บทที่ 937 จากกันปุ๊บปั๊บ
ฮ่องเต้หนานอี้พยักหน้า: “ข้าคิดมาตลอดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าซูอู๋ซินคนนั้นหลายร้อยเท่า เพราะข้าสามารถทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องหนานอี้ แต่เขารู้แค่ปกป้องผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้นี่ก็คือความเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวของข้าคือจุดสูงสุดของอำนาจ คือผู้หญิงที่ดีที่สุดในใต้หล้า แต่เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาทำเพื่อตัวเขาเอง เขาชอบแม่ของเจ้า ก็ไปหาแม่เจ้าโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ไม่สนใจฟ้าไม่สนใจดิน ข้าดูถูกเขามาโดยตลอด เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งแม้แต่บัลลังก์เขาก็โยนทิ้งไป
ในตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เข้าใจ จู่ๆตอนนี้ก็เข้าใจแล้ว จริงๆแล้วข้าก็ไม่ได้ต่างออกไปจากเขา ล้วนแต่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพียงแต่ต่างกันออกไปก็เท่านั้น”
ฮ่องเต้หนานอี้ลุกขึ้น: “ข้าจะขอยอมแพ้ แต่เจ้าต้องรับประกันกับข้า จะฆ่าอาไห่ไม่ได้ ข้าสูญเสียองค์ชายสามไปแล้ว ไม่สามารถเสียองค์ชายสี่ไปได้อีกแล้ว”
“ข้าไม่สามารถรับประกันกับท่านได้ ท่านทำได้แค่ลองดูแล้ว”
“ไม่ได้ เจ้าต้องรับประกัน หากเจ้าทำไม่ได้ หลังจากที่ข้าตายไปแล้วจะกลายเป็นผีร้ายมาฆ่าเจ้า”
เฟิ่งหลิงหยุนสายตาเย็นชา: “ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังจะมาข่มขู่ข้าอีก ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากท่านตายน่าจะต้องไปในนรก ที่ที่ข้าไปจะเป็นนรกได้อย่างไร ท่านจะมาข่มขู่ข้าได้อย่างไร?”
“เหลวไหล ทั้งชีวิตของข้าทุ่มเทเพื่อหนานอี้ไปเท่าไหร่ ร่างกายเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าทุ่มเทด้วยชีวิตและจิตใจ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“ท่านอย่าใส่หมวกสูง(เยินยอ)ให้ตัวเองเลย สิ่งที่ท่านเรียกว่าความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่พวกนั้น ไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของท่านครอบงำหรือ
ท่านฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน ใต้ฝ่าเท้าท่านมีกระดูกขาวกองอยู่เต็มไปหมด ท่านไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก?
ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิล้วนแต่มีหน้าที่ที่สวรรค์กำหนดมา สวรรค์ให้โอกาสท่านที่นี่ แต่ท่านเสพสุขอยู่กับอำนาจมาทั้งชีวิต ในมือกำอำนาจที่สามารถกำหนดชีวิตและความตายของคน หลังจากตายแล้วจะต้องลงนรกอย่างแน่นอน”
“หากข้าต้องลงนรก เช่นนั้นกงชิงวี่มิต้องลงนรกด้วยหรือ?”
ความโกรธในใจของฮ่องเต้หนานอี้ยากที่จะสงบลงมาได้
เฟิ่งหลิงหยุนกล่าวว่า: “บางทีเขาอาจจะต้องลงนรก แต่ข้าจะพยายามทำทุกวิถีทางให้เขามีชีวิตอยู่สามร้อยปี ให้เทพแห่งความตายไม่มีโอกาสเอาตัวเขาไป ในสามร้อยปีนี้ เขาเข่นฆ่าในสามสิบปี สองร้อยเจ็ดสิบปีจะรักษาโรคช่วยชีวิตผู้คน บวกกับข้าช่วยชีวิตผู้คน เราจะช่วยคนที่ตายไปแล้วให้รอดกลับมาให้หมด เราจะเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง”
“เจ้าฝันไปเถอะ เจ้านึกว่าคนที่เขาฆ่าจะสามารถใช้ชีวิตคนอื่นมาแลกเปลี่ยนได้หรือ ฆ่าแล้วก็คือฆ่าแล้ว ไม่สามารถหักล้างกันได้
ลงนรกคือต้องลงนรกแน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นั่น”
เฟิ่งหลิงหยุนไม่ได้พูดอะไร นางไม่อยากโต้แย้ง
ทั้งสองเงียบไปสักพักหนึ่ง ฮ่องเต้หนานอี้ถาม: “ข้ายอมแพ้ก่อนแล้วกัน แต่ต้องเก็บรักษาหนานอี้ประเทศนี้เอาไว้ หากว่าเขาไม่เห็นด้วย หนานอี้สู้จนตัวตายก็จะไม่ยอมถอย แม้ว่าจะเป็นคนสุดท้ายก็ตาม”
เฟิ่งหลิงหยุนไม่พูดจา นางกำลังคิดอยู่ว่ากงชิงวี่จะทำอย่างไรนะ
เฟิ่งหลิงหยุนหยิบยาออกมาให้ฮ่องเต้หนานอี้: “ท่านกินก่อน หวังว่าครึ่งเดือนจะเพียงพอให้ท่านใช้ หากท่านอดทนอยู่ไม่ถึงตอนนั้น คนที่จะซวยก็คือลูกชายท่าน ท่านมีชีวิตอยู่ ลูกชายท่านถึงจะไม่ถูกด่า”
ฮ่องเต้หนานอี้มองดูยาครู่หนึ่ง หยิบเอามาแล้วส่งเข้าปากไป
ศักดิ์ศรีความเป็นฮ่องเต้ของเขาไม่อนุญาตให้เขายอมก้มหัวเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ เพื่อหนานอี้ เพื่อซูมู่ไห่แล้วเขาต้องยอมจำนน
เฟิ่งหลิงหยุนสามารถเข้าใจได้ หากไม่ใช่เพราะลูกชายเขาซูมู่ไห่ ฮ่องเต้หนานอี้จะไม่ยอมจำนน ถึงแม้ว่าจะเหลือเขาเพียงคนเดียว ก็ต้องสู้จนถึงที่สุด
แต่สงครามนี้จะต้องดำเนินต่อไป ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ถึงแม้จะยอมแพ้ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นทางออก
ไม่ช้ากงชิงวี่ก็ได้รับหนังสือเจรจาขอหย่าศึก เปิดออกดูครู่หนึ่ง กงชิงวี่ออกคำสั่ง: “ร่างคำสั่ง ฮ่องเต้หนานอี้ยอมศิโรราบ สามารถรักษาชื่อหนานอี้เอาไว้ได้ ไม่สามารถรักษาตำแหน่งขุนนางในกระทรวงของแต่ละมณฑลได้ สกุลเงิน การแต่งกาย การปกครอง พิธีกรรมและกฎหมายทั้งหมดทำตามระบบของประเทศต้าเหลียงเรา นำพาไปสู่ความเป็นหนึ่งในใต้หล้า รวมกันเป็นหนึ่งโดยฮ่องเต้ประเทศต้าเหลียงข้า
หากว่าตกลง สามารถรักษาสายเลือดของราชวงศ์หนานอี้เอาไว้ได้”
สีหน้าฮั๋วฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย: “นี่ยังเหลือทางรอดอะไรอีก ท่านไม่ได้บีบบังคับฮ่องเต้หนานอี้ไปสู่หนทางแห่งความตายหรือ?”
“ประเทศล่มบ้านแตก เป็นฮ่องเต้มาหนึ่งชั่วอายุคน ฝืนยืดลมหายใจสุดท้ายออกไปยังจะมีความหมายอะไร ร่าง……”
ขุนนางฝ่ายพลเรือนร่างคำสั่งทันที
หลังจากนั้นสิบวัน ฮ่องเต้หนานอี้ได้รับหนังสือตอบกลับ โยนทิ้งไปด้านหนึ่ง แววตาแน่วแน่: “ในเมื่อไม่ยอมให้ทางรอดกับหนานอี้ข้า เช่นนั้นก็สู้กันเลย”
ในสามเดือนหลังจากนั้น หนานอี้ทุ่มเทสุดกำลัง สู้ตายกับประเทศต้าเหลียง หลังจากสามเดือนกองทัพเดฉีประเทศต้าเหลียงโจมตีเข้าสู่พระราชวังหนานอี้ ฮ่องเต้หนานอี้เดินออกจากพระราชวังโดยมีเฟิ่งหลิงหยุนมาด้วย
ฮ่องเต้หนานอี้มองดูหิมะนอกวังที่โปรยปรายลงมาช้าๆ ยิ้มออกมาอย่างคลุมเครือ: “สิบกว่าวัน ยืนหยัดมาถึงตอนนี้ หาได้ยากแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้า”
เฟิ่งหลิงหยุนไม่ได้ตอบ นางมองดูกองทัพที่อยู่ข้างหน้า กงชิงวี่ไม่ได้ใส่แม้กระทั่งชุดเกราะ กลับเป็นฮั๋วฉิงที่สวมชุดเกราะ เสินหยุนเจ๋ก็สวมชุดเกราะ ดูพวกเขาอายุก็ไม่น้อยแล้ว
ฮ่องเต้หนานอี้ผลักเฟิ่งหลิงหยุนหนึ่งที: “อย่าลืมสิ่งที่รับปากข้า ต้องให้เขามีรอดชีวิต”
“ท่านวางใจเถอะ เขาจะไม่ตาย”
เฟิ่งหลิงหยุนพูดจบก็หายตัวออกไป ฮ่องเต้หนานอี้ก้าวเท้าเดินออกไปจากวัง เห็นกงชิงวี่ก็ยิ้มเย็นชาออกมา: “นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายเจ้าก็ตีมาจนได้”
กงชิงวี่ไม่ได้เจออันหลิงหยุนมานานมากแล้ว เขากำลังมองหาคนชุดแดงท่ามกลางฝูงชน แต่กลับหาไม่เจอ
ซูมาไห่พาคนขวางทางไปของเขาเอาไว้ กงชิงสี่ยกมือขึ้นมา พลธนูนำขึ้นมาก่อน จากนั้นพลโล่ใช้โล่ปิดกั้นกงชิงวี่เอาไว้ พลธนูยิงธนูพร้อมกัน ซูมผู้ไห่ถูกธนูยิงหลายสิบดอก คนล้มลงไปในกองเลือด ในพระราชวังหนานอี้มีผู้บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ฮ่องเต้หนานอี้มองดูลูกชายล้มลงไป ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
กงชิงวี่ก้าวข้ามร่างของตัวซูมู่ไห่ไป เดินไปทางฮ่องเต้หนานอี้ ฮ่องเต้หนานอี้จ้องมองดูกงชิงวี่อย่างเย็นชา ไม่ว่าก่อนหน้านั้นจะเตรียมตัวเอาไว้มากมายแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะมีประสบการณ์ในฐานะฮ่องเต้มามากมายเท่าไหร่ กับกงชิงวี่แล้วในตอนนี้เขามีแค่ความเกลียดชังเท่านั้น
กงชิงวี่หยุดลงเมื่อถึงหน้าฮ่องเต้หนานอี้ เขาสวมชุดคลุมยาวสีขาวพระจันทร์(สีฟ้าอ่อน) ใต้เท้ายังมีเลือดของลูกชายเขาอยู่ ยืนตัวตรงและเอามือไคว่หลัง สายตาเย็นชามาก ผมขาวทั้งหัวและเอาจริงเอาจัง
เขาเป็นเหมือนกับปีศาจตนหนึ่ง ฮ่องเต้หนานอี้หัวเราะเหอะๆเสียงดังขึ้นมา: “กงชิงวี่ วันนี้ข้าขอสาปแช่งเจ้า ให้เจ้าหนองไหลทั้งตัว เลือดออกทั้งเจ็ดทวาร ลำไส้พรุนพุงเน่า ไม่ได้ตายดี!”
กงชิงวี่มองไปอย่างเย็นชา ดึงกระบี่ออกมาจากเอว แทงทะลุร่างของฮ่องเต้หนานอี้ในกระบี่เดียว ฮ่องเต้หนานอี้เข้าไปใกล้เข้า นอนคว่ำอยู่บนไหล่ของกงชิงวี่ ถอนหายใจยาวออกมา: “เป็นจริงเช่นนั้น นางพูดถูก เจ้าปณิธานจะครองใต้หล้า ไม่สนใจเสียงด่าทอ!”
กงชิงวี่ใช้เสียงที่มีแต่ฮ่องเต้หนานอี้เท่านั้นที่ได้ยินกล่าวว่า : “ข้าจะไม่ทำให้พระราชวังหนานอี้เปรอะเปื้อน ผู้หญิงจะจัดเตรียมที่อยู่ให้ ผู้ชายก็จะปล่อยไป ประชาชนของหนานอี้เจ้าข้าก็จะปฏิบัติด้วยความเมตตา!”
“……” ฮ่องเต้หนานอี้ถึงได้หลับตาลง ล้มลงไปบนพื้น
พระราชวังหนานอี้ถูกตีแตก ธงรบแรกของประเทศต้าเหลียงเปิดฉากสู่ชัยชนะ พิชิตหนานอี้ลงมาได้
ฮั๋วฉิงนำคนเข้ายึดครองหนานอี้ทันที หนานอี้กลับไม่พบศพของซูมู่ไห่
ฮั๋วฉิงไปหากงชิงวี่ รายงานเรื่องนี้ให้กับกงชิงวี่
กงชิงวี่ออกมาจากในวัง ออกจากวังแล้วก็ไปหา อีกาดำบินวนอยู่บนท้องฟ้า บินไปทางนอกเมือง กงชิงวี่รีบขึ้นหลังม้าไล่ตามออกไปนองเมือง
รถม้าจอดอยู่นอกเมือง เฟิ่งหลิงหยุนเปิดม่านรถม้าแล้วมองดูเขา ไม่ได้พบกันไม่กี่เดือน เฟิ่งหลิงหยุนสูงขึ้นมาไม่น้อย
มองไปที่ซูมู่ไห่ที่ถูกธนูยิงเต็มตัวในรถม้าครู่หนึ่ง เฟิ่งหลิงหยุนกล่าวว่า: “ท่านอ๋องรักษาตัวด้วย”
ปล่อยผ้าม่านรถม้าลงมา รถม้าที่ไม่มีคนขับ กลับวิ่งเร็วเหมือนรถซิ่ง วิ่งไปด้วยความรวดเร็ว
กงชิงวี่ไล่ตามมาจากด้านหลัง ไล่ตามไปไม่ทัน ม้าของเฟิ่งหลิงหยุนชื่อจี๋เฟิง ยังไม่มีใครไล่ตามทันได้ ม้าของรถม้าก็คือลมกระโชกของนาง