บทที่ 918 ส่งของกำนัล
กงชิงวี่ลงจากหลังม้า แล้วพุ่งตรงเข้าไปในรถม้า เฟิ่งหลิงหยุนถูกอุ้มขึ้นมา แล้วเข้าไปนั่งอยู่ด้านใน
เฟิ่งหลิงหยุนถูกอุ้มมาวางไว้บนตัก กงชิงวี่เข้าไปนั่งอยู่ในรถม้า แล้วพูดว่า : “กลับไป !”
อ๋าวชิงพูดว่า : “อ๋องเซ่เจิ้ง ถึงแม้ท่านจะหมั้นหมายกับมกุฎราชกุมารีแล้ว แต่จะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องภายในของประเทศเฟิ่งไม่ได้ มกุฎราชกุมารีมีธุระจะต้องกลับไปสะสางที่ประเทศเฟิ่ง จะให้ล่าช้ามิได้”
กงชิงวี่หันมองเฟิ่งหลิงหยุนที่อยู่ในอ้อมแขน เฟิ่งหลิงหยุนพูดว่า : “เมื่อเชื่ออ๋าวชิงได้รับข่าวอ๋องฝู่เฉินของประเทศเฟิ่งป่วยหนัก ไม่มียาใดรักษาได้แล้ว ข้าจึงต้องกลับไปเร็วสักหน่อย บางทีอาจจะยังพอมีโอกาส ถ้าหากกลับไปช้า เกรงว่าเขาจะฝืนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
ตอนที่มาร่างกายก็ไม่ค่อยปกตินัก ข้าเองก็จัดเตรียมยาเอาไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว แต่สามีของนางแอบมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น จึงอาศัยโอกาสนี้เอ่ยปากขอแยกทางกับนาง ทำให้นางกระทบกระเทือนจิตใจ นางเองก็ไม่ได้กินยาให้ครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ทำให้อาการหนักขึ้น”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” กงชิงวี่ไม่ยอมให้เฟิ่งหลิงหยุนจากไป เขาอุ้มนางเอาไว้
อันหลิงหยุนถอนหายใจ : “ระหว่างท่านกับข้า อย่างไรเสียก็ต้องแยกกันอยู่ดี ตอนนี้หม่อมฉันเองเพิ่งจะสิบขวบ ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ คงไม่คิดที่จะแต่งงานกับหม่อมฉันตอนนี้จริงๆ หรอกใช่ไหมเพคะ ?”
“แล้วทำไม ?”
“ท่านอ๋องทรงเต็มใจ แต่ประเทศเฟิ่งของหม่อมฉันไม่มีวันยอม ไม่ว่าจะยังไงเสีย ก็จะต้องรอให้หม่อมฉันอายุครบสิบห้าเสียก่อน”
“…..” กงชิงวี่ไม่พูดไม่จา
เฟิ่งหลิงหยุนมองออกไปนอกรถม้า : “ท่านอ๋องอยากจะรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น เช่นนั้นรอให้ท่านอ๋องรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นได้ก่อนแล้วค่อยมารับหม่อมฉันนะเพคะ”
กงชิงวี่อุ้มเฟิ่งหลิงหยุนเอาไว้ : “รวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จในวันสองวัน ข้าจะต้องเตรียมการ และยังต้องรอโอกาส ถ้าหากไม่มีโอกาส เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าไม่มีวันได้พบหยุนหยุนอีกแล้วหรือ ?”
“เช่นนั้นท่านอ๋องก็รออีกหน่อยได้หรือไม่เพคะ ? รอมาสิบปีแล้ว หรือว่าอีกห้าปีก็ไม่อาจรอได้อีกแล้ว ?”
“แน่นอนว่าหยุนหยุนรอได้ แต่ข้านั้นไม่อาจรอได้อีกแล้ว”
“ท่านอ๋องช่างรู้จักพูดเสียจริง เช่นนั้นท่านอ๋องเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีสิเพคะ จึงจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับหม่อมฉันได้ตราบนานเท่านาน ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะมีอายุยืนยาวถึงสามร้อยปีก็ได้ เวลาเพียงไม่กี่ปีนี้ถือว่าเล็กน้อยนัก ?”
“สามร้อยปี ?” กงชิงวี่ถูกหยอกล้อจนหัวเราะออกมา
เฟิ่งหลิงหยุนพูดว่า : “ในสำนักบู๊ตึ๊งมีคนคนหนึ่งนามว่าจางสามเฟิง จางสามเฟิงเป็นนักบวชเต๋า นักบวชเต๋ามีการฝึกฝน ชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ ภายหลังจึงมีอายุยืนยาวถึงสามร้อยปี
อีกทั้งเขายังดูอ่อนเยาว์อีกด้วย แสดงให้เห็นว่าคนสามารถมีอายุยืนยาวได้
“ข้าไม่เชื่อ !”
“ไม่เชื่อก็ช่าง ท่านอ๋อง หม่อมฉันต้องไปแล้วเพคะ ช่วยคนเป็นเรื่องด่วน” เฟิ่งหลิงหยุนจะปล่อยให้ล่าช้าไม่ได้อีกแล้ว
กงชิงวี่หันมองนอกรถม้า แล้วก้มลงจูบอันหลิงหยุน : “ข้าจะไปส่งเจ้าที่ชายแดน”
“……” เฟิ่งหลิงหยุนพยักหน้า : “เพคะ !”
อ๋าวชิงหันมองเข้าไปในรถม้า กงชิงวี่พูดว่า : “ออกเดินทางต่อ ข้าจะไปส่งมกุฎราชกุมารีเอง เฟยยิง มีคำสั่งออกไป ห้ามมีการขวางทางโดยเด็ดขาด ให้จัดการคนที่อาจจะเข้ามาก่อความวุ่นวายออกไปให้หมด !”
เฟิ่งหลิงหยุนพิงเข้าไปในอ้อมแขนของกงชิงวี่ แล้วขดตัว : “ท่านอ๋อง อยู่กับคนคนหนึ่งจนแก่นั้นง่ายนัก แต่รอให้คนคนหนึ่งเติบโตนั้นยาก ท่านอ๋องรู้สึกว่าโชคดีไหมเพคะ ?”
กงชิงวี่หมดคำจะพูด : “อย่างข้ายังถือว่าโชคดีอีกหรือ ?”
“เพคะ” เฟิ่งหลิงหยุนปิดตาลง ยืดขาทั้งสองข้างเหยียดตรงเขย่าไปเขย่ามาแล้วนอนหลับไป
กงชิงวี่นำปลายชุดของเขาขึ้นมาห่มเฟิ่งหลิงหยุนเอาไว้ แล้วอยู่เป็นเพื่อนนาง
เจ้าห้าตามมาก็เป็นเวลาบ่ายเสียแล้ว
รถม้าถูกขวางเอาไว้ เจ้าห้ารอให้ทุกคนลงมาจากรถม้า เฟิ่งหลิงหยุนลืมตาขึ้น : “เจ้าห้า !”
เฟิ่งหลิงหยุนเปิดผ้าม่านขึ้น แล้วลงมาจากรถม้า
เจ้าห้ารีบพาพวกพี่ๆ เดินเข้าไปหาทันที
ตอนนี้เฟิ่งหลิงหยุนเองยังเตี้ยกว่าพวกลูกๆ เสียอีก พวกเขาอายุสิบสองปีแล้ว
ความสูงราวๆ เมตรหกสิบแล้ว เฟิ่งหลิงหยุนไม่อยากจะเชื่อเลยว่า พวกเขาจะโตเร็วขนาดนี้
เมื่อลงจากรถม้าอันหลิงหยุนก็เดินเข้าไปเจ้าห้า เด็กๆ คล้ายกงชิงวี่มาก แต่ที่คล้ายที่สุดก็คือเจ้าห้า เขาหน้าตาเหมือนกงชิงวี่ราวกับฝาแฝด
“เจ้าห้า”
เฟิ่งหลิงหยุนอดไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ เจ้าห้ารีบคุกเข่าลงทันที : “ท่านแม่ !”
ส่วนคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ คุกเข่าตามแล้วเรียกนาง
อันหลิงหยุนร้องไห้น้ำตานองหน้า
อ๋าวชิงเองก็ตกตะลึง เขาเคยลองตรวจดวงชะตามาก่อน แต่เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเฟิ่งหลิงหยุนก็คืออันหลิงหยุน แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้จะอธิบายได้อย่างไรกันล่ะ ?”
อันหลิงหยุนกอดพวกเจ้าห้าเอาไว้ แล้วร้องไห้
เฟยยิงเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้า
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เชื่อมากนัก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นเป็นเรื่องจริง จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้
ม้าที่ตามมาด้านหลังหยุดลง เสี่ยวเฉียวลงมาจากหลังม้า
อะมู่กับเสี่ยวเฉียวเดินเข้าไปคุกเข่าในทันที เมื่อเฟิ่งหลิงหยุนหันมองไปก็ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี
กงชิงหยุนเยนลงมาเป็นคนสุดท้าย เมื่อคืนนางนอกดึกจึงได้หลับไป
กงชิงหยุนเยนเดินไปอีกด้านหนึ่ง แล้วหันมองเฟิ่งหลิงหยุนด้วยความน้อยใจ นางร้องไห้ด้วยความรัก แต่นางกลับไม่มี
เมื่อร้องไห้สักพัก เฟิ่งหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องร้องแล้ว ลุกขึ้นเร็วข้า ทำเช่นนี้เหมือนอะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวพวกเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้ ลุกขึ้นเร็ว !”
เจ้าห้าลุกขึ้น จากนั้นจึงหันมองเฟิ่งหลิงหยุนแล้วยิ้ม : “รู้นานแล้วว่าท่านแม่กลับมา แต่หมอดูที่ไม่ได้เรื่องพวกนั้นกลับไม่สามารถทำนายออกมาได้ พวกเราจขึงได้แต่ออกตามหาไปทั่วทุกที่ โชคดีที่ปีหนีพี่อะมู่จะแต่งงาน พวกเราจึงเดินทางกลับมา มิเช่นนั้นก็คงพลาดโอกาสที่จะได้เจอ”
เฟิ่งหลิงหยุนมองดูพวกเด็กๆ ต่างก็สูงกว่านางทั้งสิ้น
“แม่รู้แล้วในเมื่อมากันครบแล้ว เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันเถอะ อ๋องฝู่เฉินของประเทศเฟิ่งป่วยหนัก แม่จำต้องกลับไป”
เจ้าห้าหันมองกงชิงวี่แล้วพูดว่า : “ช่วงนี้พวกเราไม่มีธุระอะไร จะขอตามท่านแม่ไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่ หม่อมฉันกับเสี่ยวเฉียวจะไปด้วย”
อะมู่รีบพูด เฟิ่งหลิงหยุนหันมองกงชิงวี่ แล้วคิดพิจารณาอยู่พักใหญ่ : “พวกเจ้าจะต้องอยู่กับท่านพ่อ ตอนนี้เขาต้องการพวกเจ้า แม่ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเพราะอะไร แต่พวกเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ เมื่อส่งข้าที่ชายแดนแล้ว พวกเจ้าจะต้องกลับไป”
เจ้าห้ายกมือขึ้นมาคำนวณดวงชะตา จากนั้นจึงเงยหน้าข้นมองท้องฟ้า แล้วขมวดคิ้ว
เฟิ่งหลิงหยุนแปลกใจ : “เจ้าคำนวณดวงชะตาเป็นด้วยหรือ ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าห้าหันมองเฟิ่งหลิงหยุน : “ท่านแม่ ลูกรู้แล้ว”
เฟิ่งหลิงหยุนแปลกใจ : “เจ้าห้า จากที่เจ้าดู พ่อของเจ้ามีโอกาสชนะมากน้อยเพียงใด ?”
เจ้าห้าหันมองกงชิงวี่ แล้วพูดว่า : “ถึงแม้ชะตาของท่านพ่อจะสัมพันธ์กับดาวจื่อเหวย แต่ดาวจื่อเหวยถูกเงาของนกฟีนิกซ์บดบังอยู่ ทำให้ส่งผลร้ายต่อพลังของดาวจื่อเหวยของท่านพ่อ แต่เมื่อดูดาวกิเลนที่อยู่ด้านหลังดาวจื่อเหวย ไม่เพียงแต่ส่องสว่างเท่านั้น แต่ยังใหญ่ขึ้นอีกด้วย
ดังนั้นการรวมแผ่นดินจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ใครจะเป็นคนรวมนั้น ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ”
เฟิ่งหลิงหยุนมีความคิดอะไรบางอย่าง นางเดินไปสองสามก้าว : “เจ้าห้าเจ้าลองดูซิว่าที่นี่มีนกฟีนิกซ์หรือไม่ ?”
“ท่านแม่ยังไงล่ะ” เจ้าห้าโพล่งออกมา เฟิ่งหลิงหยุนหันไปมอง เข้าใจทุกอย่างแล้ว
จริงๆ แล้วเป็นนางเองที่บดบังพลังของดาวจื่อเหวยของกงชิงวี่
แต่จะบอกว่านางบดบัง ไม่สู้พูดว่านางมีผลจะดีกว่า จะให้ไปบังอย่างไร
“แล้วดาวกิเลนล่ะ ?”
“ท่านแม่ ถึงแม้ดาวกิเลนจะไม่ใช่ดวงดาวแห่งจักรพรรดิ แต่ก็เป็นลายเลือดมังกร บุตรทั้งเก้าของมังกรนั้นไม่เหมือนกัน อีกทั้งกิเลนก็มีสายเลือดเดียวกับท่านพ่ออีกด้วย !”
เฟิ่งหลิงหยุนขมวดคิ้ว : “เป็นเขา ?”
เจ้าห้าพยักหน้า เฟิ่งหลิงหยุนหันมองกงชิงวี่ แล้วพูดว่า : “ขึ้นรถเถอะเพคะ”
อันหลิงหยุนหันหลังขึ้นรถม้าไป แล้วหันมองกงชิงหยุนเยนที่ยืนเงียบไม่พูดไม่จา : “หยุนเอ๋อ เจ้าจงเข้ามาในรถม้า ข้างนอกหนาวเย็น”
เฟิ่งหลิงหยุนเข้าไปข้างใน แล้วรออยู่ในรถม้า เจ้าห้ามองกงชิงหยุนเยน แล้วขึ้นหลังขึ้นม้า เสี่ยวเฉียวเองก็ขึ้นไปบนหลังม้าด้วยเช่นกัน
กงชิงหยุนเยนพูดว่า : “หม่มอฉันจะไปกับพี่เสี่ยวเฉียว”
เฟิ่งหลิงหยุนหันมองเสี่ยวเฉียว : “ไปเถอะ”
กงชิงหยุนเยนรู้สึกนึกเสียดายเล็กน้อย นางอยากจะอยู่กับท่านแม่มากกว่า