จริงเพียงต้นเดียวก็เพียงพอแล้ว เทียนเอ๋อของพวกเราคือไฟ น่ากลัวว่าจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คิดเสียแล้ว ”
กงชิงวี่ยิ้มร่า ทำท่าว่าตนเองรู้แจ้งแจ่มชัด : “ข้าก็บอกแล้วอย่างไรล่ะว่ามีวิธี เจ้าก็เอาแต่ดันทุรังไม่ยอมเชื่อ”
“เทียนเอ๋อกำเนิดใหม่ขึ้นมาได้จากสถานการณ์ที่สิ้นหวังโดยแท้ หากเขาไม่วิ่งออกไปแต่แรก ไหนเลยจะมีโอกาสอันแสนวิเศษเช่นนี้”
สองคนสามีภรรยาวางแผนจนพร้อม อันดับแรก พวกเขาได้จัดเตรียมสถานที่กราบไหว้ฟ้าดินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้เชิญใครทั้งสิ้น มีเพียงอันหลิงหยุนกับกงชิงวี่ ไปนั่งเป็นพยานผู้ใหญ่ ให้คู่บ่าวสาวเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเท่านั้น
เมื่อกงชิงเห้าเทียนกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ ลงจากโถงพิธี เขาก็สวมชุดแต่งงานสีแดง สวมก๊วนหยกประดับบนเส้นผมแล้วขึ้นไปบนหอคอย ทหารทั้งสามเหล่าทัพต่างตกใจไปตามๆกัน แม่ทัพของพวกเขาแต่งงานแล้ว!
แต่มู่หมั่นจือไม่กล้าขนาดนั้น จึงทำได้เพียงเปลี่ยนชุดออก แล้วตามเขาขึ้นไปบนหอคอย
อันหลิงหยุนกับกงชิงวี่สบายใจแล้ว ก็ออกจากประตูเมืองจากไป
กงชิงเห้าเทียนระดมพลสองแสนนายในตัวเมือง เปิดประตูเมืองจนกว้าง แล้วออกไปตะโกนร้องท้าทายซือถูฟ่าง
เมื่อซือถูฟ่างรู้ว่ากงชิงเห้าเทียนหนีไปได้ก็โกรธมาก ไปทะเลาะกับมู่หมั่นเฉิงจนใหญ่โต ครั้นมู่หมั่นเฉิงบันดาลโทสะขึ้นมา จึงพาคนของเขาจากไปทันที ถึงปากบอกออกมาว่าจะจากไป แต่ที่จริง เขาได้เตรียมการเข้าสวามิภักดิ์เอาไว้แล้วเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่ทางด้านกงชิงเห้าเทียนออกจากเมือง ทางมู่หมั่นเฉิงก็จะบุกเข้าโจมตี
ซือถูฟ่างก็ยังนับว่าเป็นแม่ทัพที่หาญกล้าไม่น้อย เขาสู้รบยาวนานเป็นเวลาสามวันเต็มๆ ยอมตกตายแต่ไม่ยอมจำนน
ผลสุดท้ายคือ กงชิงเห้าเทียนยิงธนูดอกหนึ่งออกไป ปักเข้าที่กลางกระหม่อมของเขาเต็ม ๆ จนถึงแก่ความตายในที่สุด
รอจนกระทั่งกำลังเสริมมาถึง ทุกอย่างก็จบสิ้นลงแล้ว
กงชิงเห้าเทียนกุมมือของมู่หมั่นจือ ยกขึ้นสูงประกาศชัยชนะ
มู่หมั่นเฉิงที่อยู่บริเวณใต้กำแพงเมือง รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นเสื้อผ้าที่กงชิงเห้าเทียนสวม เขาก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว
ต้นอ่อนในตระกูลกงชิงนั้นล้วนเป็นของดี โดยเฉพาะกงชิงเห้าเทียน ซึ่งเล่าลือกันมาว่าเป็นหลานชายคนโตของกงชิงวี่ ถึงแม้ว่าจะไม่อาจบอกได้อย่างชัดเจน ว่ากงชิงเห้าเทียนนั้นเกิดจากลูกชายแท้ ๆ ของกงชิงวี่หรือไม่ก็ตาม
แต่หลานชายคนโตของอ๋องซื่อเจิ้น พ่อของเขาเป็นลูกเขยที่น่าภาคภูมิใจของฮ่องเต้ ส่วนแม่เป็นองค์หญิงใหญ่ที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานรักใคร่ที่สุด ซึ่งอย่างน้อยสถานะที่ว่ามานี้ ก็ยังดูดีกว่าซือถูฟ่างจริงๆ
กงชิงวี่คือใคร หลานชายคนโตที่น่าภาคภูมิใจของเขา ย่อมไม่ใช่คนที่ควรมองข้าม
การได้งานแต่งงานที่ควรค่าถึงขนาดนี้มางานหนึ่ง นับว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้วจริงๆ
เดิมที เขาก็มองซือถูฟ่างด้วยความรู้สึกชื่นชมในแนวคิดแปลกใหม่ของเขามาก่อน พ่อของเขากับเขา ต่างก็เคยเป็นเพื่อนสนิทที่นับว่ารู้ใจกันไม่น้อย
เหตุผลที่มู่จือซานติดตามซือถูฟ่าง ก็เป็นเพราะ ความเป็นเพื่อนที่ดีกับพ่อของเขาเมื่อสมัยก่อนแต่ซือถูฟ่างเป็นคนที่ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ทั้งยังมักมากเจ้าชู้ แต่ก่อนเขาเคยแต่งภรรยาคนหนึ่ง แต่ก็ถูกเขาทำให้โกรธจนตายไปในที่สุด มู่จือซานเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาเห็นเจ้าซือถูฟ่างคนนี้ขัดนัยน์ตามานานเหลือเกินแล้ว
ตอนที่เขามาบอกอีกว่า เขาอยากแต่งลูกสาวของเขาไปเป็นฮองเฮา มู่จือซานก็ยิ่งไม่ยินยอมกว่าเดิมแล้ว หรือลูกสาวของเขา จะต้องไปเป็นเจ้าสาวแต่งใหม่ให้กับผู้ชายที่ภรรยาเก่าตายอย่างนั้นหรือนี่?
ยิ่งไปกว่านั้นกับคนพรรค์นี้ นิสัยใจคอก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลย อาศัยอะไรถึงจะมาแต่งกับลูกสาวของเขาไม่ทราบ?
ในการเดินทางครั้งนี้ ความตั้งใจเดิมของมู่จือซาน คือการหาใครสักคนที่ลูกสาวของเขาสามารถมอบความไว้วางใจให้ได้ จากนั้นจึงค่อยหาโอกาสไปขอขมา และยอมรับความผิดกับฝ่าบาทภายหลัง
บรรดาลูกชาย พี่ชาย ของกงชิงวี่แต่ละคน ๆ ล้วนแต่ยอดเยี่ยมเก่งกาจ แม้ว่ากงชิงวี่จะบอกว่าพวกเขาต่างปลีกตัวไม่ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับทางโลกแล้ว แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า เมื่อไหร่ที่พวกเขาจะออกมากันอีก เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ น่ากลัวว่าพวกตนจะไม่สามารถมีชีวิตรอดไปได้ง่าย ๆ แล้วด้วยซ้ำ
สมัยนั้นกงชิงวี่กวาดพิชิตทั่วหล้ามาได้สำเร็จ แต่กลับมอบแผ่นดินทั่วหล้าอันกว้างใหญ่นี้ ไปให้พี่ชายรับผิดชอบดูแล ตัวเขาเองกลับบอกแค่ว่าจะไปซ่อนตัวปลีกวิเวก แต่ใครจะรู้ล่ะว่า แท้ที่จริงแล้ว เขาอาจจะกำลังนั่งสังเกตการณ์ความเป็นไปในแผ่นดินนี้ อยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้