บทที่ 921 หนังสือสัญญาทางทหาร
“ หยุนเล่ นี่เจ้าถูกนางปิศาจนี่บดบังจนดวงตามืดบอดไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าว่าใครเป็นนางปีศาจไม่ทราบ?” กงชิงหยุนเยนไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
“ ว่าเจ้านั่นแหล่ะ”
มู่เหอยังคงกัดไม่ปล่อยอยู่อย่างนั้น
กงชิงหยุนเยนลุกขึ้นยืน: “มู่เหอ เป็นเพราะเจ้าเห็นว่าหยุนเล่มาเล่นกับข้าใช่หรือไม่? เจ้าคงจะอิจฉาข้าล่ะสิ?”
มู่เหอโกรธหน้าแดง: “นางปีศาจ เจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี”
“เจ้ารู้หรือไม่ ? หยุนเล่ไม่ชอบเจ้า เจ้าก็ยังเอาแต่พูดอยู่นั่นแหล่ะ ว่าเขาเป็นคู่หมั้นของเจ้า ข้าไม่เคยเห็นใครที่หน้าด้านได้เท่าเจ้ามาก่อนเลยนะนี่ เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าข้าไร้ยางอายอย่างนั้นรึ?”
กงชิงหยุนเยนลุกขึ้น แล้วเดินตรงเข้าไปหามู่เหอ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นข้าขัดนัยน์ตามาตลอดหรอกรึ? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากได้หยุนเล่หรอกรึ ? ข้าไม่ให้เจ้าซะอย่าง แต่ไหนแต่ไรมา จวิ้นจู่เช่นข้าไม่เคยมีอะไรที่อยากได้ แล้วเอามาไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว หยุนเล่คนนี้ข้าหมายตาเอาไว้แน่นอนแล้ว! ”
เฟิ่งหลิงหยุนหันไปมองทางหยุนเล่ทันที หยุนเล่ตกตะลึงจนอึ้งค้างไปชั่วขณะ ถึงกับแสดงสีหน้าชวนขบขันออกมาให้เห็นเลยทีเดียว
มู่เหอที่โกรธจัดยกมือขึ้นได้ ก็ฟาดลงไปทันที เฟยยิงเคลื่อนตัวเพียงชั่วพริบตา ก็ไปอยู่ตรงหน้ากงชิงหยุนเยน แล้วยกมือขึ้นหยุดรั้งมือของมู่เหอไว้อย่างทันท่วงที
กงชิงหยุนเยนเงยหน้าขึ้นมองอย่างหยิ่งยโส นางไม่กลัวมู่เหอเลยแม้แต่น้อย
ด้วยท่วงท่าเชิดหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหยิ่งทะนงของนาง ทำเอาหยุนเล่ถึงกับจ้องมองอย่างไม่อาจละสายตาได้
เฟิ่งหลิงหยุนบรรจงยกถ้วยชาขึ้น ดื่มชาเข้าไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ผู้หญิงสองคนจะแย่งสามีคนเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หยุนจวิ้นจู่ แม่ทัพมู่เหอ เจ้าสองคนยินดีที่จะแข่งขันกันเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะหรือไม่?”
“ยินดี” มู่เหอไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ
กงชิงหยุนเยนปรายดวงตาหงส์ไปมองมู่เหอ เกิดลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าไม่กล้าแล้วล่ะสิ?” มู่เหอถามด้วยท่าทีเหิมเกริมแข็งกร้าว
หยุนเล่รีบเอ่ยขึ้นว่า: ” หยุนจวิ้นจู่มาจากประเทศต้าเหลียง ผู้หญิงในประเทศต้าเหลียงไม่ได้เล่าเรียนฝึกฝนในเรื่องศิลปะการต่อสู้ น้อยคนนักที่จะมีวรยุทธ์ เรื่องนี้ไม่อาจสู้กันได้ด้วยการใช้กำลัง”
“ไม่ได้ ที่นี่คือประเทศเฟิ่ง อย่างไรก็ต้องยึดเอาตามกฎของประเทศเฟิ่ง จึงจะถูกต้อง”
มู่เหอยังคงมีท่าทางเหิมเกริม แข็งกร้าวไม่เปลี่ยน
กงชิงหยุนเยนจึงพูดขึ้นบ้างว่า: “ข้าไม่ได้กลัวเจ้าเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกว่าการค้าขายที่ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรแบบนี้ ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนก็แค่นั้นเอง”
“ผลประโยชน์อะไร เจ้าก็พูดไปสิ” มู่เหอไร้ความสนใจโดยสิ้นเชิง
“หากว่าข้าแพ้ จากนี้ไปข้ากับหยุนเล่จะไม่คบค้าไปมาหาสู่กันอีกต่อไป แม้แต่เหลือบหางตามองเพียงครั้งก็จะไม่มองเด็ดขาด กระทั่งชีวิตนี้ของข้า จะมอบให้เจ้าไปด้วยเลยก็ยังได้” กงชิงหยุนเยนเอ่ยคำสาบานหนักแน่น
“เป็นเจ้าพูดเองนะ?” มู่เหอหรี่ตาด้วยความกระหยิ่มในใจ มุมปากแสยะยกขึ้นสูง
หยุนเล่รีบพูดขัดขึ้นว่า “หยุนจวิ้นจู่ เจ้าอย่าทำตัววุ่นวายได้หรือไม่!”
“เคยได้ยินท่านพ่อพูดมาก่อนหน้านี้ว่า รอยยิ้มของหงเหยียนมีค่าดั่งทองคำพันชั่ง เพื่อรอยยิ้มเพียงครั้งของป๋อหงเหยียน ยอมได้กระทั่งให้ทั้งแผ่นดินต้องหลั่งเลือดชโลมไหลดั่งสายธาร ยอมได้กระทั่งทั้งถูกกุดหัวจนแดดิ้นสิ้นชีพวาย ส่วนข้าเพื่อให้ได้หนึ่งรอยยิ้มของเจ้า ข้ายินดี!” กงชิงหยุนเยนจงใจยั่วโมโหมู่เหอ แต่หยุนเล่กลับตกตะลึงจนตัวแข็งค้างไปชั่วขณะแทน
เฟิ่งหลิงหยุนเองก็จนใจแล้วเช่นกัน นังหนูนี่ช่างเป็นตัวก่อหายนะแท้ๆ!
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้!” เมื่อเรียกสติสัมปชัญญะกลับคืนมาได้ หยุนเล่ก็รีบร้องห้ามทันที
กงชิงหยุนเยน กลับหันไปมองหน้ามู่เหอที่ยามนี้โกรธจัดจนขาวซีดเผือดสีไปทั้งหน้าแล้ว เอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วเจ้าล่ะ หากเจ้าแพ้จะทำอะไรเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน?”
“ข้า?” มู่เหอไม่คิดแม้แต่น้อยว่าตัวเองจะแพ้ จึงพูดอย่างดูถูกดูแคลนขึ้นว่า “หากข้าเป็นฝ่ายแพ้ อยากทำอะไรก็แล้วแต่เจ้าเลย”
“ข้าไม่อยากได้ชีวิตของเจ้าหรอก ชีวิตของเจ้าสำหรับข้าแล้วไม่ได้มีค่าอะไร ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นแม่ทัพน้อยของประเทศเฟิ่ง เจ้าคงมีอำนาจทางการทหารในมือใช่หรือไม่?”
“ถ้าใช่แล้วอย่างไร?” มู่เหอวางท่าทางภูมิอกภูมิใจในตัวเองอย่างมาก
กงชิงหยุนเยนเอ่ยต่อไปว่า: “หากเจ้าแพ้ ต้องมอบอำนาจทางการทหารในมือมาให้ข้า ข้าอยากเป็นแม่ทัพน้อย”
กับแค่คำพูดของเด็กคนหนึ่ง แม้แต่อ๋าวชิงก็ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับมู่เหอ
มู่เหอหัวเราะเสียงดังลั่น: “หากเจ้าชนะจริง ๆ อำนาจทางการทหารข้าจะมอบให้เจ้า ตราสั่งการสามเหล่าทัพใหญ่ก็จะมอบให้เจ้า”
“พูดปากเปล่าไม่มีหลักฐาน เชื่อถือไม่ได้ เจ้าต้องนำตราประทับออกมา ทำหนังสือสัญญาทางการทหารเป็นลายลักษณ์อักษร” กงชิงหยุนเยนเอ่ยท้า
“ได้!”
หยุนเล่รีบพูดขึ้นว่า: ” แม่ทัพมู่เหอ เจ้าไม่ควรเอาเรื่องอำนาจทางการทหารที่สำคัญขนาดนี้มาล้อเล่นนะ เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าควรต้องใช้กฎทางทหารมาจัดการหรอกหรือ?”
“ หยุนเล่ ตั้งแต่ยังเด็กข้าก็ชอบเจ้ามาโดยตลอด เจ้าเองก็รู้ดีแก่ใจแท้ ๆ มาตอนนี้เจ้ากลับพูดแทนนางปีศาจถึงเพียงนี้ เจ้าควรจะรู้ว่าใจข้าต้องห่อเหี่ยวผิดหวังแค่ไหน แต่ข้าเชื่อว่า เป็นเพราะเจ้าเกิดความเลอะเลือนไปชั่วขณะ รอจนถึงวันที่เจ้ากับข้าแต่งงานกันก่อนเถอะ เจ้าจะต้องภักดีต่อข้าเพียงผู้เดียวเป็นแน่ ”
หยุนเล่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเย็นชา“ มันจะไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้ามีอำนาจตัดสินได้! ในประเทศเฟิ่งของเรา ผู้ชายทำได้เพียงต้องโอนอ่อนในเรื่องการแต่งงานไปตามการตัดสินใจของผู้หญิงเท่านั้น ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องเป็นของข้า”
หยุนเล่เบี่ยงหน้าหนีไปอีกด้านอย่างดื้อรั้น สีหน้าขาวซีดเผือดสีไปทั้งหน้า
กงชิงหยุนเยนแปลกใจ: “ทำไมเขาถึงต้องให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจด้วยล่ะ ข้าจะให้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง มู่เหอ ข้าจะทำให้เจ้าแพ้ชนิดที่ต้องยอมรับทั้งปากทั้งใจเลยคอยดู เอาตราประทับของเจ้าออกมา เฟยยิง ไปเอาหลักฐานยืนยันการเป็นราชวงศ์ของข้ามา”
หยุนเล่จ้องมองอย่างทึ่มทื่อ ตะลึงพรึงเพริศชนิดที่ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปแล้ว
เฟยยิงนำตราประทับของกงชิงหยุนเยนออกมา เป็นตราประทับรูปหงส์แท่นหนึ่ง
กงชิงหยุนเยนวางตราประทับลง: “ด้วยตรานี้ เจ้าสามารถระดมม้า และกำลังทหารสองแสนนายที่ประจำอยู่นอกเมืองหลวงของต้าเหลียงได้ทันที บวกกับชีวิตของข้าเข้าไปอีกหนึ่งชีวิต ข้าไม่เชื่อหรอกว่า มันจะแลกกับอิสรภาพของหยุนเล่ไม่ได้
หากข้าชนะ นับจากวันนี้เป็นต้นไป หยุนเล่ต้องถือว่าหลุดพ้นพันธะเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือใครก็ตามในประเทศเฟิ่ง แม้กระทั่งแม่ … หรือแม้แต่ฮ่องเต้หญิง ต่างก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับเขาอีกต่อไป ”
“หยุนเอ๋อ … ” หัวใจของหยุนเล่เต้นถี่รัว เขาไม่เคยคิดเลยว่า จะมีคนที่ทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้
มู่เหอนึกขันเหลือเกินแล้ว : “ที่แท้พ่อของเจ้า ก็เป็นพวกโอ๋ลูกราวเด็กเล่นขายของแบบนี้นี่เอง ถึงขนาดมอบตราประทับ ที่ใช้สั่งการทหารต้าเหลียงให้เจ้ามาเล่นสนุกอย่างนี้ ก็ดี ข้าจะได้ไม่ขาดทุน”
มู่เหอวางตราประทับลง ทั้งสองต่างเขียนหนังสือสัญญาเดิมพันชีวิต โดยไม่สนใจคำทัดทานใดๆ ออกมาคนละฉบับ
อ๋าวชิงกับเฟิ่งหยุนหลิงเป็นพยานยืนยันเรียบร้อย การต่อสู้ก็เริ่มเตรียมพร้อมเข้าสู่การปะทะแล้ว
เพื่อความเป็นธรรม ทั้งสองจึงแข่งขันกันในพื้นที่ว่างบริเวณนอกพระราชวังเฟิ่ง แม่ของมู่เหอยังถึงกับพาคนมาดูการต่อสู้นี้ด้วย กระทั่งขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายของประเทศเฟิ่ง ก็ยังมาดูการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
หยุนเล่ไปหาอ๋าวชิงเพื่อคุยเรื่องนี้ อ๋าวชิงตัดบทไปว่า “เรื่องนี้ให้มันจบลงแค่นี้เถอะ ที่เหลือก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามแต่สวรรค์จะลิขิตแล้ว”
“ท่านพ่อ!”
“อย่าพูดอะไรอีกเลยนะ”
อ๋าวชิงไม่อยากฟังอะไรอีกแล้วทั้งนั้น หยุนเล่จึงทำได้เพียงไปดูกงชิงหยุนเยน นางถอดเสื้อคลุมหงส์ออก แล้วเปลี่ยนไปสวมชุดเกราะเหล็กทั้งตัวแทน แต่ดูแล้วก็ยังคงเหมือนเด็กคนหนึ่งอยู่ดี
แต่ไหนแต่ไรมา ผู้หญิงในประเทศต้าเหลียงจะไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้ ฝึกฝนในด้านศิลปะการต่อสู้ให้เหน็ดเหนื่อยอะไร เมื่อเทียบรูปร่างกับผู้หญิงในประเทศเฟิ่งแล้ว จึงเห็นได้ชัดว่าดูผอมบางอ่อนแอกว่าอย่างมาก
เมื่อมองดูมู่เหอ นางช่างเหมือนหงอคงผู้ทรงพลังแกร่งกล้าจริง ๆ เรียกว่าเมื่อเอามาเทียบกับหยุนเล่แล้ว นางยังดูกำยำกว่าเสียด้วยซ้ำ
หยุนเล่กังวลใจมาก เดินไปข้าง ๆ กงชิงหยุนเยนแล้วมองนางแน่วนิ่ง: “ที่เจ้าทำนี่มันคุ้มกันแล้วหรือ? ตอนนี้เจ้ารีบยอมแพ้ก็ยังทันนะ เอาตราประทับสั่งการกลับไปเสียเถอะ พ่อของเจ้าคงไม่ตำหนิเจ้าหรอก!”
“เกิดมาเป็นคนทั้งที พูดไปแล้วจะไม่ทำตามสัญญา ไม่รักษาคำพูดได้อย่างไรกัน เจ้าถอยไปเสียเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก”
กงชิงหยุนเยนไม่สนใจโดยสิ้นเชิง หยุนเล่รีบเดินไปตรงหน้านาง: “หากนางทำร้ายเจ้า ข้าจะบดกระดูกนางให้แหลกเป็นผุยผงแน่!”
เฟิ่งหลิงหยุนยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเป่าเบาๆ พลางฟังคำพูดของหยุนเล่ไปด้วย
กงชิงหยุนเยนนำแส้ออกมา แล้วเดินอ้อมหยุนเล่ตรงไปหามู่เหอ
ทุกคนต่างก็คิดว่ามู่เหอต้องชนะแน่ จึงพากันโห่ร้องกึกก้องอื้ออึง
มู่เหอมองแส้ที่กงชิงหยุนเยนถือมาพลางยกยิ้ม: “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้แส้ แต่เจ้าสามารถใช้อาวุธอื่นใดก็ได้ในที่นี้”
กงชิงหยุนเยนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที: “นี่เจ้าคิดจะเล่นลูกไม้หลอกลวงใครกัน!”
“แล้วจะทำไม? หรือว่าหยุนจวิ้นจู่ไม่เป็นอาวุธอื่น มีแค่วรยุทธ์ใช้แส้แบบแมวสามขาได้เท่านั้นล่ะสิท่า?” มู่เหอสีหน้าลำพองใจอย่างยิ่ง
เฟยยิงเอ่ยขึ้นว่า: “จวิ้นจู่ ไม่สู้ ….. ”
“เฟยยิง แส้นี้ให้เจ้า เอากระบี่เจ้ามาให้ข้า” กงชิงหยุนเยนไม่ยี่หระแม้แต่น้อย
เฟยยิงแสดงท่าทีว่ากังวลใจอย่างชัดเจน แต่ก็ต้องนำแส้ไป แล้วมอบกระบี่ให้ด้วยความจนใจ
กงชิงหยุนเยนจ้องมองตรงไป: “มาเริ่มกันเถอะ”
มู่เหอก็ใช้กระบี่เช่นกัน นางพุ่งทะยานเข้าหากงชิงหยุนเยนอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่ด้านล่างต่างพากันพูดว่า: “ท่านแม่ทัพ แม่ทัพน้อยของเราต้องชนะอย่างแน่นอน นี่ได้ยินมาว่า ยังมีตราประทับสั่งการทหารอีกกว่าสองแสนนายด้วยนะเจ้าคะ”
“นั่นไม่ใช่ตราประทับสั่งการหรอก เป็นตราประทับกำหนดการที่แน่ชัดแล้วต่างหาก ดูเหมือนนางจะเป็นลูกสาวที่แสนเก่งกาจ น่าภาคภูมิใจไม่น้อยล่ะสิ ไม่อย่างนั้น คนอย่างกงชิงวี่นั่นเป็นใคร ให้ท้ายตามใจลูกสาวขนาดนี้ ถึงขั้นเอาตราประทับสั่งการกำลังทหารสองแสนนายมาให้นังเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งถือเล่น เฮอะ … เสียดายแล้ว ฉลาดมาทั้งชีวิต ครั้นจะโง่เขลาขึ้นมาก็พริบตาเดียวแท้ๆ ”
“ใช่เลยๆ!”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะได้ใจ เฟิ่งหลิงหยุนเองก็หัวเราะเช่นกัน แต่นางหัวเราะอย่างชืดชาจืดเจื่อนยิ่งนัก