บทที่ 936 อะไรสำคัญ
ฮ่องเต้หนานอี้ลืมตาขึ้นมา เห็นซูมู่ไห่ตะลึงไปครู่หนึ่ง เป็นเวลานานถึงจะพูดว่า: “เจ้าถูกข้าประเมินไว้สูงเกินไปจริงๆด้วย ตายก่อนหน้าข้าไปแล้ว ลูกๆของข้ามากมายหลายคน แค่อยากตายช้ากว่าพวกเจ้าเล็กน้อย ทำไมถึงไม่สามารถเป็นไปตามที่หวังได้?”
ฮ่องเต้หนานอี้อึดอัดมาก ลูกชายเขาตายหมดแล้ว
ในชีวิตของเขายกทัพจับศึกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ต่อสู้เพื่ออำนาจของฮ่องเต้มาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุดไม่เพียงแต่จะต้องตายเร็ว ยังต้องคนผมขาวส่งศพคนผมดำ เขาจะดีใจขึ้นมาได้อย่างไร
“หม่อมฉันสบายดียังไม่ตาย ทำไมถึงพูดว่าหม่อมฉันตายแล้ว? ในใจของเสด็จพ่อ หม่อมฉันไร้ประโยชน์มากเลยหรือ?” ซูมู่ไห่ไม่สบอารมณ์
เป็นเวลานานกว่าฮ่องเต้หนานอี้จะตอบสนองกลับมา ค่อยๆหันหน้าไปมองข้างกายช้าๆ ข้ารับใช้ทั้งวัง เป็นไปไม่ได้ที่จะตายกันหมด ในวังอย่างไรก็ต้องมีคนของไท่จื่อเฟยสองสามคน หากจะฆ่า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าได้หมดจดเช่นนี้
ฮ่องเต้หนานอี้กำลังลังเลอยู่ เห็นเฟิ่งหลิงหยุนที่สวมชุดแดงทั้งชุด
มองไปที่หน้าของเฟิ่งหลิงหยุน ฮ่องเต้หนานอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ: “เจ้าคือเด็กคนนั้นหรือ?”
ฮ่องเต้หนานอี้กล่าวไปก็ลุกขึ้นมาจากเตียงโล๋ห้านแล้วนั่งอยู่บนเตียง ซูมู่ไห่รีบประคองฮ่องเต้หนานอี้ลุกขึ้นมานั่ง
เฟิ่งหลิงหยุนกล่าวว่า: “หาได้ยากที่ท่านยังจำข้าได้ เราพบหน้ากันต่างก็ยังมีชีวิตอยู่”
เมื่อฮ่องเต้หนานอี้ได้ยินน้ำเสียงนี้ กลับหัวเราะขึ้นมา: “ข้ากลับคิดว่า ช้าเร็วก็ต้องพบกัน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะพบกันตอนที่มีชีวิตอยู่”
ฮ่องเต้หนานอี้เอามือให้เฟิ่งหลิงหยุน ให้นางเข้าไป
เดิมทีเฟิ่งหลิงหยุนไม่อยากเข้าไป แต่นางไม่เข้าไปเห็นฮ่องเต้หนานอี้ยังคงยืนกรานมาก ถึงได้เดินเข้าไป
กุมมือเฟิ่งหลิงหยุนเอาไว้ ฮ่องเต้หนานอี้กัดฟัน กลืนน้ำลวยลงคอเฮือกหนึ่ง มองสังเกตหน้าของเฟิ่งหลิงหยุนอย่างละเอียดกล่าวว่า: “ท่านแม่เจ้าตอนที่ข้าพบนาง ก็เป็นอย่างที่เจ้าเป็นอยู่ในตอนนี้แหละ พวกเจ้าเหมือนกันมากจริงๆ นางสบายดีไหม?”
เฟิ่งหลิงหยุนจนใจ: “ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ทำไมยังต้องไปใส่ใจอีก?”
“จะไม่ใส่ใจได้อย่างไร เดิมทีข้าสามารถดีกว่านี้ได้ เป็นฮ่องเต้ที่ดี อายุยืนยาวไร้ขอบเขต แต่ตอนนี้กลับต้องกลายเป็นผีอายุสั้น ตอนนี้ยังต้องเป็นราชาที่นำพาประเทศไปสู่ความพินาศ เหลือทิ้งชื่อเสียงให้คนด่าตลอดกาล เป็นความผิดของแม่เจ้าทั้งนั้น” แววตาของฮ่องเต้หนานอี้แฝงไปด้วยความคับแค้นใจ
“ฮ่องเต้ไร้น้ำใจมาแต่โบราณ มักจะยัดเยียดการไร้ความสามารถไปให้ผู้หญิง บอกว่าทำลายประเทศทำให้ประชาชนเดือดร้อน บอกว่านารีเป็นเหตุแห่งความหายนะ ไม่ใช่เพราะว่าฮ่องเต้ไร้ความสามารถหรอกหรือ?” เฟิ่งหลิงหยุนพูดเช่นนี้ สีหน้าของฮ่องเต้หนานอี้เปลี่ยนไปเลย
ซูมู่ไห่ที่อยู่ข้างๆรีบกล่าวทันที: “ทำไมเจ้าถึงพูดจาเช่นนี้?”
“เช่นนั้นข้าต้องพูดจาอย่างไร? ทำเหมือนกับมันไม่ได้เช่นนั้นอย่างนั้นแหละ หากผู้ชายมีความสามารถ ผู้หญิงคนหนึ่งจะสามารถทำลายใต้หล้าหรือ? พูดกันตามตรงคือฮ่องเต้ไร้ประโยชน์ เพื่อที่จะล้างข้อกล่าวหา เลยโยนความผิดทั้งหมดไปให้ผู้หญิง”
“เจ้ายังจะพูดอีก?” ซูมู่ไห่โกรธมากขึ้นเรื่อยๆ
เฟิ่งหลิงหยุนมองไปทางฮ่องเต้หนานอี้: “ท่านคิดว่าไม่ใช่?”
ฮ่องเต้หนานอี้ลังเลอยู่นาน ถึงได้กล่าวว่า: “หากเจ้าพูดเช่นนี้ มันก็เช่นนั้นจริงๆ ผู้ชายไร้ความสามารถ ถึงได้ปัดความรับผิดชอบไปให้ผู้หญิง ข้ายอมรับ
ข้ามันไร้ความสามารถเกินไปนั่นแหละ หากว่าข้ามีความสามารถ ก็จะไม่ปล่อยแม่เจ้าไปให้กับซูอู๋ซิน ซูอู๋ซินไอ้ชั่วนั่น แย่งบัลลังก์ของข้า ยังแย่งผู้หญิงของข้าอีก พูดกันตามตรง คือข้าไร้ความสามารถ มีความสามารถไม่เท่าเขา”
ซูมู่ไห่ไม่สบายใจอย่างมาก เฟิ่งหลิงหยุนกลับยิ้มออกมาแทน
“มีความรู้ความเข้าใจนี้ได้ เห็นได้ว่าท่านปล่อยวางลงแล้ว” เฟิ่งหลิงหยุนไม่ได้กล่าวเยินยอ แต่คิดเช่นนั้นจริงๆ
ฮ่องเต้หนานอี้ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว ฮ่องเต้หนานอี้สวมรองเท้าแล้วเดินไปมาอยู่บนพื้น มองไปที่เท้าครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่เฟิ่งหลิงหยุน: “ข้าไม่เป็นไรแล้ว?”
“ไม่เป็นไรแล้วทำไมถึงดีอย่างนั้น?” เฟิ่งหลิงหยุนไม่ใช่อันหลิงหยุนในตอนนั้นแล้ว นางเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญคนหนึ่งเท่านั้น นางไม่ได้เก่งขนาดนั้นแล้ว ก็แค่ทักษะทางการแพทย์ดีเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนอายุขัยของคนได้
เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ คือชะตาฟ้าลิขิต ไม่มีทางแก้ไขได้
ฮ่องเต้หนานอี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ตามด้วยหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะหยุดลง ฮ่องเต้หนานอี้มองดูคนที่อยู่ในห้องนอนครู่หนึ่ง มองไปทางซูมู่ไห่: “ประเทศต้าเหลียงโจมตีหนานอี้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ เจ้าอย่าอยู่ที่นี่ เจ้าไปเถอะ”
ซูมู่ไห่กล่าวว่า: “หม่อมฉันขอเจรจาหย่าศึกไปแล้ว”
ฮ่องเต้หนานอี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง มองไปทางซูมู่ไห่ เป็นเวลานานถึงถาม: “ทำไมเจ้าถึงคิดได้ว่าจะขอเจรจาหย่าศึก?”
ฮ่องเต้หนานอี้เป็นฮ่องเต้มาหนึ่งชั่วอายุคน เคยพบคลื่นใหญ่และลมแรงมาหมดแล้ว กับศึกในครั้งนี้ในใจเขารู้ชัดเจนดี นอกจากขอเจรจาหย่าศึกแล้วไม่มีทางออกอื่นอีกแล้ว แต่ขอเจรจาหย่าศึกก็หมายถึงคำด่าทอตลอดกาล
เขากำลังจะตายแล้ว สามารถยอมรับได้ แต่ไท่จื่อที่ยังอายุน้อยอย่างเขาคนหนึ่ง หนทางยังอีกยาวไกล แบกรับคำด่าทอตลอดกาลแล้ว วันหน้าจะยืนหยัดต่อฟ้าดินอย่างไร?
“ก็ไม่ทั้งหมด นางเป็นคนพูด” ซูมู่ไห่มองเฟิ่งหลิงหยุนครู่หนึ่ง ในแววตาคือความไม่ไยดี คือความไม่พอใจ
เฟิ่งหลิงหยุนเคยชินแล้ว ความรู้สึกขอบคุณของบางคนไม่ใช่แค่เพียงผิวเผิน ความชั่วของคนบางคนก็ไม่ใช่เรื่องผิวเผินเช่นกัน ดังนั้นไม่คุ้มค่าที่จะไปใส่ใจ
ฮ่องเต้หนานอี้มองไปทางเฟิ่งหลิงหยุน กลับไม่คิดเช่นนั้น สาวน้อยคนนี้ฉลาดมากจริงๆ
“ในเมื่อขอเจรจาหย่าศึกไปแล้ว เช่นนั้นก็รอคำตอบจากกงชิงวี่แล้วกัน เจ้าก็ไม่ได้กลับมานานมากแล้ว ความวุ่นวายในวังยังต้องให้เจ้าไปจัดการ เจ้าไปเถอะ ให้เด็กคนนี้อยู่ที่นี่กับข้า”
ซูมู่ไห่มองเฟิ่งหลิงหยุนครู่หนึ่ง ถึงได้หันหลังจากไป
หลังจากซูมู่ไห่ไปแล้วฮ่องเต้หนานอี้ก็สั่งทุกคนที่อยู่ข้างกายถอยออกไปให้หมด เดินไปนั่งลง เฟิ่งหลิงหยุนตามไปนั่งลงด้วย
“ข้ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกนานแค่ไหน?” ฮ่องเต้หนานอี้รู้สภาพร่างกายของตัวเอง มองไปเหมือนว่าไม่มีอะไร แต่ยืนหยัดไม่ไหวมาตั้งนานแล้ว
ที่ยังดีอยู่ตอนนี้ เกรงว่าคงจะเป็นแค่เวลาชั่วครู่เท่านั้น
เฟิ่งหลิงหยุนก็ไม่ได้ปิดบัง: “ร่างกายท่านในตอนนี้ ก็มีเวลาอีกสิบวันครึ่งเดือนเท่านั้นแล้ว สำหรับท่านแล้ว สิบวันครึ่งเดือนก็พอใช้แล้ว เตรียมการสิ่งต่างๆเอาไว้หลังจากถึงแก่กรรมไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
เป็นเวลานานฮ่องเต้หนานอี้ก็ไม่มีการตอบสนอง แต่ตอบสนองกลับมาก็ถามว่า: “จะรักษาหนานอี้ได้หรือไม่?”
เฟิ่งหลิงหยุนส่ายหน้า: “เป็นไปไม่ได้ การตัดสินใจของกงชิงวี่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้”
“ถ้าหากข้าจับเจ้าไว้ แล้วข่มขู่ล่ะ?”
“ถึงท่านจะจับข้าเอาไว้ที่นี่เป็นเวลาร้อยปี เขาก็ไม่เปลี่ยนความคิดหรอก เขาจะเสียสละข้าทำให้ใต้หล้าสงบก่อน เขาให้ความสำคัญกับความเป็นความตายมาก แต่เขาลงมือในเวลานี้ แสดงว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว เขาจะเปลี่ยนใจเพื่อใครทั้งนั้น เขาจะลังเลเพราะข้าสองสามวัน แต่สุดท้ายก็จะตัดสินใจโจมตีต่อไป ตอนนี้เกาทัณฑ์เขาขึ้นสายแล้วมิอาจที่จะไม่ยิงออกไปได้ เขาจะเดิมพันครั้งหนึ่ง ท่านจะไม่ฆ่าข้า แต่หากท่านฆ่าข้า เขาจะทำให้ประชาชนทั้งหมดของหนานอี้เดือดร้อนไปทั่วหย่อมหญ้า ท่านเป็นคนฉลาด ในฐานะฮ่องเต้ ต้องคำนึงถึงประชาชน ไม่สามารถใช้ประชาชนมาล้อเล่นได้ ดังนั้นเขาสามารถเดิมพันครั้งหนึ่งได้ แต่ถ้าหากท่านฆ่าข้าจริงๆ หลังจากที่ข้าตายเขาจะทุกข์ทรมานสักพักหนึ่ง แต่มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อฝีเท้าของเขา
ฮ่องเต้หนานอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง: “เช่นนั้นจะทำอย่างไร จะให้ข้ามองดูหนานอี้กลายเป็นผักปลาให้คนอื่นเชือด ข้าจะไปพบหน้าบรรพบุรุษได้อย่างไร?”
“หนทางก็ใช่ว่าจะไม่มี ก็ยังมีอยู่” เฟิ่งหลิงหยุนดื่มน้ำไปหนึ่งคำ ฮ่องเต้หนานอี้ครุ่นคิดต่อ รอคำตอบของเฟิ่งหลิงหยุน เฟิ่งหลิงหยุนไม่ตอบ เขาก็ไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้หนานอี้ก็เป็นคนเอ่ยปากก่อน มิเช่นนั้นเฟิ่งหลิงหยุนก็ไม่รีบร้อนเอ่ยปาก ตรงกันข้ามกลับดื่มน้ำไปทีละคำ
ฮ่องเต้หนานอี้เลยต้องถาม: “เช่นนั้นเจ้าพูดมาเถอะ วิธีอะไร”
“ในเมื่อไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษแล้ว เช่นนั้นก็ทำให้มันถึงที่สุดไปเลยดีกว่า เป็นราชาที่นำพาประเทศไปสู่ความพินาศคนหนึ่งก็ดี หลังจากท่านไปแล้ว คนอื่นจะคอยด่าท่านไม่หยุด แต่อย่างน้อยท่านก็ปกป้องลูกชายเอาไว้ได้ ท่านว่าล่ะ”
เฟิ่งหลิงหยุนกล่าวเช่นนั้น ฮ่องเต้หนานอี้ก็เข้าใจแล้ว ความจริงในใจเขาก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่สามารถมีความคิดเห็นที่ตรงกันได้โดยบังเอิญ เขาประหลาดใจมาก
“หากข้ายอมแพ้ จะรักษาหนานอี้เอาไว้ได้ไหม?”
“จนถึงเวลานี้แล้ว ท่านยังไร้เดียงสาขนาดนี้อีก หนานอี้สำคัญ หรือว่าชีวิตของลูกชายท่านสำคัญ?