บทที่ 959 การจากลาตลอดกาลที่หาได้ยากยิ่ง
มู่จือซานผู้นี้รบทัพจับศึกมาตลอดทั้งชีวิต โชคยังดีที่เขาเคยได้พบกับกงชิงวี่ครั้งหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น เป็นเพราะฮ่องเต้ของประเทศหวูโยจุนโม่ซ่าง คิดจะจับตัวลูกสาวของเขาไป เขาจึงเข้ากวาดล้างทำลายประเทศหวูโยจนราบเป็นหน้ากลอง
คนประเภทนี้ไม่ต่างอะไรกับเทพแห่งความตายชัด ๆ ใครจะไปกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจกัน?
มายามนี้ จะด้วยเหตุบังเอิญหรือสวรรค์เป็นใจก็ตามแต่ เกิดจับพลัดจับผลูได้มาเกี่ยวดองเป็นญาติกับหลานชายคนโตของกงชิงวี่เข้า มู่จือซานรู้สึกสบายกายสบายใจเหลือเกินแล้ว!
ประตูเมืองเปิดกว้าง กงชิงเห้าเทียนออกจากเมืองไปรับมู่จื่อเฉิงพ่อลูกด้วยตนเอง เมื่อได้พบพ่อตา กงชิงเห้าเทียนยกเสื้อคลุมขึ้น เตรียมจะคุกเข่าลงทำความเคารพ แต่ถูกมู่จือซานหยุดเอาไว้
“เจ้าไม่ควรคุกเข่าให้ข้า ข้าเป็นฝ่ายยอมจำนน จะปล่อยให้เจ้าคุกเข่าให้ข้าได้อย่างไรกัน?”
“ขอบคุณท่านพ่อตาที่ช่วยข้า หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากท่าน ข้าคงไม่อาจได้รับชัยชนะอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้”
มู่จือซานพอใจในตัวลูกเขยคนนี้มากจริงๆ ช่างเป็นคนที่ฉลาดยิ่ง หากการยอมจำนนเข้าสวามิภักดิ์ในครั้งนี้ของเขา ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมเพียงพอ ในการจะไปโน้มน้าวให้คนยอมรับแล้วล่ะก็ น่ากลัวว่ากองทัพหนึ่งแสนนายที่อยู่ข้างหลังของเขาเหล่านั้น ก็คงจะไม่ยอมง่าย ๆ เช่นกัน เขาที่มีฐานะเป็นถึงแม่ทัพคนหนึ่ง จะยังหน้ามีตาที่ไหนเหลืออยู่อีก?
หลานชายคนโตของอ๋องซื่อเจิ้น ซึ่งเป็นคนยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้เรียกเขาว่าท่านพ่อตา อย่างนี้แล้วยังจะมีใครที่ไม่เชื่อเขาอยู่อีกหรือ
เขาทำศึกนี้เพื่อลูกสาวของเขา เหตุผลนี้ฟังอย่างไรก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
มู่จือซานเดินตามลูกเขยเข้าไปในเมือง
กงชิงยี่เหรินมีราชโองการเรียกพ่อลูกตระกูลมู่เข้าพบ แต่งตั้งชั้นยศขึ้นเป็นเจิ้นเป่ยโหว ทั้งยังมีพระราชโองการมอบสมรสพระราชทาน ให้แก่กงชิงเห้าเทียนกับมู่หมั่นจืออีกด้วยเรียกได้ว่าทุกคนล้วนชื่นมื่นยินดีกันถ้วนหน้า
แต่ครึ่งเดือนให้หลัง อันหลิงหยุนกลับออกจากเมืองหลวงไป
หยุนโล่ชวนไม่เข้าใจ : “ในเมื่อไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว ทำไมยังต้องออกไปอีกล่ะ?”
“ เขาเป็นคนอารมณ์ร้าย หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดี ข้าคำนวณจุดเริ่มต้นได้ชัด แต่ไม่อาจคำนวณจุดสิ้นสุดได้ มีตัวแปรมากมายในทุกสิ่ง และบางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คำนวณไว้เสมอไป
เรื่องของลูก ๆ หลานๆ นั้น พวกเราจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวใด ๆ อีก ในอนาคตพวกเขาจะมีชีวิตอันผาสุกอย่างที่พวกเขาควรจะเป็น
พวกเราจะไปแล้ว บางทีหลังจากนี้ก็อาจจะไม่ได้กลับมาอีก ดังนั้นพวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีล่ะ ”
อันหลิงหยุนขึ้นรถม้า ตามกงชิงวี่ออกไป
กงชิงวี่เอนตัวเข้าแนบติดในรถม้า กระอักเลือดออกมาจนกบปาก
อันหลิงหยุนรีบเช็ดเลือดให้เขาทันที
กงชิงวี่ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า อันหลิงหยุนก็ไม่ได้บ่นอะไรออกมา นางเคยพูดไว้เมื่อนานมาแล้ว ว่าหากกงชิงเห้าเทียนรอดพ้นภัยไปได้เมื่อไหร่ จะเป็นเขาเองที่ต้องเกิดเรื่องขึ้นแทน
ครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย จึงจำเป็นต้องพักรักษาตัวสักระยะ หากรั้งอยู่ในเมืองหลวงอาจจะมีคนรู้เข้า
อันหลิงหยุนเอง ก็อยากไปจากเมืองหลวงเช่นกัน นางคำนวณไว้แล้วว่า จะได้พบกับเพื่อนเก่าระหว่างทาง ก็หวังว่าจะได้พบกับพวกเขาจริงๆ
การรักษาบำรุงร่างกายของกงชิงวี่ครั้งนี้ ใช้ระยะเวลาไปทั้งสิ้นยี่สิบปีเต็ม ๆ ในระยะเวลายี่สิบปีนั้น เขาไม่ยอมดื่มเลือดของอันหลิงหยุนแม้แต่หยดเดียว เขาตามอันหลิงหยุนท่องเที่ยวไปทั่ว ทั้งผืนภูผาน้อยใหญ่ ทั้งล่องชมแม่น้ำลำธาร ทะเลสาบ มหาสมุทรล้วนไปมาหมด เขาไอทุกวัน อันหลิงหยุนก็พลอยรู้สึกห่วงใยเป็นทุกข์ไม่หาย
แต่เขาปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตที่เหมือนดั่งเทพเซียน เขาบอกว่าแบบนั้นมันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ชีวิตแบบนั้นคงน่าเบื่อสิ้นดี
อันหลิงหยุนจะพูดอะไรมากก็ไม่เหมาะ จึงได้แต่ต้องทนเห็นเขารับความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น เขาไอทั้งวัน อันหลิงหยุนก็ต้องแกล้งทำเป็นหูหนวก ยามนอนก็นอนไม่หลับ
ในที่สุดอันหลิงหยุนก็นับได้ว่าใช้ยารักษาให้เขาได้สำเร็จ กงชิงวี่จีงไม่คิดจะไปหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวอีกต่อไป
ในปีนี้ ทั้งสองกลับไปยังเมืองหลวง ได้ยินว่าหยุนโล่ชวนล้มป่วยแล้ว กำลังตามหาหมอเทพผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ต้องการให้นางช่วยไปรักษา
อันหลิงหยุนมาถึงใต้กำแพงเมือง เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป ก็พบว่าเต็มไปด้วยทหารยาม
ทั้งสองเข้าไปในเมือง ตรงไปยังพระราชวังทันที
เมื่อมาถึงประตูวังก็เดินเข้าไปตรง ๆ ทั้งอย่างนั้นง่ายดายราวกับว่าพวกเขาอยู่ในดินแดนที่ร้างไร้ผู้คนเลยทีเดียว
เมื่อพวกเขาไปถึงพระราชวังเฉียนคุน คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็กำลังยุ่งวุ่นวาย ทันทีที่ทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้น ขันทีเฒ่าก็รีบร้อนคุกเข่าลงทันที: “อ๋องซื่อเจิ้น … ”
ไม่รอให้พูดจบ ทั้งสองก็เดินเข้าไปแล้ว
ในเวลานี้ขันทีเฒ่าก็อายุมากโขแล้ว แต่เขายังจำได้ว่า เขาอายุน้อยกว่าอ๋องซื่อเจิ้น แต่มาดูตอนนี้ อ๋องซื่อเจิ้นกลับเหมือนคนที่เพิ่งจะอายุได้ราว ๆ ยี่สิบเห็นจะได้!
หรือเขาจะกลายเป็นเทพเซียนไปแล้วจริงๆ?
หยุนโล่ชวนกำลังหายใจรวยริน จวนเจียนจะสิ้นลมแล้ว ช่วงนี้นางเอาแต่ฝันถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย แต่นางอายุเจ็ดสิบแล้ว และเวลาก็ไม่เคยรอใคร
อันหลิงหยุนเข้าประตูไป หยุนโล่ชวนจึงหันไปมองนาง เมื่อได้เห็นคน นางยังคิดไปด้วยซ้ำว่าเป็นความฝัน
“พี่สาว”
กงชิงหยินหันไปมองด้านหลัง ได้เห็นกงชิงวี่สามีภรรยา ก็ตกตะลึงอึ้งค้างไปชั่วขณะ อันหลิงหยุนเดินไปตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง หยิบยาขึ้นมาเม็ดหนึ่งส่งให้หยุนโล่ชวนกิน หยุนโล่ชวนมองอันหลิงหยุนนิ่ง รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองดีขึ้นมากจริงๆ
สองคนพี่น้องแยกตัวออกไป ทิ้งอันหลิงหยุนไว้กับหยุนโล่ชวนสองคนตามลำพัง
หลังจากออกไป กงชิงหยินก็ถามว่า : “ชวนเอ๋อยังมีเวลาเหลืออีกนานแค่ไหนหรือ?”
กงชิงวี่ปรายตามองกงชิงหยินแวบหนึ่ง: “ครึ่งเดือนได้ นั่นคือมากที่สุดแล้ว หยุนหยุนบอกว่าวาระสุดท้ายอย่างไรก็ต้องมาถึง”
“ไม่ใช่ว่ามีเลือดหรอกหรือ? ไม่ได้หรืออย่างไรกัน?” กงชิงหยินเวลานี้อายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว แต่ร่างกายของเขายังแข็งแรงดีมาตลอด พูดจายังมีเรี่ยวแรง แต่เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีหงอกขาว และใบหน้าก็ปรากฏริ้วรอยความชราให้เห็น
เขาไม่เชื่อ ว่าชวนเอ๋อของเขากำลังจะจากไปแล้ว
ในความคิดของเขา พวกเขาจะไม่มีวันตาย!
กงชิงวี่ปรายตามองไปกงชิงหยินแวบหนึ่ง ใบหน้าดวงนั้นของเขา ดูอย่างไรก็เหมือนคนอายุเพียงยี่สิบเท่านั้น ทั้งให้ความรู้สึกตัดขาดจากเรื่องราวทางโลกไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นของเขา กลับได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของโลกใบนี้มาอย่างโชกโชนแล้ว
มีเพียงดวงตาคู่นั้นของเขา ที่สามารถทำให้ผู้คนรับรู้ได้ว่า เขาทั้งผ่านร้อนผ่านฝน ทั้งตรากตรำลำบากมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว
กงชิงวี่หันหน้ามองออกไปนอกวังเฉียนคุน ผู้คนทั้งหลายในโลกมนุษย์ต่างก็หวาดกลัวการเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า เขารู้สึกอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการที่คนที่เขารัก ต่างต้องมาจากไปทีละคนๆ
วาระสุดท้ายใกล้เข้ามาแล้ว และไม่มีอำนาจวิเศษใด ๆ ที่จะพลิกย้อนกลับไปได้
พละกำลังของคน อย่างไรก็หาญสู้สวรรค์ไม่ได้อยู่ดี
หยุนโล่ชวนจับมืออันหลิงหยุน แย้มยิ้มยินดี: “ท่านยังดูอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้เชียว ข้าแก่เกินกว่าที่จะเดินได้อีกต่อไปแล้ว ข้าสู้อุตส่าห์ขยันฝึกฝนออกกำลัง หวังเพียงว่าข้าจะมีชีวิตอยู่เป็นเพื่อนฝ่าบาทไปได้อีกสักหลายๆปี แต่ดูจากตอนนี้ โชคชะตาของคนเราถูกลิขิตไว้แล้วจริงๆ ไม่ว่าข้าจะพยายามสักแค่ไหน ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้
ข้ารู้ว่าข้ากำลังจะตายในอีกไม่นานนี้แล้ว แต่ข้าแค่อยากรู้ว่า ข้ายังพอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน หลังจากข้าตายไปแล้ว ฝ่าบาทจะเป็นอย่างไรบ้าง? ”
อันหลิงหยุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง : “เขาจะมีอายุยืนยาวถึงเก้าสิบเก้าปี แต่ข้าเห็นดาวจื่อเหวยซึ่งเป็นดาวแห่งจักรพรรดิ บางครั้งก็ส่องประกาย บางครั้งก็ริบหรี่หม่นแสง อาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางประการ เมื่อเจ้าจากไป เกรงว่าเขาอาจจะคลุ้มคลั่งอาละวาด และบางทีก็อาจถึงขั้นหลีกเลี่ยงความตายไม่พ้น ”
“แล้วจะทำอย่างไรดี?”
“ไม่มีวิธีแล้ว” อันหลิงหยุนไม่ใช่เทพเจ้า แค่การดูแลปกป้องกงชิงวี่คนเดียว มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับนางมากพอแล้ว ทุกวันนี้นางต้องคอยใส่ชายืดอายุขัยลงในอาหารของเขา ทั้งยังใช้ระบบที่มีในร่างของตัวเอง มาเชื่อมโยงโอนถ่ายไปยังร่างของกงชิงวี่ เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องต่อกันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถโอนถ่ายไปให้คนอื่นได้
แม้ว่าตอนนี้นางจะสบายดี แต่กงชิงวี่นั้น ไม่ได้รับสืบทอดประสิทธิภาพการทำงานของเลือดในร่างของนางไปด้วย
เพราะสุดท้ายแล้ว นี่ไม่ใช่การถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็นเพียงความอมตะแบบชั่วคราว
หยุนโล่ชวนเอง ก็ไม่มีกำลังพอที่จะทำอะไรเช่นนั้นได้
หยุนโล่ชวนพยักหน้า: “ข้าเข้าใจแล้ว”
นางล้มตัวลงนอน: “แล้วข้ายังพอมีเวลาเหลืออีกนานเท่าไหร่หรือ?”
“ประมาณครึ่งเดือนได้ หากเจ้าสามารถทำให้เขายอมมีชีวิตอยู่ต่อ บางทีดาวจื่อเหวยก็อาจเปล่งประกายขึ้นมาได้อีกครั้ง ”
หยุนโล่ชวนหันออกไปมองด้านนอกวังเฉียนคุน ผ่านไปเนิ่นนานจึงพยักหน้าตอบรับ
ในอีกครึ่งเดือนต่อมา อันหลิงหยุนรั้งอยู่ในวังเฉียนคุนโดยตลอด ในวันสุดท้ายของหยุนโล่ชวน นางเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เตรียมจะจากไปพร้อมกับอันหลิงหยุนและกงชิงวี่ นางไม่สามารถทำให้กงชิงหยินยอมมีชีวิตอยู่ต่อได้ ไม่ว่าจะพูดจาโน้มน้าวชักจูงอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าจะจากไปก่อน
แต่ไม่รอให้นางได้ทันจากไป ก็ได้ยินว่าไท่ซ่างหวางตกน้ำไปเสียแล้ว
นางรีบร้อนไปดู แต่เมื่อได้เห็น คนก็อยู่ในสภาพที่ไม่ไหวแล้ว
หยุนโล่ชวนร้องไห้ แล้วทรุดล้มฮวบลงไปทันที
กงชิงหยินมองกงชิงวี่เพียงครู่สั้นๆ เอื้อมมือไปคว้าจับมือของหยุนโล่ชวนอย่างยากลำบาก ส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า แม้ต้องตาย ก็จะไม่ยอมพลัดพรากจากกัน
ไท่ซ่างหวาง และไทเฮาแห่งประเทศเหลียง เสด็จสวรรคต!
อันหลิงหยุนมองไปยังขบวนพระศพ นี่เป็นวันที่ประเทศเหลียงต้องจดบันทึกไว้อาลัย ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศแห่งนี้ ไท่ซ่างหวางและไทเฮาฝังพระศพไว้ด้วยกัน ทั้งยังใช้โลงใบเดียวกัน นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการก่อตั้งประเทศนี้ขึ้นมาเลยทีเดียว
นี่ไม่ใช่สิ่งฝังร่วมของไทเฮา แต่เป็นไท่ซ่างหวางยอมสละชีพของตนเอง เพื่อไปเป็นสิ่งฝังร่วมกับไทเฮาต่างหาก
เรียกได้ว่า เป็นการจากกันตลอดกาลแบบที่หาดูได้ยากยิ่ง
“ท่านอ๋อง ไปกันเถอะเพคะ” อันหลิงหยุนหันกายจากไป กงชิงวี่หันไปมองเพียงครู่ แล้วหันกายตามหลังไปในที่สุด