บทที่ 945 ลูกของอะมู่
เสี่ยวเฉียวนอนค้างที่นี่ อันหลิงหยุนเริ่มดูแลเสี่ยวเฉียว อะมู่ก็พาเด็กๆ มาด้วย อะมู่มีลูกชายสองคน รูปร่างดูมีพลังมาก อันหลิงหยุนชอบเด็กทั้งสองคนมาก ดังนั้นจึงเอาสิ่งของสองอย่างวางไว้บนโต๊ะ และพูดกับพวกเขา “พวกเจ้าดูสิสิ่งนี้คืออะไร?”
เด็กสองคนนั้นสดใสน่ารัก อายุสี่หรือห้าขวบ ปกติเด็กอายุขนาดนี้จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร แต่เมื่อเห็นสิ่งที่อันหลิงหยุนเตรียมให้พวกเขา ก็ยื่นมือเล็กๆออกมา กำลังเตรียมคว้ามาหนึ่งชิ้น
อันหลิงหยุนมองมือเล็กๆที่ขาวเนียน และถามว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องการคว้าสิ่งนี้ รู้ไหมว่ามันคืออะไร?”
เจ้าสองน้อยเงยหน้าขึ้นมองอันหลิงหยุน รู้ว่าต้องเรียกท่านย่า แต่ท่านย่ายังไม่แก่เท่าท่านแม่เลย ท่านพ่อก็เรียกท่านย่าว่าท่านแม่ เขายังไม่เข้าใจ แต่ชอบท่านย่ามาก รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แล้วหดมือกลับ เด็กน้อยพูดว่า “ท่านพ่อชอบยา ปกติชอบหยิบยามาดม ยังบอกว่าเวลาเห็นยาก็จะนึกถึงท่านยา ยังบอกว่าท่านยาเป็นคนจิตใจดีมาก ยังบอกว่าคิดถึงท่านย่ามาก รอข้าโตขึ้นก็จะ(เรียนรู้)เรื่องยา เมื่อหยิบยาก็จะคิดถึงท่านย่า และยังคิดถึงท่านพ่อ”
เจ้าสองน้อยทำหน้าพอใจ เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่าเป็นคนที่พูดมีหลักการ อันหลิงหยุนรู้สึกขบขันกับเขา
หลังจากเฝ้าดูเจ้าสองน้อยสักพัก อันหลิงหยุนก็ยื่นมือออกมาบีบใบหน้าเจ้าสองน้อย แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ายินยอมเรียนทักษะการตรวจคนไข้กับย่าไหม”
“ไม่ ข้าไม่ชอบตรวจคนไข้”
เจ้าสองน้อยเป็นคนซื่อตรง อันหลิงหยุนไม่ได้บังคับ และเอาผลไม้มาให้เจ้าสองน้อย “เอาไปกิน ไม่ต้องวุ่นวาย ย่าไม่ชอบเด็กที่วุ่นวาย”
เจ้าสองน้อยมีความสุขมาก หอบอาหารและเครื่องดื่มแล้วเดินออกไป
อะมู่อธิบายว่า “ปกติ พ่อจะรักและตามใจเจ้าสองน้อยมาก เวลาพูดไม่มีมารยาท และไม่สนใจเรื่องอะไร ท่านแม่อย่าถือสาเลยนะ”
ชอบอวดฉลาดมาก ที่จริงเขาไม่ชอบเรื่องยา แต่ก็ยังพูดแบบนั้น”
“เด็กตัวน้อยแค่นี้ มีอะไรให้ถือสาล่ะ เจ้าพูดอย่างกับว่าข้าเป็นแม่มด แม้แต่เด็กน้อยก็ยังไม่ยอมปล่อย”
อะมู่รีบพูด “ลูกไม่ได้คิดอย่างนั้น”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่ว่าเจ้าสองน้อยเป็นคนกะล่อนมาก และถ้าต่อไปไม่อบรมดีๆ กลัวจะก่อเรื่องขึ้นมาได้”
“ต่อไปลูกจะอบรมสั่งสอนดีๆ” อะมู่พูดอย่างรีบร้อน
“นั่นคือเรื่องของอนาคต เจ้าอย่าพึ่งพูดในตอนนี้” อันหลิงหยุนมองไปที่เจ้าใหญ่น้อย และมองอย่างครุ่นคิด อันหลิงหยุนเห็นเขาไม่พูดไม่จา
“ทำไมเจ้าไม่พูด?” อันหลิงหยุนถาม เจ้าใหญ่น้อยเฝ้ามองอันหลิงหยุนอยู่ครู่หนึ่งและพูดอย่างสุภาพว่าไม่กล้าพูด
“หลานไม่กล้าพูด ได้ยินท่านแม่พูดว่า ท่านย่าเป็นคนดีมาก แต่ดูท่านยาอายุไม่เท่าท่านแม่ ไม่รู้ว่าไม่สบายหรือเปล่า หรือกินอะไรทำให้เป็นอมตะ ยาที่ยืดอายุวัฒนะ”
อันหลิงหยุนมองไปที่เด็กตรงหน้า เป็นเวลานานจึงถาม “อายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สามขวบครึ่ง”
“อายุแค่นี้ ยังเด็กขนาดนี้ สามารถพูดเช่นนี้ได้ ซึ่งแสดงว่าเจ้าได้ศึกษาเกี่ยวกับยาและเทคนิคการแพทย์ในระดับหนึ่ง”
“รู้เรื่องนิดหนึ่ง ปกติท่านพ่อตรวจคนไข้ ข้าจะเขียนอยู่ข้างๆ”
“เจ้าชื่ออะไร?”
“กงชิงเห้าเหวิน” เห้าเหวินพูดอย่างสุภาพ
อันหลิงหยุนประหลาดใจ “เจ้าสองน้อยล่ะ ชื่อเห้าอู่?”
“เห้าเทียน”
เห้าเหวินพูด อันหลิงหยุนเหม่อลอยเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเด็กที่หอบของและกินอยู่ที่ประตู และพูดว่า “เรียกเห้าเทียนเข้ามา ข้าจะดูหน่อย”
อะมู่รีบไปเรียกเห้าเทียน เห้าเทียนกลับมาหาอันหลิงหยุน อันหลิงหยุนมองใบหน้าของเห้าเทียนอย่างครุ่นคิด หลังจากนั้นไม่นานก็ถามว่า “เจ้าบอกว่าไม่อยากตรวจคนไข้ แล้วเจ้าต้องการทำอะไร?”
“ท่านปู่บอกว่า ลูกผู้ชายต้องมีความคิดก้าวไกล ต้องคลอบคลุมจักรวาลไว้ในมือ เก่งกาจกลวิธีการรบ เมื่อข้าโตขึ้น จะเป็นเหมือนท่านปู่ ทำทุกอย่างเพื่อปฐพีนี้ ครอบคลุมจักรวาล!”
หลังจากที่เห้าเทียนพูดจบ อะมู่ก็ตะลึง เด็กคนนี้ เป็นอะไร?”
อะมู่กังวลเล็กน้อย และถึงกับผงะ
อันหลิงหยุนมองไปที่อะมู่ และถามว่า “เจ้าห้าอยู่ไหม?”
“ยังไม่กลับ”
“ใครเป็นคนตั้งชื่อ?”
“ท่านพ่อ”
“เจ้าห้าเคยดูให้เห้าเทียนหรือยัง?” อันหลิงหยุนไม่กังวล แต่ยังมีความคิดบางอย่าง
อะมู่ลังเลสักพัก “เจ้าห้าและอีกหลายคน ยกเว้นพี่ชายคนโต ล้วนชาญฉลาด ท่านพ่อไม่อยากให้พวกเขาดูไปทั่ว ยังบอกว่า แม้ว่าจะดูออกมาแล้ว ก็เก็บไว้ในใจ และบอกว่า ชะตาชีวิตที่สวรรค์กำหนดห้ามเปิดเผย ถ้าเปิดเผยจะถูกกรรมตามสนอง และท่านพ่อสั่งว่า ถ้าใครดูให้คนในครอบครัว เมื่อดูออกมาแล้ว ก็ให้คนนั้นซวยจนตาย!
ดังนั้นคนในครอบครัวไม่กล้า แต่องค์หญิงมักพูดเสมอว่า เห้าเทียนนั้นแตกต่างออกไป
ข้ากับภรรยา ปกติจะเดินเข้าๆออกๆในวัง วันไหนที่ฮ่องเต้ไม่เห็นเห้าเหวิน ก็จะกินข้าวไม่ลง ทุกวันองค์หญิงต้องพาเห้าเหวินเข้าวัง
เห้าเทียนไม่ชอบเข้าวัง ทุกครั้งเข้าวังจะไม่ชอบคุกเข่าคารวะ แม้ว่าจะพบฮ่องเต้ ทุกครั้งที่ต้องคุกเข่าคารวะก็จะหาข้ออ้างทุกที
ท่านพ่อตามใจเขามากเกิน มีครั้งหนึ่งเป็นเพราะเรื่องคุกเข่าคารวะกลับบ้านอดอาหาร ท่านพ่อรู้โกรธมาก เลยเข้าวังไปพบฮ่องเต้ ต่อมาไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ฮ่องเต้ก็ยกเว้นเรื่องการคุกเข่าของเห้าเทียน”
“จริงเหรอ?” อันหลิงหยุนนึกถึงตอนนั้นนางก็ไม่ชอบคุกเข่าคารวะ ก็รู้สึกตลก
“ท่านพ่อตามใจเห้าเทียนเกินไป” อะมู่ก็จนปัญญา
นิสัยเด็กของพ่อเจ้าไม่เบาเลยนะ เอากระดาษและพู่กันมา ข้าจะตั้งชื่อเล่นให้เขา”
อะมู่รีบหยิบกระดาษและพู่กันมาให้ อันหลิงหยุนหยิบพู่กันมาเขียนอักษรสี่ตัว
อะมู่เดินมาดู “ท่านแม่!”
“พ่อของเจ้าตลอดทั้งชีวิตหยิ่งผยอง เห็นลูกของตัวเองสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด อบรมสั่งสอนเด็กไม่เป็น ถ้าเจ้ามอบเจ้าสองน้อยให้เขาดูแล อนาคตจะต้องเกิดปัญหาแน่นอน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นลูกของใครก็ตาม ห้ามเอาไปให้เขาดูแล มิเช่นนั้นจะถูกขับออกจากบ้าน”
อันหลิงหยุนไม่พอใจ อะมู่รีบตอบรับทันที
เห้าเทียนเดินไปด้านข้างและมองไปที่ชื่อบนกระดาษ และไม่ค่อยพอใจ “หลานไม่ชอบชื่อนี้”
“กงชิงหู้กั๋ว มีอะไรไม่ดีเหรอ คนอื่นต้องการชื่อนี้ ยังไม่ได้เลย” อันหลิงหยุนสัมผัสใบหน้าของเห้าเทียน เห้าเทียนก็มองไปที่อะมู่อย่างไม่สบายใจ
“ชื่อที่ท่านย่าตั้งให้ คนอื่นไม่มี เจ้าไม่ต้องการจริงๆเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ให้พี่ชาย” อะมู่แกล้งพูดอย่างนั้น
อันหลิงหยุนพูดอย่างไม่พอใจ “ชื่อนี้ต้องให้เขา เขาไม่ต้องการก็ต้องให้เขา”
เห้าเทียนหยิบกระดาษ และไม่เอาสิ่งของพวกนั้นแล้ว อยู่ที่บ้าน คนที่ปกป้องเขามากที่สุดคือท่านปู่ โดยปกติแล้วถ้าท่านปู่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือท่านแม่ ก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้ เขาต้องการไปพบท่านปู่ และให้ท่านปู่มาจัดการท่านยา
เห้าเทียนออกไป เรียกองครักษ์เข้ามา นั่งรถม้าแล้วกลับไป
อะมู่มองอย่างละอายใจ “ท่านแม่เด็กคนนี้ดื้อรั้นเอาแต่ใจมาก ตอนนั้นท่านพ่อดูแล เพราะอยากให้ท่านพ่อมีความสุข ไม่คาดคิดว่าจะเป็นแบบนี้ ปกติท่านพ่อเอาใจเขามากเกินไป”
อันหลิงหยุนเหลือบมองและพูดว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าให้เขามาอยู่กับข้าตรงนี้ ถ้าปล่อยให้ทำตามอำเภอใจเช่นนี้มันจะแย่
นอกจากนี้ยังมีเห้าเหวิน เห้าเหวินปกติจะติดตามพ่อ ยังมีมารยาท”
“ในวันธรรมดาท่านตาจะดูแลข้า บางครั้งก็จะอยู่กับท่านพ่อ แต่ท่านตาก็จะตามใจเล็กน้อย บางครั้งทำผิด ห้ามคนมาดุด่าข้า แต่ท่านยาย เคยตีหลานหนึ่งครั้ง”