บทที่ 915 ต่อไปจะต้องกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยม
ตอนนี้ในวิหารไม่มีคนนอกแล้ว แม่ทัพอัน กงชิงหยุนเยน กงชิงวี่ และเฟิ่งหลิงหยุน
อันหลิงหยุนหันไปถอนสายบัวให้เฟยยิง : “ขอบคุณเฟยยิงที่คอยปกป้องดูแลมาตลอดหลายปี อันหลิงหยุนไม่มีอะไรจะตอบแทน จึงเต็มใจที่จะคารวะเฟยยิงเป็นพี่ใหญ่ ชาตินี้เต็มใจที่จะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องพี่ใหญ่ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่พี่ใหญ่คอยปกป้องดูแล”
เฟยยิงผงะไปพักใหญ่ : “พระชายา……”
“พี่ใหญ่ รังเกียจอย่างนั้นหรือ ?” เฟิ่งหลิงหยุนถาม เฟยยิงหันมองกงชิงวี่
กงชิงวี่พูดว่า : “ในเมื่อเป็นความต้องการของหยุนหยุน ก็จงฟังนางเถอะ ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะขอร้องด้วยเช่นกัน”
เฟยยิงจึงพูดว่า : “พ่ะย่ะค่ะ !”
เฟิ่งหลิงหยุนมองเฟยยิง แล้วจึงหันมองกงชิงวี่ : “ท่านอ๋องมีอะไรจะสั่งหรือเพคะ ?”
กงชิงวี่พูดว่า : “ครั้งนี้หยุนหยุนไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก อย่างมากที่สุดก็ครึ่งเดือน ข้าไม่อาจตามนางไปได้ ประเทศต้าเหลียงยังต้องมีการจัดกองทัพใหม่ เพื่อเตรียมที่จะจัดระเบียบแผ่นดินใหญ่ซื่อฟางใหม่ให้รวมเป็นปึกแผ่น ดังนั้นข้าจะให้เจ้าคอยติดตามหยุนหยุนไป รอให้ข้ารวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นเรียบร้อยแล้วเจ้าค่อยกลับมา เจ้าจะยินดีหรือไม่ ?”
เฟยยิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง : “ยินดีพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” กงชิงวี่หันมองเฟิ่งหลิงหยุน จากนั้นจึงยื่นมือออกไปกุมมือของนาง แล้วจูงออกไปด้านนอก
กงชิงหยุนเยนรีบวิ่งเข้าไปหาทันที แล้วจูงมือกงชิงวี่เอาไว้
เมื่อออกไปด้านนอกพบว่าอ๋าวชิงยังไม่กลับไป ยังคงยืนรออยู่ที่ประตู
กงชิงวี่หันมองแล้วพูดว่า : “คืนนี้ขอให้อ๋าวเฉินเสี้ยงไปพักที่จวนอ๋องเซ่เจิ้ง อะมู่จะเป็นคนพาอ๋าวเฉินเสี้ยงไป”
อ๋าวชิงหันมองเฟิ่งหลิงหยุนด้วยความจนใจ จากนั้นจึงเดินตามอะมู่ไปยังจวนอ๋องเซ่เจิ้ง ส่วนคนอื่นๆ นั้นกำลังยืนรอเฟิ่งหลิงหยุนอยู่
“ในเมื่ออ๋าวเฉินเสี้ยงไปยังจวนอ๋องเซ่เจิ้งแล้ว เช่นนั้นพวกเราเองก็คงไปที่จวนอ๋องเซ่เจิ้งได้เช่นกัน” จุนโม่ซ่างหยิบพัดขึ้นมาพัด หากเขาไม่พูดเกรงว่าจะไม่มีคนอื่นพูด
กงชิงวี่หันมองคนอื่นๆ : “ในเมื่อทุกคนต่างเต็มใจที่จะไป เช่นนั้นก็ไปเอถะ”
กงชิงวี่พาทุกคนไป ทุกคนตามไปยังจวนอ๋องเซ่เจิ้ง
ภายในรถม้า กงชิงวี่เห็นว่าลูกสาวอยู่ด้วยจึงไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ จึงได้สอบถามเรื่องราวที่ผ่านมาในตลอดหลายปีมานี้ เฟิ่งหลิงหยุนเล่าเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ที่ประเทศเฟิ่งให้กงชิงวี่ฟัง อีกทั้งยังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคราวนั้นอีกด้วย
“จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เห็นท่านอ๋องทรงสวมชุดลายพรางปรากฏตัวขึ้นในป่า อีกทั้งยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งปรากฏตัวด้วย นางต้องการที่จะฆ่าหม่อมฉัน แต่ท่านอ๋องเข้ามาห้ามเอาไว้ นางต้องการที่จะหนี หม่อมฉันจึงฆ่านาง จากนั้นหม่อมฉันจึงพาท่านอ๋องไป เมื่อตรวจสอบจนแน่ชัดว่าเป็นท่านอ๋อง จึงได้พักผ่อนด้วยกัน แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบว่าท่านอ๋องไม่อยู่เสียแล้ว” อันหลิงหยุนจำเรื่องนั้นได้ดี
กงชิงวี่พูดอ้ำอึ้ง : “ข้าคิดว่าเป็นความฝัน”
เฟิ่งหลิงหยุนยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของกงชิงวี่ : “นั่นไม่ใช่ความฝันเพคะ ท่านอ๋องได้พบหม่อมฉันในอีกภพหนึ่งผ่านทางความคะนึงหา”
กงชิงวี่กุมมือของเฟิ่งหลิงหยุนเอาไว้ : “ข้าคิดว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน บางครั้งก็มักจะฝัน มักจะคิดถึง”
“แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยพบท่านอ๋องอีกเลย ก่อนที่จะมาถึงที่นี่ไม่เคยพบมาก่อน เพียงแต่ในตอนนั้นเคยฝันถึงท่านอ๋องทรงมีผมขาวเต็มหัว”
เฟิ่งหลิงหยุนพิงเข้าไปในอ้อมกอดของกงชิงวี่ กงชิงวี่กอดนาง : “ข้าทนมาสิบปีแล้ว แทบที่จะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะได้เห็นหยุนเอ๋อโตขึ้นในทุกๆ วัน ข้าเองก็คงทนไม่ไหวเสียนานแล้ว”
“เพคะ”
เฟิ่งหลิงหยุนผละตัวออกแล้วหันมองกงชิงหยุนเยน กงชิงหยุนเยนพิงไปในอ้อมกอดของกงชิงวี่ด้วยท่าทีที่หยิ่งผยอง แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า : “ท่านเป็นแม่ของข้าจริงๆ หรือ ?”
“……” เฟิ่งหลิงหยุนหัวเราะ แล้วแตะที่จมูกของกงชิงหยุนเยน
ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน กงชิงหยุนเยนหลับไปก่อน เฟิ่งหลิงหยุนจึงพูดว่า : “ท่านอ๋องดูแลเสี่ยวหยุนได้ดีมากเพคะ”
“……” กงชิงวี่ปิดตาลง มือทั้งสองข้างกอดพวกนางเอาไว้คนละข้าง แล้วนอนหลับไป
เมื่อได้ยินเสียงกรนของกงชิงวี่ กงชิงหยุนเยนจึงลืมตาขึ้นแล้วหันมองเฟิ่งหลิงหยุน : “เมื่อคืนท่านพ่อไม่ได้นอนเลย เขาคงจะง่วงมากแล้ว !”
“อืม” เฟิ่งหลิงหยุนปิดตาลง นางเองก็ไม่ได้หลับเช่นเดียวกัน
รถม้าแล่นมาถึงจวนอ๋องเซ่เจิ้ง กงชิงหยุนเยนออกมาจากรถม้า อะมู่รออยู่ด้านนอก เมื่อนางลงมาจากรถม้าแล้วจึงพูดว่า : “ท่านพ่อกับท่านแม่หลับไปแล้ว อย่าไปรบกวนพวกเขา มีเรื่องอะไรให้มาหาข้า”
อะมู่หันมองรถม้าแล้วสั่งให้คนมาคอยคุ้มกันเอาไว้ จากนั้นจึงเข้าไปต้องรับทูตคนอื่นๆ
เมื่อไม่เห็นเฟิ่งหลิงหยุนพวกเขาก็ไม่ยอม เอาแต่ถามหาว่านางหายไปไหน
คิดไม่ถึงว่าคนที่เดินเข้ามาจะเป็นกงชิงหยุนเยน นางเดินเอามือไขว้หลังและมีแส้พาดอยู่ที่เอว
อะมู่เดินตามมาข้างๆ แล้วยกมือขึ้นคารวะ : “ท่านพ่อและท่านแม่พักผ่อนแล้ว ไม่ควรที่จะไปรบกวน ขอทุกท่านอภัยด้วย คืนนี้ข้าและน้องสาวจะเป็นคนอยู่คอยต้อนรับที่นี่เอง”
“พวกเจ้า ?” จุนโม่ซ่างหน้าถอดสี จะให้ไว้หน้าได้อย่างไร
อะมู่พูดอย่างมีมารยาท : “ใช่แล้ว พวกเราสองพี่น้อง !”
“ดูถูกข้าเกินไปแล้ว ข้าเป็นถึงกษัตริย์ของหวูโยกั๋ว ให้พวกเจ้ามาต้อนรับถือเป็นธรรมเนียมแบบใดกัน ประเทศต้าเหลียงต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเช่นนี้นะหรือ ?” สีหน้าของจุนโม่ซ่างดูไม่ได้เลยสักนิด
ตอนนี้เองอะมู่จึงหันมองจุนโม่ซ่างและคนอื่นๆ
จุนโม่ซ่างพูดว่า : “ข้าต้องการให้อ๋องเซ่เจิ้งมาอยู่พูดคุยด้วย และต้องการจะพบกับมกุฎราชกุมารี”
อะมู่รู้สึกจนใจ กำลังเตรียมที่จะพูด แต่กลับไปด้ยินกงชิงหยุนเยนพูดขึ้นมาก่อนว่า : “ถ้าฮ่องเต้หวูโยตรัสเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทรงรอสักครู่”
พูดจบกงชิงหยุนเยนหันมองซูมู่ไห่ : “องค์ชายหนานอี้ ท่านเองก็อยากให้ท่านพ่อของข้ามาด้วยหรือไม่ ?”
“……” ซูมู่ไห่ลังเลอยู่สักพัก : “เอาตามที่จวิ้นจู่เห็นสมควรเถอะ อย่างอื่นไม่มีอะไรต้องรีบร้อน”
กงชิงหยุนเยนรู้สึกพอใจ จากนั้นจึงหันมองเซวียนเหอที่อยู่อีกด้านหนึ่ง : “ท่านล่ะ ?”
ครั้งนี้ยิ่งไม่เกรงใจเข้าไปใหญ่
เซวียนเหอเองก็ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ : “ให้กงชิงหยุนเยนตัดสินใจเถิด”
“อืม แล้วท่านล่ะอ๋าวชิง ?” ครั้งนี้เริ่มที่จะชักสีหน้าแล้ว อ๋าวชิงเป็นทูตของประเทศเฟิ่ง แม้แต่ฮองเฮาเองยังไม่กล้าพูดจากับเขาด้วยท่าทีเช่นนี้เลย แต่เพียงแค่เด็กคนเดียวอย่างกงชิงหยุนเยน กลับพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้
อ๋าวชิงพูดว่า : “ให้จวิ้นจู่เป็นผู้ตัดสินใจเถิด”
กงชิงหยุนเยนรู้สึกพอใจในคำตอบเป็นอย่างมาก นางชายตามองจุนโม่ซ่างแล้วพูดว่า : “ประเดี๋ยวพ่อข้าคงจะมาพูดคุยเป็นเพื่อนท่าน ขอให้ฮ่องเต้หวูโยทรงรออยู่ที่นี่ก่อน”
“ได้ !” ตอนนี้จุนโม่ซ่างยังมีท่าทีที่หยิ่งผยองอยู่
กงชิงหยุนเยนหัวเราะแล้วพูดว่า : “ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้หลิงหยุน องค์ชายหนานอี้ อ๋าวเฉินเสี้ยงจงตามข้ามา”
พูดจบกงชิงหยุนเยนก็เดินออกไป อะมู่รีบเชิญพวกเขาออกไปทันที ทั้งสามรีบเดินตามหลังออกไป อะมู่หันหลังเดินจากไป ให้จุนโม่ซ่างได้มีเวลาระงับอารมณ์สักครู่
กงชิงหยุนเยนออกมาข้างนอกด้วยใบหน้าเคร่งขรึม แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า : “เด็กๆ ไปนำน้ำเย็นมา แล้วนำไปวางไว้บนหลังคา เมื่อหมาป่าน้อยเล่นจนหนำใจแล้ว ฝนก็จะตก !”
ซูมู่ไห่หันหน้ากลับไปมองลานที่ดูมีเอกลักษณ์ แล้วจึงหันกลับมา
อ๋าวชิงเองก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
เซวียนเหอหัวเราะออกมาเบาๆ : “เจ้ากับแม่ของเจ้ามีอะไรที่คล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ตอนที่เจ้ายังเด็กอยู่ในเมืองหลวงไม่เป็นที่น่าพอใจนัก อีกทั้งยังไม่เคารพกฎหมาย ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอีกด้วย”
กงชิงหยุนเยนหันกลับไปพูดว่า : “คงเทียบกับพวกชินจงอย่างท่านไม่ได้หรอก ที่เกือบจะทำให้ประเทศต้าเหลียงต้องสูญสิ้นแล้ว”
กงชิงหยุนเยนทำสีหน้าดูถูกเยาะเย้ย จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
เซวียนเหอผงะไป เมื่อเห็นเด็กคนนั้นเดินลับตาไปโดยไม่เห็นเงาอีกแล้ว ถึงได้เดินตามไป
ที่อีกลานหนึ่งของจวนอ๋องเซ่เจิ้งมีโต๊ะวางเอาไว้หนึ่งตัว มีอะมู่และกงชิงหยุนเยนคอยอยู่พูดคุยด้วย
“เชิญทุกท่าน”
ตอนนี้อะมู่ได้รับอำนาจในการพูด ทุกคนต่างหันมองกันไปมาแล้วจึงนั่งลง แต่คนที่พวกเขามองกลับเป็นกงชิงหยุนเยนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่นางกลับแตกต่างกับเด็กในวัยเดียวกันอย่างมาก
ถ้าไม่ได้พบเห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาคงไม่กล้าเชื่อว่า เด็กคนนี้เป็นเพียงแค่เด็กเท่านั้น ท่าทีที่ยึดมั่นในความชอบธรรมเช่นนั้น ต่อไปในภายภาคหน้าจะต้องกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน