บทที่ 924 หน้าไม่อาย
หยุนเล่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “หากว่าท่านเฉิงเสี้ยงรับปากแล้ว เช่นนั้น ข้าสามารถพาหยุนจวิ้นจู่ไปด้วยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“หยุนจวิ้นจู่เป็นจวิ้นจู่ของประเทศต้าเหลียง ไม่ใช่จวิ้นจู่ของประเทศเฟิ่งของเรา เรื่องนี้ข้าไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หากเกิดเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ประเทศเฟิ่งก็ไม่อาจรับผิดชอบได้ไหว ในตอนนี้ที่บรรดาประเทศต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง ต่างก็สะสมขุมกำลังของตัวเองพร้อมเผชิญหน้า เดิมทีก็เป็นช่วงเวลาที่เกิดเรื่องมากมายอยู่แล้ว ประเทศเฟิ่งอยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ก็ยังไม่ทันด้วยซ้ำ จะให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีกได้อย่างไรกัน?
ยังมีเจ้าอีกคน เจ้าเป็นผู้สืบทอดของท่านเฉิงเสี้ยง ท่านเฉิงเสี้ยงไม่มีลูกไม่มีภรรยา เจ้าเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขา หากว่าเจ้าเกิดเรื่องขึ้นมา จะให้เขาใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขต่อไปได้อย่างไรกัน?
แม้ว่าเรื่องเขื่อนจะเกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนนับร้อยนับพัน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเจ้าลงไป เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป อย่างไรก็ต้องมีคนไปจัดการเรื่องนี้แน่ เจ้าเป็นลูกของท่านเฉิงเสี้ยง หากเกิดอะไรขึ้น คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเจ้าก็ไม่อาจรับผิดชอบได้เช่นกัน ”
เมื่อเฟิ่งหลิงหยุนพูดจบ หยุนเล่ก็เอ่ยขึ้นว่า “หยุนเล่ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรแน่ หยุนเล่รู้ดีว่าท่านเฉิงเสี้ยงได้ทุ่มเทฟูมฟัก เลี้ยงดูหยุนเล่อย่างสุดความสามารถมาโดยตลอด ในวันหน้าหยุนเล่ก็จะทุ่มเทความสามารถทั้งหมด เพื่อท่านเฉิงเสี้ยงเช่นกัน เขาคือพ่อของหยุนเล่ตลอดกาล แต่หยุนเล่โตแล้ว อยากจะออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์บ้างพ่ะย่ะค่ะ ”
เฟิ่งหลิงหยุนจ้องมองหยุนเล่อยู่ครู่หนึ่ง: “เรื่องนี้ หากเจ้าอยากออกไปหาประสบการณ์ เจ้าก็ลองออกไปสักครั้งเถอะ สำหรับหยุนจวิ้นจู่ เจ้าสามารถลองถามนางดูได้ ว่านางเต็มใจจะไปกับเจ้าหรือไม่ แต่ข้าไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หยุนเล่ก็เป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่งเช่นกัน เฟิ่งหลิงหยุนพูดว่าไม่คิดจะเข้าไปยุ่ง นั่นหมายความว่านางจะไม่เข้ามาช่วย แต่ก็ไม่คิดจะขัดขวางเช่นกัน เป็นธรรมดาที่เขาย่อมต้องมีความสุขมาก
“ขอบพระทัยมกุฎราชกุมารีพ่ะย่ะค่ะ” หยุนเล่ประสานหมัดกล่าวขอบคุณ หันหลังไปมองกงชิงหยุนเยน: “ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ หยุนจวิ้นจู่โปรดรอข้าด้วย”
หยุนเล่พูดจบก็ออกไปทันที เฟิ่งหลิงหยุนนั่งลง แล้วมองดูกงชิงหยุนเยน: “เจ้าคิดว่าผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ ล้วนไม่มีใครดีเท่าพ่อของเจ้าใช่หรือไม่?”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็สู้พ่อไม่ได้ทั้งนั้น” กงชิงหยุนเยน เอ่ยด้วยท่าทางภาคภูมิใจอย่างมาก
เฟิ่งหลิงหยุนส่งเสียง อืม ตอบรับในลำคอ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
กงชิงหยุนเยนถามว่า: “แม่ ท่านเคยชอบใครบ้างไหม?”
“ไม่เคยหรอก แต่แม่จำได้หลายคนอยู่ ที่จริงแล้วพ่อของเจ้าก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรมากมายขนาดนั้น ในสายตาของแม่ เขาก็เป็นแค่คนที่โชคดีมหาศาลคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง”
“โอ๋?” กงชิงหยุนเยนเกิดความอยากรู้ขึ้นมาทันควัน รีบดึงจับมือของเฟิ่งหลิงหยุนขึ้นมา แล้วเอ่ยถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เฟิ่งหลิงหยุนบอกเล่าถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอดีต ตอนที่นางได้รู้จักกับกงชิงวี่ออกไปส่วนหนึ่ง กงชิงหยุนเยนถึงกับรู้สึกว่า เรื่องพวกนั้นต่างเป็นเรื่องโกหก จะต้องเป็นเรื่องหลอกลวงคนเอาสนุกแน่ ๆ พ่อของนางดีงามเพียบพร้อมถึงขนาดนั้น จะเกิดเรื่องอะไรแบบนั้นขึ้นมาได้อย่างไร
เฟิ่งหลิงหยุนเอ่ยถาม: “หรือว่าพ่อของเจ้า ไม่เคยเล่าเรื่องของพ่อกับแม่ให้เจ้าฟังบ้างเลยอย่างนั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าต้องเล่าอยู่แล้ว แต่พ่อมักจะบอกอยู่เสมอว่าเขามีความสุขมาก แม่เป็นหมอเทพ จิตใจกว้างขวางรักใคร่ปวงประชา ช่วยเหลือพ่อในหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งยังเก่งกาจจนรักษาอาการป่วยของเสด็จย่าได้ ข้าได้แต่คิดอยู่เสมอเลยว่า พ่อกับแม่ช่างเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวเป็นเสียงเดียวกันจริงๆ!”
จากนั้นกงชิงหยุนเยน ก็เริ่มบอกเล่าเรื่องราวของกงชิงวี่ออกมามากมาย แต่ล้วนเป็นเรื่องที่ดีงามยิ่งใหญ่ น่าชื่นชมยกย่องทั้งสิ้น
เฟิ่งหลิงหยุนฟังจนปวดหูไปหมดแล้ว กงชิงวี่ถึงกับโกหกลูกสาวอย่างหน้าด้าน ๆถึงเพียงนี้เลยหรือนี่?
เดิมทีนางคิดว่าจะเปิดโปงการกระทำอันชั่วร้ายต่าง ๆ นา ๆ ของกงชิงวี่เสียหน่อย แต่เมื่อคิดไปถึงเรื่องที่ผ่านๆมา เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องชั่วร้ายเลวทรามจนเกินไป นอกจากเรื่องที่เกิดขึ้นตอนแรกสุดนั่นเรื่องเดียว เฟิ่งหลิงหยุนจึงคิดในท้ายที่สุดว่า ช่างมันเถอะ
หยุนเล่เดินเข้าประตูมาอีกครั้ง เมื่อถวายคำนับเสร็จก็เอ่ยขึ้นว่า: “ท่านพ่ออนุญาตกับหยุนเล่แล้ว ว่าให้ไปดูการซ่อมแซมเขื่อนของเมืองหลวงได้ ส่วนหยุนจวิ้นจู่ ข้าอยากมาถามนางด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องแค่นี้ทำไมเฟิ่งหลิงหยุนจะไม่เข้าใจ จึงปรายตาไปมองกงชิงหยุนเยน: “หยุนจวิ้นจู่เห็นว่าอย่างไร?”
กงชิงหยุนเยนลุกขึ้น: “ข้าไม่ไปหรอก เรื่องของประเทศเฟิ่ง ข้าไม่สะดวกเข้าไปยุ่งเกี่ยว นอกจากนี้ข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจระบบหมุนเวียนของน้ำด้วย ข้าอยากพักผ่อนแล้ว แม่ทัพน้อยหยุนไปเถอะ”
พูดจบกงชิงหยุนเยนก็กลับไปที่เตียง ถอดรองเท้ากับเสื้อคลุมออก แล้วล้มตัวลงนอน
เฟิ่งหลิงหยุนหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แล้วค่อยหันมามองหยุนเล่ที่ยามนี้ ความวิตกกังวลฉายชัดจนเกลื่อนเต็มใบหน้าแล้ว นี่มันช่างเข้าทำนองภูเขาสูงยังมีที่สูงกว่าเสียจริงๆเลย!
เดิมทีคิดเอาไว้ว่าจะพาเสี่ยวหยุนออกไป แต่ตอนนี้ไม่เพียงไม่อาจพาออกไปได้ กลับกลายเป็นว่าเขาต้องออกไปเองคนเดียวอีกด้วย นั่นไม่เท่ากับว่าต้องแยกกันหรอกหรือ?
หากจะพูดในมุมมองของคนที่กำลังเริ่มมีความรัก การที่ต้องแยกจากคนที่ชอบ มันเป็นอะไรที่สร้างความเจ็บปวดใจเหลือเกินแล้ว
ในเวลานี้ หยุนเล่ได้เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอย่างใหญ่หลวงนั้นเข้าแล้ว
“หยุนจวิ้นจู่ ข้ามีบางอย่างจะพูดด้วย” หยุนเล่ไม่อยากไป คิดอยากให้กงชิงหยุนเยนลุกขึ้น
กงชิงหยุนเยนหันหน้าเข้าไปทางด้านใน แสดงท่าทีว่าไม่ต้องการคุยกับหยุนเล่
หยุนเล่จึงจำต้องหันไปหาเฟิ่งหลิงหยุน: “มกุฎราชกุมารี”
“เจ้าไปก่อนเถอะ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปดูเขื่อนหรอกหรือ หากล่าช้าเสียเวลาไป เมื่อเจ้ากลับมาก็อาจถูกลงโทษได้ นี่เป็นโอกาสที่หายากที่จะได้ออกไปเรียนรู้ เจ้าควรทำผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ทิ้งความประทับใจดี ๆ ไว้ให้ประชาชนได้ มัวมาเสียเวลาที่นี่ มันไม่คุ้มกันหรอก แต่ไหนแต่ไรมาอารมณ์ของหยุนจวิ้นจู่ก็เป็นแบบนี้ล่ะ หากนางพูดว่าไม่ไปก็คือไม่ไป เว้นแต่ว่าจะมีเหตุผลที่มันพิเศษกว่ายามปกติ แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลพิเศษใดๆตอนนี้ล่ะนะ ” เฟิ่งหลิงหยุนเกลี้ยกล่อมเขาด้วยเจตนาดี
หยุนเล่ยังคิดอยากจะพูดต่อ เฟิ่งหลิงหยุนจึงโบกมือส่งสัญญาณให้หยุนเล่ลงไปก่อน
หยุนเล่ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงหันหลังแล้วจากไป
เฟิ่งหลิงหยุนรอจนคนจากไป จึงหันไปมองลูกสาวที่กำลังอารมณ์เสียของตน: “เจ้าไม่ไปจริงๆหรือ?”
ตอนที่เฟิ่งหลิงหยุน พากงชิงหยุนเยนไปที่เขื่อน หยุนเล่ก็ไปถึงที่นั่นสักพักใหญ่ ๆ แล้ว กำลังหารือกับคนอื่น ๆ ว่าจะอุดช่องว่างในเขื่อนอย่างไรอยู่พอดี
เฟิ่งหลิงหยุนถามว่า “เจ้าคิดว่าหยุนเล่จะทำเรื่องนี้ได้สำเร็จหรือไม่?”
“ด้วยความสามารถของเขา น่าจะสำเร็จได้” กงชิงหยุนเยนตอบด้วยท่าทางนิ่งเฉย ไม่มีความวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย
เฟิ่งหลิงหยุนส่งเสียง อืม ตอบรับในลำคอเสียงหนึ่ง ก็พากงชิงหยุนเยนเดินไปด้านหน้า ขณะที่กำลังเดินอยู่ ก็ได้ยินเฟยยิงเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า: “พระชายา”
เฟิ่งหลิงหยุนหยุดชะงักฝีเท้า หันไปมองเฟยยิงที่กำลังจ้องมองนางเช่นกัน
ดวงตาสี่ข้างจ้องมองประสานสายตา หัวใจของเฟิ่งหลิงหยุนไหวสั่นขึ้นมา : “ท่านมาได้อย่างไรหรือเพคะ?”
“มาดูๆเสียหน่อย” กงชิงวี่มีธุระต้องมาจัดการ เขามาจนถึงชายแดนแล้วยังไม่กลับไป ใช้เวลาเดินทางข้ามวันข้ามคืนจนมาถึงยังที่นี่
ในเวลานี้ไม่มีผู้คนอยู่รอบ ๆ ทั้งสองปลีกตัวไปคุยกันเป็นการส่วนตัว ให้เฟยยิงติดตามข้างกายไปเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ที่จริงเฟยยิงไม่ได้อยู่ที่นี่ เปลี่ยนเป็นกงชิงวี่มาแทน นั่นหมายความว่าเรื่องนี้มีการเตรียมการเอาไว้นานแล้ว ขอเพียงไม่มีคนอยู่ใกล้ ๆ ละแวกนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าใครจะรู้
“เสี่ยวหยุน เจ้าจำได้แล้วหรือไม่” กงชิงหยุนเยนสูดน้ำมูกถี่ๆ เดินเข้าไปแล้วกอดกงชิงวี่แน่น: “พ่อ”
กงชิงวี่ออกแรงกอดลูกสาวไว้แน่น แล้วหันไปมองเฟิ่งหลิงหยุน
เฟิ่งหลิงหยุนเกิดความรู้สึกผสมปนเปยากจะอธิบาย นี่คงเป็นความลึกลับของจักรวาลสินะ สุดท้ายก็กลายมาเป็นสมบัติล้ำค่าของเขาจนได้ ไม่ว่าเมื่อก่อนเขาจะไม่ชอบเสี่ยวหยุนมากแค่ไหน แต่ในท้ายที่สุด เสี่ยวหยุนก็ได้มากลายเป็นคนที่เขาต้องคอยปกป้อง ดูแลและหวงแหนไปตลอดชีวิตจนได้
ส่วนนาง ถึงแม้ว่าจะเป็นภรรยาของเขาก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เท่าเสี่ยวหยุน
เพราะนี่คือสิ่งที่เขาติดค้างเสี่ยวหยุนนั่นเอง
เฟิ่งหลิงหยุนหมุนกายแล้วเดินตรงไปด้านหน้า กงชิงวี่รีบปล่อยลูกสาวทันที แล้วดึงนางไปหาเฟิ่งหลิงหยุน
เมื่อเดินไปถึงด้านหน้า กงชิงวี่ก็จับมือเฟิ่งหลิงหยุนแล้วพูดว่า “เป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไรเพคะ”
“ไม่ใช่ว่าหึงหรอกนะ?” เมื่อครู่นี้กงชิงวี่เอาแต่ใส่ใจลูกสาว ตอนนี้จึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
เฟิ่งหลิงหยุนปรายตามองกงชิงวี่แวบหนึ่ง: “ทำไมข้าต้องหึงลูกสาวตัวเองด้วยล่ะเพคะ ท่านเป็นพ่อของนาง การทำดีกับนางก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้ว”
“จริงหรือ?” กงชิงวี่ไม่เชื่อ ใบหน้าหล่อเหลาเผยความเคลือบแคลงสงสัย
ในทางกลับกัน เฟิ่งหลิงหยุนมองดูเส้นผมของเขาด้วยความแปลกใจ: “ไม่ใช่ว่าเป็นสีขาวหรอกหรือ? ทำไมถึงเป็นสีดำได้ล่ะเพคะ?”
กงชิงวี่ตอบว่า: “หมอกุ่ยปรุงยาให้ข้าขนานหนึ่ง แต่เขาบอกว่าเขาไม่อาจรักษาโรคของข้าได้ ทำได้แค่เพียงช่วยย้อมปกปิดสีให้ พอจะอยู่ได้ราวๆสองวัน”
เฟิ่งหลิงหยุนยื่นมือออกไปสัมผัสดู เส้นผมที่หน้าอกของกงชิงวี่ถูกนางจับขึ้นมาสำรวจดู นางลองลูบมันสองครั้ง จากนั้นจึงปล่อยไปแล้วลองดมกลิ่น จึงได้กลิ่นหอมของหญ้าจาง ๆ ลอยมา เฟิ่งหลิงหยุนเอ่ยขึ้นว่า “ยังดีที่ทั้งหมดนี้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ หมอกุ่ยใช้พืชสมุนไพรปรุงยาให้ท่าน
รอหลังจากนี้ไป หากท่านอ๋องอยากให้เป็นสีดำ ข้าสามารถปรุงยาให้ท่านได้ ใช้เวลาสองสามวันก็เกิดผลแล้ว ”
“อื้ม” ในใจกงชิงวี่พลันรู้สึกอบอุ่น เอื้อมจับมือของเฟิ่งหลิงหยุนไว้แน่น
เฟิ่งหลิงหยุนหันไปมอง: “ท่านอ๋องมาที่นี่ ไม่กลัวถูกคนมาเห็นเข้าหรือเพคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
นางเพียงเป็นกังวล แต่ไม่ได้โกรธ
ก็แค่คนเป็นพ่อที่ไม่ได้เจอลูกสาวของตัวเองมานานแค่นั้นเอง นางมีอะไรให้โกรธด้วยล่ะ
“ถ้าไม่โกรธ ทำไมถึงจะไปแล้วล่ะ?” กงชิงวี่ดึงเฟิ่งหลิงหยุนเข้ามาในอ้อมแขน ตั้งใจจะกอดเฟิ่งหลิงหยุน แต่เพราะส่วนสูงที่ต่างกันมากจึงทำให้เขาสูงกว่าเป้าหมาย เขาจึงคุกเข่าลงแทน
ฉวยโอกาสที่เฟิ่งหลิงหยุนยังไม่ทันตอบสนองใดๆ เขาก็จูบนางเข้าไปครั้งหนึ่งเต็มๆ
เฟิ่งหลิงหยุนหน้าแดงก่ำ ต่อหน้าต่อตาลูกสาวแท้ๆ ช่างหน้าไม่อายเสียจริงเชียว